“อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” จ.เชียงใหม่ เป็นอุทยานแห่งชาติยอดฮิตลำดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนกันตลอดทั้งปี ด้วยทิวทัศน์ที่งดงาม อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ยิ่งในช่วงฤดูหนาว ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศก็นิยมจะมาสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นจับใจ
และหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวบนยอดดอยอินทนนท์ที่มีหลายคนตั้งใจจะไปให้ได้สักครั้ง นั่นคือ “กิ่วแม่ปาน” หรือ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน” เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ อุดมไปด้วยเสน่ห์แห่งป่าดิบเขาระดับสูง
การจะมาเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน จะต้องมีการเตรียมตัวสักหน่อย สวมใส่รองเท้าที่เดินแล้วสบาย แต่แนะนำให้เป็นรองเท้าหุ้มส้น หรือรองเท้าผ้าใบ เตรียมพร้อมร่างกาย เพราะเป็นเส้นทางเดินระยะไกลพอสมควร เตรียมน้ำดื่ม และเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะไม่มีห้องน้ำระหว่างเส้นทาง ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรหลีกเลี่ยงการเดินเส้นทางนี้
ในเมื่อเตรียมตัวกันมาแล้ว ก็พร้อมออกเดินทางไปสู่กิ่วแม่ปาน ที่ตลอดเส้นทางมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย มาชม 10 ไฮไลต์ “กิ่วแม่ปาน” ที่ไม่ควรพลาด
จุดชมวิว กม.42
ก่อนจะเข้าไปสู่เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน บริเวณลานจอดรถด้านหน้า ก็จะเป็น “จุดชมวิว กม.42” ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและจุดชมทะเลหมอกที่งดงามอย่างมาก นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาด้านบนนี้ช่วงเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อรอชมแสงแรกของวันที่จะค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า ส่องแสงสีทองอวดโฉมอยู่ท่ามกลางทิวเขาสลับซับซ้อน
แนะนำให้ขึ้นมาถึงบริเวณ จุดชมวิว กม.42 ประมาณ 05.30-06.00 น. (แล้วแต่ฤดูกาล) แล้วรอชมพระอาทิตย์ขึ้น เก็บภาพสวยๆ ยามเช้า พอเริ่มสว่างได้ที่ ก็เตรียมตัวหาอาหารเช้ารองท้อง (บริเวณจุดชมวิวมีร้านอาหารให้บริการ) เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เตรียมน้ำดื่มสำหรับดื่มระหว่างเดินกิ่วแม่ปาน แล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางกันต่อได้
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ
“กิ่วแม่ปาน” เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้น ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,400 เมตร ลักษณะเส้นทางกิ่วแม่ปานเป็นวงรอบทางเดินลาดชันขึ้นไป และสุดท้ายจะวกกลับมาบรรจบกับทางเดินที่เดินเข้ามาครั้งแรก มีระยะทางประมาณ 3.2 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดิน 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ในช่วงระยะกิโลเมตรแรกจะเป็นทางเดินขึ้นเพียงอย่างเดียว มีบันไดทางขึ้นเป็นช่วงๆ สลับกับทางเดินธรรมชาติ ส่วนกิโลเมตรที่ 2 จะเป็นทางเดินลงบนสันเขา 1 กิโลเมตร และทางเดินกิโลเมตรที่ 3 จะเป็นทางเดินในป่า มีทางเดินขึ้นสลับทางเดินลงจนจบ 5 เขาเล็ก โดยจุดที่ชันที่สุดจะอยู่ที่เขาลูกแรกและลูกที่ 4 เพราะมีบันไดเดินขึ้นเรื่อยๆ
น้ำตกลานเสด็จ
เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลผ่านจากกิ่วแม่ปานไปสู่แม่น้ำแม่ปิง เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามและยังที่เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแห่งนี้ โดยบริเวณรอบๆ ถูกโอบล้อมไปด้วยป่าดิบเขาที่มีบรรยากาศร่มครึ้ม มีมอสส์สีเขียวขึ้นคลุมตามโคนต้นไม้และบริเวณริมห้วยรอบน้ำตก
ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์
ปกติแล้ว พื้นที่ในเมืองหนาวบางแห่งที่มีความสูง 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล จะมีระบบนิเวศน์ที่เรียกว่าทุ่งหญ้าอัลไพน์ โดยบริเวณนั้นจะมีเฉพาะไม้ล้มลุก แต่ความพิเศษของพื้นที่บนยอดดอยอินทนนท์ คือการมี “ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์” เป็นระบบนิเวศน์ในเขตภูเขาสูงที่มีลมแรงและอากาศเย็นตลอดทั้งปี ในไทยมีเพียงไม่กี่แห่ง (ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ในไทยยังมีที่ ดอยผ้าห่มปก และดอยเชียงดาว) จะมีไม้ล้มลุกปะปนกับไม้พุ่มขนาดเล็ก ลักษณะพื้นที่บนกิ่วแม่ปานจะคล้ายๆ กับทุ่งหญ้าเตียนๆ มีต้นไม้แปลกๆ ดอกไม้สวยๆ ที่อาจไม่เคยเห็นที่อื่น
และที่น่าอัศจรรย์มากขึ้น คือ เมื่อมองข้ามสันเขาไปอีกฝั่งก็จะกลายเป็นป่าดิบเขา มีต้นไม้ใหญ่มากมาย มีกล้วยไม้ เฟิน พรือพืชอิงอาศัยอื่นๆ เกาะอยู่บนต้นไม้ มีความชุ่มชื้นมากกว่าบริเวณทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์
จุดชมวิวกิ่วแม่ปาน
นับได้ว่าเป็นไฮไลต์ของกิ่วแม่ปานเลยก็ว่าได้ บริเวณจุดชมวิวเป็นพื้นที่โล่ง มีระเบียงยื่นออก บางวันจะมองเห็นทะเลหมอกที่มีเมฆปกคลุมอยู่ตรงหน้าตัดกับสีทองของทุ่งหญ้าได้ที่บริเวณนี้ และวันที่ฟ้าเปิดจะมองเห็น อ.แม่แจ่ม ที่อยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจน หลายคนจะใช้เวลากันที่นี่กันนานสักหน่อย เพื่อจะได้ถ่ายรูปบรรยากาศ เก็บภาพความทรงจำ หรือจะนั่งพักคลายเหนื่อยและชื่นชมวิวไปในตัว ส่วนคนที่รู้สึกว่าเดินต่อไปไม่ไหว ก็สามารถแจ้งให้ไกด์พาเดินกลับในทางเดิมก็ได้ ส่วนคนที่ยังไหวก็ออกเดินต่อได้เลย
ผาแง่มน้อย
"แง่ม" เป็นภาษาประจำถิ่นของภาคเหนือ ใช้เรียกลักษณะหรือสิ่งที่แยกออกเป็นสองหรือสาม “ผาแง่มน้อย” เป็นหิน 2 แท่ง ตั้งอยู่คู่กันริมเส้นทางเดินชมธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เหมือนจับหินสองก้อนมาตั้งวางเรียงกัน เป็นการสร้างสรรค์ของธรรมชาติจากความบังเอิญ หากสังเกตที่ฐานของแท่งหิน จะไม่มีส่วนใดที่ฝังลึกลงไปใต้ดิน และจากหลักฐานทางธรณีวิทยา คาดว่าแท่งหินผาแง่มน้อยเป็นหินแปรที่เกิดจากการแตกหัก หลุดจากผนังหินผาของกิ่วแม่ปาน และลื่นไถลตกลงมาวางนิ่งอยู่ในจุดที่เคียงคู่กันพอดี
นอกจากนั้น บริเวณฐานของผาแง่มน้อย ยังมีแผ่นหินที่ร่วงตกลงมาคล้ายรูปหัวใจวางอยู่ ด้วยความพิเศษนี้เอง ผาแง่มน้อยจึงเป็นหมุดหมายของคู่รักนักท่องเที่ยวที่จะมาถ่าบภาพก้อนหินรูปหัวใจที่จุดนี้
กุหลาบพันปี
กุหลาบพันปี หรือ กุหลาบป่า (บ้างก็เรียก ดอกคำแดง) เหตุที่เรียกว่ากุหลาบพันปีเนื่องจากเมื่อดูเผินๆ ก็จะมีลักษณะคล้ายพุ่มกุหลาบ และลำต้นมีมอสส์ปกคลุมจนดูคล้ายว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุนับพันปี แต่แท้จริงแล้วกุหลาบพันปีเป็นพันธุ์ไม้ในวง Ericaceae ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกุหลาบที่เรารู้จักกันทั่วไป
