ไม่กี่วันมานี้ ขนมไทยที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็น่าจะเป็น “อาลัว” ขนมไทยสีสันสวยงามชวนกิน รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปตามแต่ความสร้างสรรค์ของผู้ทำ
“อาลัว” เป็นขนมไทยที่มีมานานแล้ว ว่ากันว่า มารี กีมาร์ หรือ ท้าวทองกีบม้า เป็นผู้คิดค้นขนมกวนชนิดนี้ขึ้นมา โดยอาจจะมีต้นกำเนิดจากต่างประเทศแล้วถูกนำเผยแพร่ หรือคิดค้นขนมชนิดนี้ขึ้นมาใหม่ก็ได้ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าขนมชนิดนี้มีประวัติและที่มาที่ไปอย่างไร
สำหรับชื่อของขนมอาลัว ก็ยังมีการสันนิษฐานว่ามีที่มาจากสองแหล่ง ได้แก่ อาจจะมาจากคำว่า "Allure" ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความหมายว่า จูงใจ, ยั่วยวนใจ และเป็นคำภาษาอังกฤษยุคกลางตอนปลาย ซึ่งมีที่มาจากคำว่า aleurier ในภาษาฝรั่งเศสโบราณ
อีกทางหนึ่งก็อาจจะมาจากคำว่า "Halva" (halvah, halwa) ในภาษาอาหรับ คือขนมกวนชนิดหนึ่งแถบเอเชียตะวันตกหรือแถบเปอร์เซีย-อาหรับ
ไม่ว่าขนมอาลัวจะมีที่มายังไง แต่ในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นขนมไทยที่หลายๆ คนชื่นชอบ ด้วยความหอมหวานกินง่ายกินเพลิน สีสันสวยงาม ก็เป็นทั้งของกินและของฝากเพื่อนฝูงได้ด้วย
ขนมอาลัวเป็นขนมกวนชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมหลักคือ แป้งสาลี น้ำตาล และกะทิ นำมากวนเข้าด้วยกัน อาจเติมสีสันได้ตามชอบ เมื่อได้ที่แล้วก็นำมาปั้น หยอด หรือใส่พิมพ์ขนม แล้วนำไปตากแดดหรืออบเพื่อให้ด้านนอกกรอบนิดๆ ข้างในยังนุ่ม
รูปลักษณ์ของขนมอาลัวแบบที่คุ้นเคยกันดีก็จะเป็นเม็ดเล็กๆ ชิ้นพอคำ อาจปั้นด้วยมือแบบโบราณ หรือใช้ที่บีบเค้กให้อาลัวออกมาเป็นเกลียวสวย และช่วงหลังๆ นี้ก็มีการปรับปรุงอาลัวให้มีความสวยงามมากขึ้น อาจทำเป็นรูปดอกไม้สวยๆ หลากหลายสีสัน หรือทำเป็นรูปทรงอื่นๆ ตามพิมพ์
นอกจากนี้ ขนมอาลัวยังมีทั้งแบบอาลัวกรอบนอกนุ่มใน อาลัวสดที่ด้านนอกจะยังมีความนุ่มอยู่ และยังมีอาลัวสดสอดไส้ต่างๆ ให้ได้ลองชิมความแปลกใหม่ที่ถูกพัฒนามาจากขนมไทยแบบดั้งเดิมอีกด้วย
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline