Facebook :Travel @ Manager
จะว่าไปแล้ว อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารไทย ไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด เราล้วนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป รสชาติ หน้าตา หรือส่วนประกอบต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย ถ้าหากใครอยากลองลิ้มอาหารไทยรสชาติแบบดั้งเดิม ก็คงจะต้องเฟ้นหากันเสียหน่อย
มื้อนี้ “ตระเวนกิน” เลยพาตัวเองมาลิ้มรสอาหารไทยอร่อยๆ ที่ร้าน “Paste” ที่อยู่ภายในเกษรวิลเลจ ซึ่งร้านนี้เป็นร้านอาหารสไตล์ไฟน์ไดนิ่ง ที่นำเสนออาหารไทยแบบโมเดิร์น โดย เชฟบี บงกช สระทองอุ่น ที่เพิ่งได้รับรางวัลสุดยอดเชฟหญิงแห่งเอเชียประจำปี 2561 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรางวัล 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s 50 Best Restaurant)
เชฟบีเล่าว่า เดิมเคยเปิดร้านอาหารไทยแบบดั้งเดิมอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย จากนั้นก็ได้กลับมาเปิดร้านอาหารที่ประเทศไทย โดยได้ศึกษาตำราอาหารไทยโบราณ เพื่อนำสูตรมาปรุงเป็นเมนูอาหารไทยต่างๆ โดยจะเก็บความเป็นสูตรดั้งเดิมไว้ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือใส่ไอเดียลงไปเพิ่มเติม อย่างเช่นซอสหรือรสชาติอาหารจะคงเดิมไว้ แต่การตกแต่งหรือการเลือกใช้เนื้อสัตว์ที่มาทำในแต่ละเมนู ก็จะมีไอเดียใหม่ๆ ใส่เข้าไป ซึ่งต้องมีการศึกษาและทดลองทำออกมาให้ลงตัวมากที่สุด
อย่างจานแรกที่ชวนให้มาลองลิ้มคือ เมนูของว่าง หน้าตั้งแขก (450 บาท++) เป็นสูตรที่มาจากตำราอาหารของหม่อมราชวงศ์เตื้อง สนิทวงศ์ โดยทางร้านจะใช้ซอสรสชาติแบบต้นตำรับที่มีรสชาติเข้มข้น นำมาผสมเข้ากับซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน แล้วก็ใส่ผักเพิ่มลงไปเพิ่มความสดชื่น โดยสูตรดั้งเดิมนั้นจะผสมกับไก่ฉีก แล้วกินคู่กับโรตีหรือข้าวตัง ซึ่งทางร้านเปลี่ยนมาใช้เป็นเนื้อเป็ด ใส่ผักชีไทย ผักชีลาว ผักชีฝรั่ง แล้วเสิร์ฟมาให้กินคู่กับข้าวตัง ได้รสชาติของข้าวตังกรอบๆ ซอสรสเข้มข้น หอมกลิ่นผักชีทั้งสามชนิดที่ผสมเข้ากันได้อย่างลงตัว
เมนูถัดมาก็ยังเป็นประเภทของว่าง สาคูไส้ปลาเทร้าต์ (400 บาท++) ไส้สาคูแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยก็จะเป็นเนื้อหมูหรือไก่ แต่ทางร้านเลือกใช้เป็นเนื้อปลาเทร้าต์รมควันจากโครงการหลวง ผสมเครื่องแบบดั้งเดิมแต่ปรับให้รสชาติเข้มข้นขึ้น ด้านบนโรยด้วยงาขี้ม้อนและกระเทียมเจียว ด้านล่างรองด้วยผักกาดหิน กินคู่กับใบบัวบกที่จะช่วยตัดเลี่ยนจากสาคูไส้ปลาเทร้าต์ได้อย่างดี
ส่วนกับข้าวแบบไทย ต้องลองชิม แกงปู (950 บาท++) ที่อร่อยไม่เหมือนใคร หากชิมแล้วจะได้กลิ่นรมควันหอมอวลอยู่ในปาก เมนูนี้เชฟใช้เวลาพัฒนามาเกือบสามปี โดยในช่วงแรกที่ทำแกงปูยัง ความข้นของน้ำแกงและความหอมยังไม่ลงตัว เลยไปศึกษาเรื่องกะทิซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของแกง โดยได้ความรู้มาว่า มะพร้าวที่จะนำมาทำแกงจะต้องมีอายุ 45 วัน จึงจะได้ความข้นอบบที่ต้องการ ถ้าอ่อนหรือแก่กว่านั้นก็จะไม่ลงตัว ส่วนเครื่องแกงทางร้านก็จะทำเองใหม่ๆ เนื่องจากเครื่องแกงเป็นหัวใจหลักของเมนู จึงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ นำมาแกงกับหัวกะทิ แล้วใส่เนื้อปูลงไป มีใบชะครามจากสุมทรสาคร พร้อมใบบัวบก และดอกแคแดงและยอดผักหวาน รสชาติแกงปูเข้มข้น หอมมันกะทิ หอมเครื่องแกงรสกลมกล่อม
ตามต่อมาด้วย แสร้งว่า (1,700 บาท++) ซึ่งเป็นอาหารโบราณสูตรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แบบดั้งเดิมจะแยกออกมาใส่ถ้วยเป็นเครื่องจิ้ม มีผัก และเครื่องแนมอย่างปลาดุกฟูหรือหมูฝอย ส่วนของทางร้านจะเลือกเป็นเนื้อกุ้งลอบสเตอร์แทนเนื้อกุ้งธรรมดา ซอสสูตรดั้งเดิมก็มีให้เลือกหลายแบบ แต่ทางร้านเลือกสูตรน้ำมะกรูดผสมน้ำส้มคั้น ใส่ขิง ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบสะระแหน่ ที่ซอยอย่างละเอียดให้เข้ากับซอส เป็นการโชว์ทักษะในการใช้มีดของเชฟ แต่งด้วยดอกผักคราด ที่กินแล้วจะทำให้ปากชาเหมือนกับพริกเสฉวนแต่แรงกว่า หลังจากปากชาก็จะช่วยให้ปุ่มรับรสสามารถรับสัมผัสจากรสชาติอื่นได้มากขึ้น ด้านบนมีไก ที่เป็นสาหร่ายจากแม่น้ำ หนังปลาทอด สาหร่ายพวงองุ่น ดอกพวงชมพู และมะพร้าวอ่อนอายุ 20 วัน รสชาติจานนี้จะออกเปรี้ยวนำ แต่ยังคงความกลมกล่อม แล้วเพิ่มความหวานเด้งจากเนื้อลอบสเตอร์ที่เข้ากันอย่างมาก
นอกจากอาหารไทยเลิศรสที่ลองชิมกันไปแล้ว ที่ร้านยังมีจานอร่อยที่ชวนให้ลองลิ้มอีกหลายอย่าง อาทิ แกงนางหวาน หรือ แกงบอน (1,700 บาท++) ยำส้มโอ (1,200 บาท) มัสมั่นแกะทุเรียนหมอนทอง (850 บาท++) ต้มยำเม็ดขนุนและขาหมูโบราณ (550 บาท++) เป็นต้น
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ร้าน “Paste” ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 เกษรวิลเลจ สี่แยกราชประสงค์ เขตปทุมวัน กทม. การเดินทางจากแยกปทุมวัน ตรงมาที่แยกราชประสงค์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเกษรวิลเลจ หรือใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีชิดลม ทางออก 7 แล้วตรงมาที่เกษรวิลเลจ ส่วนร้านจะอยู่บริเวณชั้น 3 ร้านเปิดทุกวัน เวลา 12.00-14.00 น. และ 18.30-23.00 น. (Last Order 22.00 น.) โทร. 0-2656-1003 www.pastebangkok.com และ Facebook : pastebangkok
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
จะว่าไปแล้ว อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารไทย ไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด เราล้วนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป รสชาติ หน้าตา หรือส่วนประกอบต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย ถ้าหากใครอยากลองลิ้มอาหารไทยรสชาติแบบดั้งเดิม ก็คงจะต้องเฟ้นหากันเสียหน่อย
มื้อนี้ “ตระเวนกิน” เลยพาตัวเองมาลิ้มรสอาหารไทยอร่อยๆ ที่ร้าน “Paste” ที่อยู่ภายในเกษรวิลเลจ ซึ่งร้านนี้เป็นร้านอาหารสไตล์ไฟน์ไดนิ่ง ที่นำเสนออาหารไทยแบบโมเดิร์น โดย เชฟบี บงกช สระทองอุ่น ที่เพิ่งได้รับรางวัลสุดยอดเชฟหญิงแห่งเอเชียประจำปี 2561 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรางวัล 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s 50 Best Restaurant)
เชฟบีเล่าว่า เดิมเคยเปิดร้านอาหารไทยแบบดั้งเดิมอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย จากนั้นก็ได้กลับมาเปิดร้านอาหารที่ประเทศไทย โดยได้ศึกษาตำราอาหารไทยโบราณ เพื่อนำสูตรมาปรุงเป็นเมนูอาหารไทยต่างๆ โดยจะเก็บความเป็นสูตรดั้งเดิมไว้ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือใส่ไอเดียลงไปเพิ่มเติม อย่างเช่นซอสหรือรสชาติอาหารจะคงเดิมไว้ แต่การตกแต่งหรือการเลือกใช้เนื้อสัตว์ที่มาทำในแต่ละเมนู ก็จะมีไอเดียใหม่ๆ ใส่เข้าไป ซึ่งต้องมีการศึกษาและทดลองทำออกมาให้ลงตัวมากที่สุด
อย่างจานแรกที่ชวนให้มาลองลิ้มคือ เมนูของว่าง หน้าตั้งแขก (450 บาท++) เป็นสูตรที่มาจากตำราอาหารของหม่อมราชวงศ์เตื้อง สนิทวงศ์ โดยทางร้านจะใช้ซอสรสชาติแบบต้นตำรับที่มีรสชาติเข้มข้น นำมาผสมเข้ากับซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน แล้วก็ใส่ผักเพิ่มลงไปเพิ่มความสดชื่น โดยสูตรดั้งเดิมนั้นจะผสมกับไก่ฉีก แล้วกินคู่กับโรตีหรือข้าวตัง ซึ่งทางร้านเปลี่ยนมาใช้เป็นเนื้อเป็ด ใส่ผักชีไทย ผักชีลาว ผักชีฝรั่ง แล้วเสิร์ฟมาให้กินคู่กับข้าวตัง ได้รสชาติของข้าวตังกรอบๆ ซอสรสเข้มข้น หอมกลิ่นผักชีทั้งสามชนิดที่ผสมเข้ากันได้อย่างลงตัว
เมนูถัดมาก็ยังเป็นประเภทของว่าง สาคูไส้ปลาเทร้าต์ (400 บาท++) ไส้สาคูแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยก็จะเป็นเนื้อหมูหรือไก่ แต่ทางร้านเลือกใช้เป็นเนื้อปลาเทร้าต์รมควันจากโครงการหลวง ผสมเครื่องแบบดั้งเดิมแต่ปรับให้รสชาติเข้มข้นขึ้น ด้านบนโรยด้วยงาขี้ม้อนและกระเทียมเจียว ด้านล่างรองด้วยผักกาดหิน กินคู่กับใบบัวบกที่จะช่วยตัดเลี่ยนจากสาคูไส้ปลาเทร้าต์ได้อย่างดี
ส่วนกับข้าวแบบไทย ต้องลองชิม แกงปู (950 บาท++) ที่อร่อยไม่เหมือนใคร หากชิมแล้วจะได้กลิ่นรมควันหอมอวลอยู่ในปาก เมนูนี้เชฟใช้เวลาพัฒนามาเกือบสามปี โดยในช่วงแรกที่ทำแกงปูยัง ความข้นของน้ำแกงและความหอมยังไม่ลงตัว เลยไปศึกษาเรื่องกะทิซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของแกง โดยได้ความรู้มาว่า มะพร้าวที่จะนำมาทำแกงจะต้องมีอายุ 45 วัน จึงจะได้ความข้นอบบที่ต้องการ ถ้าอ่อนหรือแก่กว่านั้นก็จะไม่ลงตัว ส่วนเครื่องแกงทางร้านก็จะทำเองใหม่ๆ เนื่องจากเครื่องแกงเป็นหัวใจหลักของเมนู จึงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ นำมาแกงกับหัวกะทิ แล้วใส่เนื้อปูลงไป มีใบชะครามจากสุมทรสาคร พร้อมใบบัวบก และดอกแคแดงและยอดผักหวาน รสชาติแกงปูเข้มข้น หอมมันกะทิ หอมเครื่องแกงรสกลมกล่อม
ตามต่อมาด้วย แสร้งว่า (1,700 บาท++) ซึ่งเป็นอาหารโบราณสูตรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แบบดั้งเดิมจะแยกออกมาใส่ถ้วยเป็นเครื่องจิ้ม มีผัก และเครื่องแนมอย่างปลาดุกฟูหรือหมูฝอย ส่วนของทางร้านจะเลือกเป็นเนื้อกุ้งลอบสเตอร์แทนเนื้อกุ้งธรรมดา ซอสสูตรดั้งเดิมก็มีให้เลือกหลายแบบ แต่ทางร้านเลือกสูตรน้ำมะกรูดผสมน้ำส้มคั้น ใส่ขิง ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบสะระแหน่ ที่ซอยอย่างละเอียดให้เข้ากับซอส เป็นการโชว์ทักษะในการใช้มีดของเชฟ แต่งด้วยดอกผักคราด ที่กินแล้วจะทำให้ปากชาเหมือนกับพริกเสฉวนแต่แรงกว่า หลังจากปากชาก็จะช่วยให้ปุ่มรับรสสามารถรับสัมผัสจากรสชาติอื่นได้มากขึ้น ด้านบนมีไก ที่เป็นสาหร่ายจากแม่น้ำ หนังปลาทอด สาหร่ายพวงองุ่น ดอกพวงชมพู และมะพร้าวอ่อนอายุ 20 วัน รสชาติจานนี้จะออกเปรี้ยวนำ แต่ยังคงความกลมกล่อม แล้วเพิ่มความหวานเด้งจากเนื้อลอบสเตอร์ที่เข้ากันอย่างมาก
นอกจากอาหารไทยเลิศรสที่ลองชิมกันไปแล้ว ที่ร้านยังมีจานอร่อยที่ชวนให้ลองลิ้มอีกหลายอย่าง อาทิ แกงนางหวาน หรือ แกงบอน (1,700 บาท++) ยำส้มโอ (1,200 บาท) มัสมั่นแกะทุเรียนหมอนทอง (850 บาท++) ต้มยำเม็ดขนุนและขาหมูโบราณ (550 บาท++) เป็นต้น
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ร้าน “Paste” ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 เกษรวิลเลจ สี่แยกราชประสงค์ เขตปทุมวัน กทม. การเดินทางจากแยกปทุมวัน ตรงมาที่แยกราชประสงค์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเกษรวิลเลจ หรือใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีชิดลม ทางออก 7 แล้วตรงมาที่เกษรวิลเลจ ส่วนร้านจะอยู่บริเวณชั้น 3 ร้านเปิดทุกวัน เวลา 12.00-14.00 น. และ 18.30-23.00 น. (Last Order 22.00 น.) โทร. 0-2656-1003 www.pastebangkok.com และ Facebook : pastebangkok
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager