xs
xsm
sm
md
lg

อาบน้ำแร่แช่ออนเซ็น กับ “5 น้ำพุร้อน” ในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


น้ำพุร้อนแจ้ซ้อนยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง
หากใครที่กำลังคิดถึงบรรยากาศการแช่ออนเซ็นที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่ แต่ยังไม่อยากออกเดินทางไปนอกประเทศ ขอแนะนำให้มาเที่ยวที่ภาคเหนือของประเทศไทย เพราะนอกจากจะมีอากาศเย็นสบายแล้ว ยังมี “น้ำพุร้อน” ให้ได้แช่ผ่อนคลายกันอีกด้วย

โขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายบริเวณบ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน (แฟ้มภาพ)
ครั้งนี้จะขอพารู้จัก “น้ำพุร้อนธรรมชาติ” ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางภาคเหนือกัน โดยในช่วงนี้อากาศทางภาคเหนือกำลังเย็นสบาย ทำให้การที่ได้มาเที่ยวในเขตน้ำพุร้อนจะช่วยให้คลายจากอากาศเย็นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับ “5 น้ำพุร้อน” ที่จะพามาชมในครั้งนี้ ขอเริ่มที่

บ่อแช่เท้าที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน (แฟ้มภาพ)
1. น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน อช.แจ้ซ้อน จ.ลำปาง
ไฮไลต์ประจำอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนก็คือน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า "น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน" ที่มีพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีสภาพการเกิดทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจ โดยเกิดจากน้ำบนผิวดินที่ไหลซึมผ่านรอยแตกของระหว่างชั้นหินลงไปใต้ดิน ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้กับรอยเลื่อนแม่ทา ทำให้ใต้ดินมีอุณหภูมิสูงถึง 149 องศาเซลเซียส ความร้อนจะดันน้ำกลับขึ้นมาสู่ผิวดินเบื้องบนอีกครั้ง กลายเป็นแอ่งน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิราว 68-82 องศาเซลเซียส

กิจกรรมต้มไข่ที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน (แฟ้มภาพ)
น้ำพุร้อนแจ้ซ้อนมีบ่อน้ำพุที่ผุดขึ้นมาเป็นบ่อเล็กๆ ถึง 9 บ่อ พื้นที่โดยรอบแวดล้อมไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มีไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นจากบ่อปกคลุมรอบบริเวณราวกับสายหมอกพร้อมกับกลิ่นกำมะถันอ่อนๆ

บ่อแช่ตัวชวนผ่อนคลายที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน (แฟ้มภาพ)
สำหรับกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถทำได้ที่บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้อย่างแรกก็คือการ “ต้มไข่” ด้วยความที่น้ำพุร้อนในบ่อหลักมีอุณหภูมิสูงถึงกว่า 80 องศาเซลเซียส ร้อนจนคนไม่สามารถลงแช่ได้ แต่สามารถแช่ไข่ได้ และการ “แช่บ่อน้ำพุร้อน” เพื่อบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย หรืออยากทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น และยังช่วยรักษาโรคผิวหนัง อาทิ กลาก เกลื้อน ผื่นคันอักด้วย

น้ำพุร้อนฝาง (ภาพจาก อช.ดอยผ้าห่มปก)
2. น้ำพุร้อนฝาง อช.ดอยผ้าห่มปก จ.เชียงใหม่
ส่วนที่อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ก็มี “น้ำพุร้อนฝาง” เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติให้ได้ลงแช่กัน โดยน้ำพุร้อนฝางเกิดจากความร้อนใต้ดิน มีไอร้อนคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา อุณหภูมิของน้ำประมาณ 40-88 องศาเซสเซียล มีจำนวนมากมายหลายบ่อในพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ซึ่งบ่อใหญ่มีไอน้ำร้อนพุ่งขึ้นสูงถึง 40-50 เมตร จัดเป็นบ่อน้ำพุร้อนประเภทไกเซอร์ที่มีแรงดันสูงจนพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน

บรรยากาศรอบบ่อน้ำพุร้อนฝาก (ภาพจาก อช.ดอยผ้าห่มปก)
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนำไข่ไปต้มในน้ำพุร้อนได้หรือลงแช่น้ำในจุดที่ทางอุทยานฯ จัดไว้ได้เช่นกัน โดยจะมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่หลายบ่อด้วยกัน ทางอุทยานฯ ได้จัดทำห้องอาบน้ำแร่ อบไอน้ำ นวดแผนไทย ที่มีการสร้างอาคารแยกเป็นหลัง ๆ มีสะพานไม้เดินชมวิวทิวทัศน์ของบ่อน้ำพุ และมีการจัดภูมิทัศน์อย่างเป็นระเบียบสวยงาม นับเป็นอีกหนึ่งออนเซ็นเมืองไทยท่ามกลางสภาพแวดล้อมของธรรมชาติที่น่าสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง

โป่งน้ำร้อนโป่งเดือด (ภาพจาก อช.ห้วยน้ำดัง)
3. น้ำพุร้อนโป่งเดือด อช.ห้วยน้ำดัง จ.เชียงใหม่
อีกหนึ่งอุทยานฯ ใน จ.เชียงใหม่ ที่มีน้ำพุร้อนถึง 2 แห่งด้วยกันก็คือที่ อช.ห้วยน้ำดัง นั่นเอง โดยน้ำพุร้อนจุดแรกก็คือที่ “โป่งน้ำร้อนโป่งเดือด" หรือ “น้ำพุร้อนป่าแป๋” ทาง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่เป็นน้ำพุร้อนขนาดใหญ่สูง 2-3 เมตร มีหลายบ่อกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ

บ่อแช่ที่โป่งน้ำร้อนโป่งเดือด (ภาพจาก อช.ห้วยน้ำดัง)
มีอุณหภูมิของน้ำผิวดินประมาณ 90-99 องศาเซลเซียส ซึ่งน้ำพุร้อนจะพุ่งจากใต้ดินตลอดเวลา บางครั้งพุ่งสูงถึง 2 เมตร มีกลิ่นกำมะถันอ่อนๆ และในบริเวณนี้ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติโป่งเดือด ระยะทาง 1,550 เมตร รวมถึงมีบริการอาบน้ำแร่เพื่อสุขภาพ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประเภทน้ำพุร้อนธรรมชาติ ระดับดีเยี่ยม จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยอีกด้วย

โป่งน้ำร้อนท่าปาย (ภาพจาก อช.ห้วยน้ำดัง)
4. น้ำพุร้อนท่าปาย อช.ห้วยน้ำดัง
บ่อน้ำพุร้อนแห่งที่สองภายใน อช.ห้วยน้ำดัง ก็คือที่ “โป่งน้ำร้อนท่าปาย" เป็นบ่อน้ำร้อนที่เดือดขึ้นเป็นจุดๆ กระจายออกเป็นบริเวณกว้าง อุณหภูมิน้ำผิวดินประมาณ 80-100 องศาเซลเซียส น้ำร้อนจะไหลรวมกันเป็นธารน้ำร้อนขยายเป็นบริเวณกว้าง มีหมอกควันปกคลุมพื้นที่

 บ่อแช่ที่โป่งน้ำร้อนท่าปาย (ภาพจาก อช.ห้วยน้ำดัง)
บรรยากาศโดยรอบเป็นป่าไม้สักอันอุดมสมบูรณ์ ปกคลุมด้วยหมอกควันบาง ๆ และกลิ่นฉุนเล็กน้อยของกำมะถัน และที่นี่ก็มีบริการอาบน้ำแร่เช่นกัน โดยจะเป็นบ่อเปิดแบบธรรมชาติ จำนวน 8 บ่อ ให้ได้นั่งแช่กันฟินๆ

 น้ำพุร้อนเทพพนม (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)
5. น้ำพุร้อนเทพพนม อช.ออบหลวง จ.เชียงใหม่
ปิดท้ายที่ “น้ำพุร้อนเทพพนม” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวง โดยเป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติเกิดจากความร้อนใต้ดิน ประกอบไปด้วย บ่อน้ำพุร้อนมากกว่า 15 บ่อ เป็นชนิดบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำซึม วางตัวเป็นแนวเหนือ-ใต้ ตามแนวรอยเลื่อน ไหลรวมกันเป็นธารน้ำร้อนลงสู่น้ำแม่แจ่ม

บ่อแช่ที่น้ำพุร้อนเทพพนม (ภาพจากสำนักอุทยานแห่งชาติ)
นอกจากนี้แล้วภายในบ่อน้ำร้อนยังมีแรงดันพุ่งขึ้นมากระทบน้ำเย็นใต้ดินเกิดเป็นไอร้อนคุอยู่ตลอดเวลา ความร้อนสูงถึง 99 องศาเซลเซียส รอบบริเวณเป็นที่ราบโล่งเตียนประมาณ 10 ไร่ มีลำห้วยเล็กๆ คือ ห้วยโป่งไหลผ่าน จึงมีทั้งธารน้ำร้อนและน้ำเย็นบริเวณเดียวกัน

และนี่คือ 5 บ่อน้ำพุร้อนที่พามาแนะนำให้รู้จักกัน แต่ในช่วงนี้ตามสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดอยู่ จึงยังไม่แนะนำให้ลงแช่บ่อน้ำพุร้อนกัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อนั่นเอง อดใจรอให้สถานการณ์ดีขึ้น แล้วมาแช่น้ำพุร้อนออนเซ็นธรรมชาติของเมืองไทยเพื่อผ่อนคลายกันได้

#########################################

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


กำลังโหลดความคิดเห็น