กุหลาบพันปีเป็นพืชหายากมากชนิดหนึ่ง เพราะมีการกระจายพันธุ์ที่จำกัดเฉพาะในเขตอากาศหนาวเย็นบนพื้นที่ชุ่มชื้น เช่นสันเขาหรือหน้าผา และจะออกดอกเพียงปีละครั้ง ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ เท่านั้น ซึ่งบนกิ่วแม่ปาน ต้นกุหลาบพันปีจะมีอยู่มากบริเวณสันเขา ถัดจากผาแง่มน้อย หากใครไปตรงกับช่วงที่ต้นไม้ออกดอก ก็จะเห็นดอกกุหลาบพันปีสีแดงสดตัดกับความเขียวของใบไม้ที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก
กิ่วแม่ปาน
คำว่า “กิ่ว” ในภาษาเหนือแปลว่าเล็ก คอด (หรือที่แคบๆ) ส่วนคำว่า “แม่ปาน” เป็นชื่อสถานที่ “กิ่วแม่ปาน” จึงเป็นส่วนที่เล็กและแคบที่สุดบนสันเขาแม่ปาน
ทัศนียภาพสองข้างทางตามแนวสันเขามีความแตกต่างกันมาก ป่าด้านในชุ่มชื้นเขียวชอุ่ม แต่ด้านนอกมีแดดร้อนตลอดทั้งวัน มีเฉพาะไม้บุกเบิกขนาดเล็ก เนื่องจากป่าดั้งเดิมได้รับความเสียหายจากไฟป่าในอดีต หน้าดินถูกทำลาย สภาพพื้นที่เป็นแนวหินผาและลมแรง ทำให้ไม่สามารถมีไม้ใหญ่เติบโตได้
พรรณไม้ต่างๆ ระหว่างเส้นทาง
ในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน มีทั้งพืชพันธุ์ สัตว์ป่า และความหลากหลายทางชีวภาพให้ได้เห็นกันตลอดเส้นทาง ลองสังเกตพรรณไม้ข้างทางตั้งแต่ในเขตป่าดิบเขา ไปจนถึงเขตทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ จะได้เห็นต้นไม้ดอกไม้แปลกตาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น กุหลาบพันปี-ต้นไม้หายากที่อยู่บริเวณสันเขา เฟิร์น-อยู่บริเวณป่าดิบเขาที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น มีแสงแดดรำไรส่องลงมา ช้ามะยมดอย-หรือจะเรียกว่าบลูเบอร์รี่ดอยก็ได้ เป็นไม้พุ่มขนาดไม่สูงนัก มักขึ้นตามสันเขา จะออกผลเล็กๆ สีม่วงเต็มต้นคล้ายผลบลูเบอร์รี่
จุดชมพระธาตุ
อยู่บนเส้นทางขากลับ แต่ต้องเดินแยกออกไปทางขวามือเล็กน้อย สามารถมองเห็น “พระมหาธาตุนภเมทนีดล” และ “พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” ซึ่งจุดนี้จะสามารถชมพระธาตุได้สวยงามกว่าในช่วงบ่าย
พระธาตุนภเมทนีดล เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ 8 เหลี่ยม หมายถึงมรรคผล 8 มีความสูง 60 เมตร ส่วน พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ 12 เหลี่ยม แทนความหมายอัจฉรยะธรรม 12 ประการ พระธาตุทั้ง 2 มีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น 2 ระดับ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปในท่าประทับยืน ขณะที่บริเวณรอบๆ องค์พระมหาธาตุเป็นสวนที่มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
สำหรับ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน” จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน - 31 พฤษภาคม ของทุกปี ตั้งแต่เวลา 06.00-16.00 น. เมื่อมาถึงแล้วจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อขอไกด์นำทางโดยจะมีค่าบริการ 200 บาทต่อนักท่องเที่ยว 1 กลุ่ม (ไม่เกิน 10 คน) หากใครเดินทางมาช่วงฤดูหนาว รอบเช้าให้เตรียมเสื้อกันหนาว ถุงมือ หมวกใส่ไปด้วย ส่วนรอบบ่ายจะมีแดดค่อนข้างแรง ควรเน้นเสื้อผ้าที่กันแดด ไม่หนา และที่สำคัญควรนำน้ำดื่มติดตัวไปด้วย
* * * * * * * * * * * * * *
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกิ่วแม่ปาน โทร. 09-2379-9584 หรือติดต่อ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โทร. 0-5328-6729 หรือที่ Facebook : อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ - Doi Inthanon National Park
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline