“เมืองสามหมอก”
คือฉายาของจังหวัด“แม่ฮ่องสอน” ที่ล้วนคุ้นหูรู้จักกันเป็นอย่างดี
สำหรับในช่วงฤดูฝนที่ถือเป็น“กรีนซีซัน”(Green Season)ทางการท่องเที่ยว แม่ฮ่องสอนเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เปล่งศักยภาพความงามออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
ใครที่ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนในช่วงนี้ จะได้สัมผัสกับบรรยากาศความเขียวขจีของขุนเขาป่าไพร ท้องไร่ท้องนาที่ดูสดชื่นเพลินตาสบายใจ โดยเฉพาะทุ่งนาขั้นบันไดในยามที่มีฉากหลังเป็นสายหมอกฝนขาวโพลนลอยไต่ไล่ละเลี่ย หยอกล้อไปกับเทือกเขาดงดอย ดูโรแมนติกชวนฝันไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ภูมิภาคภาคเหนือ และ ททท.แม่ฮ่องสอน” จึงได้จัดเส้นทางท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว“กลุ่มผู้หญิง” ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพและกำลังมาแรงขึ้น โดยพาไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของเมืองสามหมอกในเส้นทางท่องเที่ยววงรอบ “เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-ปาย-เชียงใหม่” รวมระยะเวลา 4 วัน 3 คืน
นับเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเลาะเลี้ยวตามโค้งอันทรงเสน่ห์ ที่คุณผู้หญิงสามารถเลือกเที่ยวแบบ“บินไป-กลับ ขับรถเที่ยว”ด้วยตัวเอง หรือจะรวมทีมเช่ารถตู้เที่ยวกันแบบยกก๊วน สนุกกันแบบยกแก๊ง ไปกับบรรยากาศกรีนซีซันอันเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำของเมืองสามหมอกที่จะชวนให้ประทับใจไม่รู้ลืม
ฮอด
“1,864 โค้งแห่งความทรงจำ”
คือเส้นทางสาย 108 (ถนนสาย108) จากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน(สายล่าง) ในเส้นทาง เชียงใหม่-ฮอด-แม่สะเรียง-แม่ลาน้อย-ขุนยวม-แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถเที่ยวสุดคลาสสิกของบ้านเรา
สำหรับโปรแกรมวันแรก หลังเดินทางจากกรุงเทพฯสู่จังหวัดเชียงใหม่ “ตะลอนเที่ยว”กับคณะเลดี้ทริป ออกเดินทางต่อจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนสาย 108 สู่ อ.ฮอด ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ“โค้งแรก” ในเส้นทาง “1,864 โค้งแห่งความทรงจำ”
จากนั้นเราเที่ยวเปิดประเดิมทริปกันที่ “อุทยานแห่งชาติออบหลวง” เพื่อชมความงาม “ออบหลวง” ที่ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์อันชวนทึ่งของธรรมชาติ
“ออบหลวง” มีลักษณะเป็นช่องผาแคบขนาดใหญ่ มีลำน้ำแม่แจ่มไหลผ่านระหว่างกลางด้วยความเชี่ยวกรากรุนแรงแทรกไปในระหว่างโตรกผาหิน
ด้านบนของช่องแคบมีสะพานสายสั้นๆทอดผ่านเชื่อมหน้าผาเข้าด้วยกัน ถือเป็นจุดไฮไลต์สำคัญของออบหลวง ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปยืนชมวิวและถ่ายรูปบนนั้นกันเป็นจำนวนมาก
จากออบหลวงเราเดินทางต่อไปอีกไม่ไกลสู่ “สวนสนบ่อแก้ว”หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “สถานีวนวัฒนวิจัยบ่อแก้ว” ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายฮอด-แม่สะเรียง บริเวณกิโลเมตรที่ 36-37
สวนสนบ่อแก้ว เป็นสวนสนที่ปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสวยงามริมถนนสาย 108 ภายในสวนสนบริเวณช่วงกลางมีถนนทอดผ่าน ขนาบข้างด้วยต้นสนใหญ่สูงตระหง่าน ในช่วงเช้าและเย็น ยามเมื่อแสงแดดอ่อนๆสาดส่องทาบทอกระทบกับแนวต้นสน จะเกิดเป็นภาพสวนแสนสวยสุดโรแมนติก จนถูกยกให้เป็นดัง “เกาะนามิ(เกาหลี) เมืองไทย” เพราะดูคล้ายกับฉากโรแมนติกแห่งเกาะนามิ ในซีรีส์เกาหลี
สวนสนบ่อแก้ว ถือเป็นหนึ่งในจุดไฮไลต์สำคัญของ อ.ฮอด ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างสูง ใครที่ผ่านไปในเส้นทางสายนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
แม่สะเรียง
หลังถ่ายภาพ เซลฟี่ วีฟี่ ที่สวนสนบ่อแก้วกันอย่างเพลิดเพลินจุใจแล้ว คณะเลดี้ทริปออกเดินทางข้ามเขตจังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่เขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่อำเภอ“แม่สะเรียง” อำเภอเล็กๆ อันสงบงาม เป็นทางผ่านและจุดพักระหว่างทางที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาพักผ่อน สัมผัสกับบรรยากาศชิลๆ ปล่อยอารมณ์ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่นี่
อ.แม่สะเรียงได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่ง “พระธาตุ 4 จอม” เนื่องจากมีการสร้างพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองไว้ ทั้ง 4 ทิศ 4 มุมเมือง ได้แก่ “พระธาตุจอมกิตติ”, “พระธาตุจอมทอง”, “พระธาตุจอมแจ้ง”, และ “พระธาตุจอมมอญ”
นอกจากนี้ อ.แม่สะเรียง ยังมี “วัดศรีบุญเรือง”และ“วัดจองสูง” (วัดอุทธยารมย์) เป็นอีก 2 วัดสำคัญในตัวเมือง ซึ่งวัดทั้งสองอยู่ติดกัน สามารถเดินไป-มาหาสู่กันได้
วัดศรีบุญเรือง เป็นวัดที่งดงามไปด้วยลวดลายฉลุไม้ประดับอยู่ตามจุดต่างๆของวัด ภายในโบสถ์ประดิษฐานพระพุทธรูปหยกขาวองค์ใหญ่ศิลปะพม่าดูงดงามเปี่ยมศรัทธา ส่วนวัดจองสูงภายในวัดนั้นโดดเด่นไปด้วยพระธาตุเจดีย์เก่าแก่อันสวยงามคลาสสิก
สำหรับในทริปนี้ คณะเราเมื่อมาถึงยัง อ.แม่สะเรียง ก็เดินทางไปฝากท้องดับหิวมื้อบ่ายกันที่“ร้านอินทิรา” ซึ่งเป็นร้านอาหารเจ้าดังรับแขกบ้านแขกเมืองของที่นี่ ก่อนจะไปแวะที่ร้าน“เพ็ญหมูทุบ แม่สะเรียง”(ศรีเพ็ญ ธิมา) ที่ตั้งอยู่ใกล้สามแยกใหญ่ ตรงข้าม(อดีต)พิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง
ร้านเพ็ญหมูทุบฯ เป็นร้านอาหารพื้นเมืองเจ้าดังแห่ง อ.แม่สะเรียง ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของหมูทุบ-เนื้อทุบ รสอร่อย เนื้อนุ่มละมุนเคี้ยวเพลินปาก โดยเฉพาะเนื้อทุบของที่นี่สุดยอดเลยทีเดียว
ต่อจากนั้น เราไปนั่งชิลกันที่ “ร้านลุ่มเวียง”(ตั้งอยู่หัวมุม ถ.แสนทอง ตรงข้ามวัดแสนทอง) ร้านกาแฟเล็กๆ ตกแต่งอย่างกิ๊บเก๋มีสไตล์ เมื่อมองออกไปทางหน้าร้านจะเห็นวิวทิวทัศน์ของท้องทุ่งนาเขียวขจีสวยงาม ดูสดชื่นเพลินตาสบายใจ ช่วยเติมพลังให้กับเราก่อนออกเดินทางลัดเลาะตะลุยโค้งสู่จุดหมายต่อไปได้เป็นอย่างดี
แม่ลาน้อย เมืองร้อยนา
สำหรับจุดพักนอนในค่ำคืนแรกของคณะเลดี้ทริปนั้นอยู่ที่ “เฮินไต รีสอร์ท” ต.แม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย ที่พักที่กำลังมาแรงของ จ.แม่ฮ่องสอน
เฮินไต (แปลว่า บ้านไทยใหญ่) เป็นที่พักสไตล์บ้านไทยใหญ่ประยุกต์ที่มีบรรยากาศดีมากๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของท้องทุ่งนาที่จะเปลี่ยนสีเขียว-เหลืองไปตามฤดูกาล
เฮินไต รีสอร์ท ถือเป็นที่พักในบรรยากาศสุดฟิน ซึ่งหลังจาก“ตะลอนเที่ยว” นอนหลับสบายในค่ำคืนแรกแล้ว เช้าวันที่สอง เราตื่นขึ้นมาสูดโอโซนท่ามกลางบรรยากาศของท้องทุ่งนาหน้าฝนอันเขียวขจีสวยงาม
สำหรับอำเภอแม่ลาน้อยนั้นได้ชื่อว่า“เมืองร้อยนา” เพราะเป็นเมืองที่มีการปลูกข้าวกันเป็นจำนวนมาก ทั้งการทำนาบนพื้นที่ราบและการทำนาขั้นบันไดที่ปลูกไล่ระดับกันไปตามภูมิประเทศ
โดยหลังจากกินอาหารเช้าอิ่มหนำแล้ว คณะเลดี้ทริปเราออกเดินมุ่งหน้าสู่ “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย” หรือที่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “โครงการหลวงแม่ลาน้อย” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านดง ต.ห้วยห้อม อ.แม่ลาน้อย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องวิวทิวทัศน์ของท้องทุ่งนาขั้นบันไดอันงดงาม
โครงการหลวงแม่ลาน้อย ก่อตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมอาชีพต่างๆ พัฒนางานด้านการเกษตรแก่ชาวบ้านในพื้นที่ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ภายในบริเวณพื้นที่โครงการหลวงแม่ลาน้อย มีท้องทุ่งนาขั้นบันไดอันโดดเด่นสวยงามท่ามกลางขุนเขาโอบล้อม ในช่วงฤดูฝนทุ่งนาขั้นบันไดที่นี่จะดูเขียวจีสดสวยสบายตา ขณะที่ในช่วงยามเช้าไปจนถึงช่วงสายๆ จะมีสายหมอกฝนลอยไต่ไล่เลี่ยปกคุลมยอดเขา เป็นฉากหลังประดับทุ่งนาดูสวยงามโรแมนติกชวนฝันเป็นยิ่งนัก
นอกจากนี้โครงการหลวงแม่ลาน้อยยังมีแปลงปลูกผักปลอดสารพิษและโรงเรือนปลูกผืชผักเมืองหนาวต่างๆ อาทิ พริกเม็กซิกัน, เคพกูสเบอร์รี่หรือโทงเทงฝรั่ง, เสาวรส, ผักเบบี้ฮ่องเต้ ถั่วแดงหลวง ผักสลัดต่างๆ ฯลฯ อีกทั้งมีการส่งเสริมอาชีพนอกภาคการเกษตรต่างๆ เช่น ผ้าทอมือละว้า เครื่องเงิน ผ้าทอขนแกะและการปลูกกาแฟที่มีแหล่งผลิตสำคัญอยู่ที่ “บ้านห้วยห้อม” ซึ่งถือเป็นอีกจุดหมายในลำดับต่อไปของคณะเรา
บ้านห้วยห้อม
บ้านห้วยห้อม เป็นชุมชนเก่าแก่ก่อตั้งมาประมาณ 200 ปี ตั้งอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติและขุนเขา มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาว“ปกาเกอะญอ”(กะเหรี่ยง-คำไม่สุภาพ) ที่ดำรงวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายผูกพันกับธรรมชาติ และยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ชาวบ้านห้วยห้อมมีอาชีพหลักคือการทำนาปลูกข้าว รองลงมาคือการปลูกพืชสวน เลี้ยงสัตว์ และอีก 2 อาชีพเด่น คือการปลูกกาแฟ และการเลี้ยงแกะเพื่อนำมาทำเป็นผ้าทอขนแกะจำหน่าย
กาแฟที่นี่เป็นกาแฟพันธุ์อะราบิก้า คุณภาพดีที่ได้รับการรับรอง GAP จากกรมวิชาการเกษตร ผลิตส่งขายให้กับมูลนิธิโครงการหลวง และบริษัท สตาร์บัคส์ นอกจากนี้ที่บ้านห้วยห้อมยังมีกาแฟขี้ชะมดที่กำลังมาแรง
ขณะที่งานผ้าทอขนแกะบ้านห้วยห้อมนั้น เป็นงานฝีมือที่ประยุกต์จากภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่มีการเลี้ยงแกะ ตัดขนแกะ แล้วนำขนแกะมาย้อมสีธรรมชาติ ก่อนนำมาทอมือแบบโบราณสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อันงดงามประณีต ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ผ้าพันคอ ย่ามผ้าคลุมไหล่ ผ้าคลุมเตียง เป็นต้น
นอกจากนี้ที่บ้านห้วยห้อมยังมีโฮมสเตย์ มีกิจกรรมสัมผัสกับวิถีชาวปกาเกอะญอ เส้นทางเดินป่าเชิงนิเวศตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชมไร่กาแฟที่ปลูกสลับกับต้นไม้ใหญ่ในป่า ชมกระบวนการทำผ้าทอขนแกะ และเลือกชอปผลิตภัณฑ์ผ้าทอขนแกะติดไม้ติดมือกลับบ้าน
รวมถึงนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางมารับประทานอาหารพื้นบ้านที่นี่ และดื่มด่ำไปกับการจิบกาแฟอะราบิก้า(แก้วละ 20 บาท) หรือกาแฟขี้ชะมด(แก้วละ 100 บาท-ควรโทร.แจ้งล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 2 วัน) ในท่ามกลางบรรยากาศอ้อมกอดของขุนเขาอันสุดฟิน
ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
หลังสาวๆกินมื้อเที่ยงอิ่มหนำ จากอาหารพื้นบ้านรสเด็ด กาแฟรสดี และสบายกระเป๋าไปกับการชอปปิ้งผ้าทอขนแกะที่บ้านห้วยห้อม คณะเลดี้ทริปก็ได้เวลาล่ำลาจากบ้านห้วยห้อมและอำเภอแม่ลาน้อย ออกเดินทางต่อไปตามถนนหมายเลข 108 ผ่านอำเภอขุนยวม มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
ครั้นเมื่อเดินทางเข้าสู่เขตตัวเมือง ผ่านซุ้มประตูเมืองแม่ฮ่องสอนและหลักกิโล 0 แม่ฮ่องสอนจำลอง คณะเราแวะกระจายรายได้กันอีกครั้งที่ ร้าน“เฮ็ดก้อเหลียว” ที่ดำเนินงานโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เฮ็ดก้อเหลียว แปลว่าทำคนเดียว หรือทำเองกับมือ เป็นร้านขายสินค้าที่ระลึกบรรยากาศดี ตกแต่งสวยงาม มีสินค้าคุณภาพอันหลากหลายจาก 7 อำเภอในจังหวัดแม่ฮ่องสอน แบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆให้เลือกชอปกันอย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ถั่ว งา สมุนไพร ชากาแฟ ไวน์ผลไม้ น้ำผลไม้ ผ้าทอ เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอางสมุนไพร ตุ๊กตาชนเผ่า ดอกเอื้องแซะปั้นดินจำลอง ฯลฯ
ต่อจากร้านเฮ็ดก้อเหลียว เราขึ้นไปสักการะ “พระธาตุดอยกองมู” สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใน “วัดพระธาตุดอยกองมู”
พระธาตุดอยกองมู เป็นพระธาตุเจดีย์สีขาวเด่น 2 องค์ ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ริมดอยกองมู เจดีย์องค์ใหญ่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2403 โดย “จองต่องสู่” เจดีย์องค์เล็กสร้างในปี พ.ศ. 2417 โดย “พระยาสิงหนาทราชา”
ที่ฐานองค์ระฆังรอบเจดีย์ทั้ง 2 องค์ ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดให้สักการบูชา โดยทางวัดได้จัดชุดบูชาดอกไม้ธูปเทียนไว้สำหรับบูชาองค์พระธาตุ พระประจำวันเกิด และบูชาธาตุทั้ง 4 เพื่อความเป็นสิริมงคลตามกำลังศรัทธา
ส่วนบริเวณลานพระธาตุด้านหลังมี“วิหารหลวงพ่อทันใจ” ให้เข้าไปสักการะขอพรองค์หลวงพ่อทันใจที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน นอกจากนี้ที่ด้านหลังองค์พระธาตุยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี ด้านหนึ่งมองเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนกับหนองจองคำ ส่วนด้านหนึ่งมองเห็นสนามบินแม่ฮ่องสอน ที่มีคนนิยมมาเฝ้ารอชมเครื่องบินขึ้น-ลง กันไม่ได้ขาด
