xs
xsm
sm
md
lg

เกาะกระแสละครดัง“นาคี”...กับที่เที่ยวเกี่ยวกับ“พญานาค”/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี

ความเชื่อเรื่องพญานาคในศาสนาพุทธที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน(สถานที่ในภาพ คือวัดร่องเสือเต้น จ.เชียงราย)
ละครเรื่อง“นาคี”ที่กำลังออนแอร์โด่งดังอยู่ในขณะนี้ นอกจากเรื่องของบทภาพยนตร์ ฉากประกอบละคร ดารา นักแสดง คู่พระ คู่นาง และเพลงประกอบละครแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คนพูดถึงกันไม่น้อยก็คือเรื่องของ “พญานาค” ที่มีการแตกหน่อต่อยอดประเด็นออกไปอีกมากมาย

สำหรับบ้านเรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเรื่องเล่า ตำนาน ความเชื่อ รวมไปถึงจินตนาการเกี่ยวกับพญานาค อยู่พอสมควร โดยเฉพาะในภาคอีสาน เนื่องจากวิถีวัฒนธรรมของชาวอีสานนั้นมีความเชื่อ ประเพณี ที่เกี่ยวกับพญานาคอยู่ไม่น้อย
ละครนาคีที่กำลังออกอากาศและได้รับความนิยมอย่างสูง
และนี่ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับพญานาคในภาคอีสาน ที่มีตำนานความเชื่อและเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่น่าเที่ยวและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ป่าคำชะโนด อุดรธานี

เมืองคำชะโนด หรือ ป่าคำชะโนด ที่ตั้งอยู่ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองพญานาค” หรือ “วังนาคินทร์” ซึ่งมีตำนานเรื่องเล่าอันลือลั่นเกี่ยวกับพญานาคว่า

...ในอดีตโบราณกาลย้อนไปในยุคที่แม่น้ำโขงยังไม่ถือกำเนิดเกิดขึ้น สมัยนั้นมีเหล่าพญานาคอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีผู้นำชื่อว่า “สุทโธนาค” ส่วนอีกกลุ่มมีผู้น้ำชื่อ “สุวรรณนาค”

พญานาคทั้ง 2 กลุ่ม อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งหนึ่งร่วมกันอย่างสงบสุขมาช้านาน โดยต่างฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน หากฝ่ายใดออกไปหาอาหารอีกฝ่ายจะต้องอยู่เฝ้าอาณาจักร และอาหารที่หามาได้จะต้องแบ่งครึ่งกันกิน

ต่อมามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อฝ่ายสุทโธนาคและบริวารออกหาอาหารได้ช้างมา 1 ตัว และจัดแจงแบ่งครึ่งให้อีกฝ่ายตามปกติ ครั้งต่อมาฝ่ายสุวรรณนาคออกหาอาหารแล้วได้เม่นมา 1 ตัว และก็ได้แบ่งครึ่งเม่นนั้นให้อีกฝ่ายเป็นปกติเช่นกัน
ความเชื่อเรื่องพญานาคในศาสนสถาน(สถานที่ในภาพ ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ 1 ใน ฉากสำคัญของละครเรื่องนาคี)
แต่เมื่อสุทโธนาคเห็นเม่นครึ่งหนึ่งก็เกิดฉงนใจขึ้นว่า ช้างซึ่งขนเล็กๆสั้นๆตนกลับแบ่งให้อีกฝ่ายตั้งเยอะ แต่เม่นซึ่งขนใหญ่กว่าก็แปลว่าเม่นต้องตัวใหญ่กว่าช้างแน่ๆ ทำไมสุวรรณนาคจึงแบ่งมาให้ฝ่ายตนเพียงนิดเดียว ทำให้สุทโธนาคเกิดโมโห แม้สุวรรณนาคจะพยายามอธิบายเท่าไรสุทโธนาคก็ไม่ยอมฟัง มุทะลุดุดันจะหาเรื่องให้ได้

ในที่สุดพญานาคทั้ง 2 กลุ่มก็ทะเลาะกันถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันนานถึง 7 ปี ผลพวงจากการสู้รบ ทำให้แผ่นดินสะเทือน เหล่าเทวดาฟ้าดินทั้งหลายอยู่ไม่เป็นสุข ความรู้ไปถึงพระอินทร์ จึงได้เรียกพญานาคทั้ง 2 ฝ่ายไปเจรจาสงบศึกโดยให้แต่ละฝ่ายแข่งกันสร้างแม่น้ำ หากฝ่ายใดสร้างไปออกทะเลก่อนเป็นฝ่ายชนะ และจะให้รางวัลเป็นปลาบึกไปประจำที่แม่น้ำแห่งนั้น

ด้วยความที่สุทโธนาคเป็นพญานาคที่มีนิสัยอารมณ์ร้อน มุทะลุ ขณะที่สร้างแม่น้ำหากมีอุปสรรคเช่นภูเขากั้นขวางทาง ก็จะระเบิดภูเขาหรือไม่ก็สร้างลดเลี้ยวไปโดยไม่พยายามที่จะแก้ปัญหา จึงได้แม่น้ำที่มีโขดหิน เกาะแก่งมากมายระเกะระกะ และมีเส้นทางที่ลดเลี้ยวเคียวคดโค้งไปโค้งมามากที่สุด ต่อมาจึงได้ชื่อว่า “แม่น้ำโขง”

ส่วนฝ่ายสุวรรณนาคเป็นพญานาคที่มีนิสัยสุภาพสุขุมใจเย็น จึงค่อยๆสร้างไปเรื่อยๆคิดไปเรื่อย ทำให้แม่น้ำที่สร้างเป็นเส้นตรง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสร้างนานมากจนกลายเป็นที่มาของชื่อ “แม่น้ำน่าน” ซึ่งผลก็คือฝ่ายสุทโธนาคเป็นผู้ชนะ และได้ปลาบึกจากพระอินทร์เป็นรางวัลตามสัญญา จึงได้ถือว่าแม่น้ำนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค
ป่าคำชะโนด(ภาพ ททท.)
ต่อมาเนื่องจากพญานาคเป็นสัตว์เมืองบาดาล ไม่สามารถอยู่บนโลกมนุษย์ได้นาน สุทโธนาคจึงได้ขอให้พระอินทร์กำหนดสถานที่อยู่ให้ชัดเจนและมีทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ ซึ่งพระอินทร์ก็ได้กำหนดจุดที่เป็นประตูเชื่อมต่อไว้ 3 แห่งด้วยกันคือที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว 2 แห่ง และแห่งที่ 3 ให้เป็นที่พำนักของสุทโธนาคคือที่ “คำชะโนด” อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม“ป่าคำชะโนด” หรือ “เมืองคำชะโนด”...

ป่าคำชะโนด หรือ วังนาคินทร์ ปัจจุบันมีลักษณะเป็นเกาะ บริเวณรอบๆเกาะคำชะโนดเป็นทุ่งนาโล่งกว้าง โดยมีเฉพาะที่บนเกาะคำชะโนดเท่านั้นที่มีลักษณะเป็นป่าดิบประมาณ 20 กว่าไร่ บนนี้มีไม้หลักคือ“ไม้ชะโนด” ที่เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างต้นตาล ต้นมะพร้าว และต้นหมาก ดูสูงชะรูด
สะพานพญานาคนำไปสู่ป่าคำชะโนด
บนเกาะคำชะโนดมีทางเดินพญานาคนำทางมาถึงยังเมืองคำชะโนด หรือวังนาคินทร์ หรือ “วัดสิริสุทโธ” ซึ่งทางด้านซ้ายมือจะมีศาลาที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อปู่ศรีสุทโธ หรือสุทโธนาค และเจ้าย่าปทุมมา ส่วนทางด้านขวามือหากเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆจะเจอกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งในตำนานก็คือทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ของเหล่าพญานาคที่พระอินทร์ทรงประทานให้
บ่อพญานาคที่สร้างเชื่อมต่อกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
สำหรับเหตุที่เชื่อว่าบ่อน้ำแห่งนี้เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากน้ำในบ่อน้ำแห่งนี้ก็ไม่เคยลดแห้งลง จะรักษาระดับอยู่เท่าเดิมตลอดทั้งปี และเคยมีคนเอาไม้ไผ่ 2 ลำมาต่อกันแล้วหยั่งลงไปวัดความลึกของน้ำแต่หยั่งไม่ถึง

และเชื่อกันว่าน้ำในบ่อนี้จะไปทะลุที่ “แก่งอาฮง” แห่ง จ.บึงกาฬ ในปัจจุบัน

แก่งอาฮง บึงกาฬ
แก่งอาฮง จ.บึงกาฬ
แก่งอาฮง อ.เมือง จ.บึงกาฬ เป็นจุดที่มีความเชื่อว่าเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองคำชะโนด จ.อุดรธานี ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

แก่งอาฮง ได้ชื่อว่าเป็น“สะดือแม่น้ำโขง” มีความเชื่อว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุด เคยวัดความลึกในหน้าแล้งได้ถึง 99 วา โดยกระแสน้ำบริเวณนี้จะไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลาก และมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่

นอกจากนี้ชาวบ้านยังเชื่อว่าบริเวณแก่งอาฮงนั้นเป็นถ้ำของพญานาค ซึ่งมีปากถ้ำอยู่ที่ฝั่งลาว ปัจจุบันถ้ำดังกล่าวมีการสร้างเจดีย์ครอบไว้เพื่อไม่ให้เกิดการบุกรุกเข้าไปภายในถ้ำอีกด้วย
วัดอาฮงศิลาวาส
ขณะที่บริเวณแก่งอาฮงทางฝั่งไทยนั้นเป็นที่ตั้งของ “วัดอาฮงศิลาวาส” หรือ “วัดอาฮง”ที่ตั้งอยู่ที่บ้านอาฮง ต.ไคศี

วัดอาฮง เป็นวัดริมแม่น้ำโขงที่มีทิวทัศน์อันสวยงาม ตั้งอยู่ติดกับแก่งอาฮง ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขงที่ถือเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง อีกทั้งยังเชื่อกันว่ามีเส้นทางของพญานาคหรือรูพญานาคอยู่บริเวณนี้

วัดอาฮง เป็นหนึ่งในจุดชมบั้งไฟพญานาคของจังหวัดบึงกาฬ ภายในวัดโดดเด่นไปด้วยการก่อสร้างวัดสอดรับไปกับสภาพพื้นที่ที่มีก้อนหินขนาดยักษ์อยู่เป็นจำนวนมาก
พระพุทธคุวานันท์ศาสดา วัดอาฮง
สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำดับสุดท้ายที่วัดแห่งนี้ก็คือ “พระพุทธคุวานันท์ศาสดา” พระพุทธรูปที่งดงามลักษณะเดียวกันกับพระพุทธชินราช ซึ่งเชื่อกันว่าใครที่มาสักการบูชาจะประสบความสำเร็จด้านโชคลาภ และเมตตามหานิยม

นอกจากพระพุทธคุวานันท์ฯแล้ว บริเวณภายในผนังโบสถ์ด้านหลังองค์พระยังมี พระพุทธรูปทองคำศักดิ์สิทธิ์องค์เล็กประดิษฐานอยู่อีก 2 องค์ ซ้าย-ขวา ส่วนภายในบริเวณวัดก็มีรูปปั้นของเทพธิดาสะดือแม่น้ำโขง ซึ่งชาวบ้านนิยมมาบนบานศาลกล่าว เพราะเชื่อว่าจะให้โชคดีด้านความรักและโชคลาภ

เกล็ดพญานาค หนองคาย
หาดทราย เกล็ดพญานาค
จากบึงกาฬ เลาะริมฝั่งโขงมายัง อ.สังคม จ.หนองคาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งดินแดนที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับพญานาคที่น่าสนใจไม่น้อย

เริ่มจาก “เกล็ดพญานาคริมโขง” ที่เป็นหาดทรายริมน้ำโขงแห่งบ้านปากโสม อ.สังคม ยามเมื่อน้ำลดในหน้าแล้งจะมองเห็นสันทรายที่ปรากฏมีลักษณะเป็นริ้วรอยคล้ายเกล็ดพญานาคอย่างชัดเจน จึงถูกเรียกขานให้เป็น “เกล็ดพญานาคริมโขง

สำหรับจุดชมเกล็ดพญานาคริมฝั่งโขงที่สวยงามและเด่นชัดนั้นอยู่ที่ “วัดผาตากเสื้อ” ที่ตั้งอยู่บนขุนเขาในเขต ต.ผาตั้ง อ.สังคม
วัดผาตากเสื้อ
วัดผาตากเสื้อ เป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เมื่อมองลงไปนอกจากจะมีมุมที่มองเห็นเกล็ดพญานาคแล้ว ยังมองเห็นวิวแม่น้ำโขงที่วาดยาวโค้งเป็นคุ้งน้ำ กลางแม่น้ำมีเกาะขนาดใหญ่ ทำให้แม่น้ำโขงช่วงนี้มีลักษณะคล้ายแยกเป็นรูป Y ที่มองเห็นประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน

ปัจจุบันทางวัดผาตากเสื้อได้สร้างความฮือฮาด้วยการสร้างจุดชมวิวเป็น“สกายวอล์ก” พื้นกระจกใส ที่ถือเป็นสกายวอล์กแห่งแรกในประเทศไทย ก่อนที่อีกหลายๆแห่งจะมีแนวคิดในการสร้างสกายวอล์กพื้นกระจกใสตามกันขึ้นมา
สกายวอล์กพื้นกระจกใส วัดผาตากเสื้อ
นอกจากไฮไลท์จุดชมวิวแล้ว วัดผาตากเสื้อยังมีโบสถ์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มีทางเดินบันไดนาคอันสวยงาม และมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดให้สักการบูชา

เรียกได้ว่ามาวัดนี้วัดเดียว ได้ชมทั้งธรรมชาติ แถมได้ไหว้พระ อิ่มบุญกันถ้วนหน้า

ถ้ำดินเพียง หนองคาย
ทางเดินในถ้ำดินเพียง
ยังอยู่กันใน อ.สังคม จ.หนองคาย กับอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับพญานาค นั่นก็คือ “ถ้ำดินเพียง” ที่มีความเชื่อของคนในพื้นที่ว่าเป็น “ถ้ำพญานาค” เนื่องจากเป็นถ้ำที่ภายในถ้ำเป็นช่องทางเล็กๆซอกซอนมากมาย ดูคล้ายเส้นทางเลื้อยของพญานาคหรืองูใหญ่

ถ้ำดินเพียง ตั้งอยู่ที่ “วัดถ้ำดินเพียง” หรือ “วัดถ้ำศรีมงคล” บ้านดงต้อง ต.ผาตั้ง อ.สังคม เหตุที่ถ้ำนี้มีชื่อว่าถ้ำดินเพียง ก็เพราะเป็นถ้ำใต้ดิน ปากทางเข้าอยู่เสมอดินในระดับปกติ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า“ถ้ำดินเพียง”

ส่วนเหตุที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า”ถ้ำพญานาค”นั้น มีตำนานเรื่องเล่าขานว่า ภายในถ้ำเป็นประตูมิติเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และเมืองบาดาล เป็นเส้นทางที่พญานาคใช้เดินทางกลับสู่ใต้บาดาล และยังเป็นเส้นทางที่พระธุดงด์ทรงศีลแก่กล้าจากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย

นอกจากนี้ถ้ำดินเพียงยังเป็นทางเข้า-ออกของธิดาพญานาค ซึ่งมาหลงรักเจ้าชายของเมืองนี้บนโลกมนุษย์ แต่ครั้นพอถึงวันออกพรรษา ธิดาพญานาคต้องกลับสู่เมืองบาดาลเพื่อไปเล่นน้ำกับพญานาคด้วยกัน จนสุดท้ายเจ้าชายตามมาพบ รู้ว่าคนรักของตนเป็นพญานาคจึงขอตัดขาดจากกันที่ถ้ำแห่งนี้
ศาลพ่อปู่อินทร์นาคราช - แม่ย่าเกตุนาคราช
ด้วยความเชื่อว่าเป็นถ้ำพญานาค จึงมีการสร้าง“ศาลพ่อปู่อินทร์นาคราช - แม่ย่าเกตุนาคราช” ไว้ที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำให้สักการบูชา

ขณะที่ภายในถ้ำดินเพียงนั้น จากปากทางเข้าถ้ำจะเป็นช่องเล็กๆ ที่ต้องก้มลอดตัวเข้าไป เมื่อเข้าไปด้านในบางช่วงจะเป็นน้ำสลับพื้นดิน ในช่วงแรกจะผ่านจุดที่ต้องใช้ความพยายามสักหน่อย เนื่องจากทางเข้าเป็นทางที่แคบและเล็ก แต่ละคนก็ต่างทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะผ่านเข้าไปด้านในได้
ภายในถ้ำดินเพียงบางช่วงต้องมุด หมอบ คลาน กันอย่างตื่นเต้น
เมื่อเข้ามาถึงด้านในจะมีลักษณะเป็นโพรง ซอก ซอย เป็นพันๆ ช่อง ที่เกิดจากน้ำกัดเซาะเป็นเวลานาน ซึ่งในการเดินภายในถ้ำจำเป็นต้องมีคนนำทางและต้องเดินตามไฟที่เปิดไว้ เพราะด้านในจะเป็นโพรงที่ทะลุถึงกันหมด หากเดินเองโดยไม่มีคนนำทางอาจหลงเข้าไปได้ หลังจากเดินก้มๆ เงยๆ อยู่ไม่นาน คนนำทางก็ชี้ให้เราดูยังห้องต่างๆ ภายในถ้ำ ทั้งห้องโถง ห้องหีบศพปู่อินทร์นาคราช ช้างสามเศียร บัลลังก์พญานาค ธิดาพญานาค 3 องค์ ฯลฯ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามหากมองถึงการเกิดถ้ำดินเพียงตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ นี่เป็นลักษณะของถ้ำที่เกิดจากแม่น้ำโขงกัดเซาะใต้ดิน จนเกิดเป็นรูโพรงซอกซอน และมีน้ำท่วมขังเตี้ยๆบางจุด อันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของถ้ำดินเพียงแห่งนี้

บั้งไฟพญานาค หนองคาย-บึงกาฬ
แม่น้ำโขง หนึ่งในสายน้ำที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคอันลือลั่น(สถานที่ในภาพ วิวแม่น้ำโขงเมื่อมองจากจุดชมวิววัดผาตากเสื้อ)
ยังอยู่กันที่ จ.หนองคาย-บึงกาฬ กับปรากฏการณ์“บั้งไฟพญานาค”อันลือลั่น

บั้งไฟพญานาค มีลักษณะเป็นลูกสีแดงอมชมพู พวยพุ่งขึ้นจากใต้ลำน้ำโขง ในบริเวณริมฝั่งโขง จ.หนองคาย-บึงกาฬ และเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยทุกๆปีจะเกิดขึ้นในทุกคืนวันออกพรรษา(15 ค่ำเดือน 11)

บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์ปริศนาที่มีความเชื่อแตกออกเป็น 3 สาย บ้างก็ว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ บ้างว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของพญานาค อันเป็นที่มาของคำเรียกขานว่า “บั้งไฟพญานาค”
ความเชื่อเรื่องพญานาคในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ตามวัดวาอารามต่างๆทั่วเมืองไทย(สถานที่ในภาพ วัดพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน)
สำหรับเรื่องเล่าขานตำนานเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคที่เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของพญานาคมีดังนี้

...ในอดีตกาลเชื่อว่าใต้ลำน้ำโขงช่วงเขต จ.หนองคาย จ.บึงกาฬ และเมืองเวียงจันทน์ในประเทศลาวนั้น เป็นเมืองที่สร้างและปกครองเมืองโดยพญานาค

โดยที่เขต อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จุดที่พบบั้งไฟมากที่สุดเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ของพญานาค ส่วนที่แก่งอาฮง อ.เมือง จ.บึงกาฬ นั้นถือว่า เป็นเมืองหลวงของพญานาค เนื่องจากว่าจุดนั้นเป็น “สะดือแม่น้ำโขง” หรือส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง ซึ่งชาวประมงเคยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปในหน้าแล้งแล้ววัดดูปรากฏว่ามีความลึก 99 วา ของผู้ใหญ่
แก่งอาฮง 1 ใน จุดที่มีบั้งไฟพญานาคให้ชม
ทั้งนี้เรื่องของพญานาคและเมืองบาดาลก็ได้ไปสอดรับกับเรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามะกะ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้....
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค(ภาพจากแฟ้มภาพ)
สำหรับจุดชมบั้งไฟพญานาค จ.หนองคายและบึงกาฬ นั้นก็มีหลากหลายจุดด้วยกัน โดยที่เด่นๆนั้นก็มี

จ.หนองคาย ที่ อ.โพนพิสัย - ในเขตเทศบาล ต.จุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ต.กุดบง บ้านหนองกุ้ง, อ.รัตนวาปี - บริเวณปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจานเหนือ บ้านหนองแก้ว, อ.ศรีเชียงใหม่ - บริเวณวัดหินหมากเป้ง, อ.สังคม - บริเวณหน้าที่ว่าการ อ.สังคม บริเวณอ่างปลาบึก บ้านผาตั้ง รวมไปถึงอำเภอเมือง ก็สามารถพบบั้งไฟพญานาคได้เช่นกัน

ด้านในจังหวัดบึงกาฬ จุดชมบั้งไฟพญานาคที่เด่นก็มีที่ อ.เมือง บริเวณแก่งอาฮง วัดอาฮง ต.หอคำ ซึ่งเป็นจุดที่เชื่อกันว่าเป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล เพราะเป็นสะดือแม่น้ำโขงที่มีความลึกมาก ขณะที่ใน อ.ปากคาด ก็สามารถชมได้เช่นกัน
แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเฝ้ารอชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากใน 2 จังหวัดหนองคาย บึงกาฬแล้ว ในรอบหลายปีที่ผ่านมาในคืนวันออกพรรษาได้มีรายงานบั้งไฟพญานาคขึ้นอยู่บ่อยครั้งในลำน้ำโขง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี บริเวณบ้านท่าล้ง และบ้านตามุย นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่ต้องการชมบั้งไฟพญานาค

และนี่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับพญานาค ซึ่งเรื่องราวของพญานาคนั้นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล(ย้ำว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล)

ขณะที่เรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับพญานาคบางแห่ง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นและมีลักษณะเฉพาะตัวอันโดดเด่น จึงมีคนจินตนาการนำไปผูกโยงเข้ากับความเชื่อในเรื่องของพญานาค ที่มีอยู่คู่กับความเชื่อของคนไทย(ส่วนหนึ่ง)มาช้านาน

โดยหนึ่งในนั้นก็คือละครเรื่อง“นาคี” ที่กำลังออกอากาศเป็นที่โด่งดังฮอตฮิตอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
*****************************************

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น