ไม่ไกลจากองค์พระธาตุดอยกองมู ไปทางลานจอดรถหลังวัด เป็นที่ประดิษฐาน“พระพุทธรูปหินหยกขาว” องค์ใหญ่ที่มีพุทธลักษณะอ่อนช้อยงดงาม พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่ถัดเข้ามาใกล้ๆกันจะมีร้าน“ก่อนตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผา” ร้านกาแฟชื่อโดน บรรยากาศดี มีมุมเด็ดให้นั่งละเลียดกาแฟ พร้อมชมวิวทิวทัศน์ขุนเขาของเมืองสามหมอกกันอย่างสุขอารมณ์
หลังใช้เวลาที่วัดพระธาตุดอยกองมูอยู่พอสมควร โปรแกรมเที่ยวจุดสุดท้ายของวันที่สอง พวกเราไปกันที่ “วัดจองคำ” และ “วัดจองกลาง” 2 วัดคู่แฝดที่ตั้งอยู่ริมหนองจองคำใจกลางเมืองแม่ฮ่องสอน
วัดจองคำ-วัดจองกลาง ตั้งอยู่ติดกัน ไม่มีรั้วกั้น สามารถเดินไป-มาหาสู่กันได้อย่างสบายๆ จนหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นวัดเดียวกัน
วัดจองคำ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2370 เป็นวัดเก่าแก่แห่งเมืองสามหมอก เหตุที่เรียกว่าวัดจองคำ เพราะที่เสาวัดประดับไปด้วยทองเปลวเหลืองอร่าม
ภายในวัดจองคำ มีพระพุทธรูปองค์สำคัญคือ“หลวงพ่อโต” พระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ศิลปะไทยใหญ่ผสมกับศิลปะแบบตะวันตก
ส่วนวัดจองกลางนั้นโดดเด่นไปด้วยองค์พระธาตุเจดีย์สีขาวยอดสีทองอันสวยงามสมส่วน ขณะที่ภายในวิหารของวัด มีแท่นบูชาประดิษฐานองค์พระพุทธสิหิงค์จำลอง และพระพุทธรูปอื่นๆอีกหลากหลาย รวมไปถึง“พระเจ้าอินทร์สาน” ที่เป็นพระพุทธรูปสานจากไม้ไผ่ฝีมือช่างภูมิปัญญาพื้นบ้านโบราณอันประณีตสวยงาม หาชมได้ยากยิ่ง
สะพานซูตองเป้
เช้าวันที่สาม
หลังพักผ่อนนอนหลับสบายท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นที่ “เฟิร์นริมธาร รีสอร์ท” หนึ่งในที่พักบรรยากาศดีแห่งเมืองสามหมอก คณะเราตื่นแต่เช้าตรู่ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ “สะพานซูตองเป้” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านกุงไม้สัก ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 8 กิโลเมตร
ซูตองเป้ เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จสัมฤทธิผล เป็นสะพานไม้ไผ่กว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตร ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สร้างทอดข้ามผ่านทุ่งนาจากบ้านกุงไม้สัก ข้ามผ่านแม่น้ำสะงา เชื่อมต่อไปสู่ “สวนธรรมภูสมะ” สถานปฏิบัติธรรมอันสงบ ปลีกวิเวก
สะพานซูตองเป้ เกิดจากแรงศรัทธาของชาวบ้าน ซึ่งเจ้าของที่นาได้ถวายผืนนาที่สะพานสร้างทอดผ่าน ส่วนคณะศรัทธาอื่นๆก็ได้บริจาคเสาไม้ บริจาคไม้ไผ่ แรงงาน และปัจจัยอื่นๆ ในการสร้างสะพานแห่งนี้
หลังสะพานแห่งนี้สร้างแล้วเสร็จ(เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2554) นอกจากประโยชน์ด้านการสัญจรไป-มาแล้ว ด้วยมนต์เสน่ห์ความสวยงามคลาสสิกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กอปรกับทำเลที่ตั้งท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันสวยงามของท้องทุ่งนา รวมถึงวิถีปฏิบัติของพระ-เณรแห่งสวนธรรมภูสมะนั้นก็เปี่ยมศรัทธาน่าเลื่อมใส ส่งผลให้วันนี้สะพานซูตองเป้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของแม่ฮ่องสอน ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสความงามกันไม่ได้ขาด
สำหรับคณะของพวกเรามาเฝ้ารอใส่บาตรพระ-เณร ที่ออกเดินข้ามสะพานซูตองเป้มาบิณฑบาต จากนั้นก็เพลิดเพลินกับการหามุมส่วนตัวถ่ายรูปบนสะพาน ก่อนจะขึ้นไปชมความงามของสะพานซูตองเป้ในมุมสูงกันที่สวนธรรมภูสมะ พร้อมเข้าไปกราบสักการะ“หลวงพ่อซูตองเป้” พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่าสีทองอร่ามที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารโถงไม่มีผนัง และเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจอื่นๆในสวนธรรมภูสมะแห่งนี้ ก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดต่อไป
ภูโคลน
หลังไหว้พระเสริมสิริมงคลที่สวนธรรมภูสมะแล้ว พวกเราออกเดินทางต่อไปยัง “ภูโคลน คันทรี คลับ” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านแม่สะงา ต.หมอกจำแป่ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
ภูโคลน เป็นแหล่งโคลนเดือดตามธรรมชาติที่ดีที่สุดในเมืองไทย และเป็น 1 ใน 3 ของโลกที่มีการค้นพบแหล่งโคลนเดือดตามธรรมชาติ
โคลนที่นี่เป็นโคลนบริสุทธิ์สีดำ อุณหภูมิ 60-140 องศาเซลเซียส ผุดขึ้นมาพร้อมกับน้ำแร่ธรรมชาติที่สะอาดปราศจากกลิ่นกำมะถัน อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณและระบบไหลเวียนโลหิต
ภูโคลนถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์อันน่าทึ่ง ปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอันโดดเด่นแห่งเมืองสามหมอก
ผู้มาเยือนภูโคลน นอกจากจะมาชมบ่อภูโคลนร้อนที่มีไอพวยพุ่งออกมาแล้ว ยังสามารถมาใช้บริการต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพของที่นี่ได้ ไม่ว่าจะเป็น บริการพอกโคลนผิวหน้า ขัดและนวดผิวหน้า, บริการพอกโคลนผิวกาย, ขัดผิวด้วยมะขาม, แช่น้ำแร่ และนวดไทย เป็นต้น
สำหรับคณะสาวๆที่มาที่นี่ ต่างก็ทดลองบริการพอกโคลนผิวหน้า ซึ่งจะใช้พู่กันจุ่มโคลนมาพอกหน้าจนทั่ว ใช้เวลาไม่กี่นาที จากนั้นทิ้งไว้ให้โคลนแห้งประมาณ 30 นาที
ระหว่างนี้พวกเราถือโอกาสนั่งแช่เท้าในบ่อน้ำแร่รอ จากนั้นเมื่อโคลนแห้งจึงล้างโคลนออกให้เกลี้ยง ซึ่งสาวๆทุกคนที่ใช้บริการต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใบหน้าสะอาด เต่งตึงสดชื่น บางคนติดใจถึงขนาดซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโคลนของที่นี่กลับไปใช้ต่อ นับเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์จากพื้นพิภพแห่งเมืองสามหมอกที่ถูกใจเหล่าสุภาพสตรีเป็นยิ่งนัก
บ้านรักไทย-วัดป่าถ้ำวัว
เสร็จจากกิจกรรมเสริมหน้าเด้ง “ตะลอนเที่ยว” กับคณะเลดี้ทริป เดินทางต่อไปยัง “บ้านรักไทย”(ต.หมอกจำแป่ อ.เมือง) ชุมชนชาวจีนยูนนาน(จีนยูนาน,จีนฮ่อ)ที่ภายในหมู่บ้านมีความสวยงามน่าเที่ยวชมมาก
บรรยากาศของบ้านรักไทยดูคล้ายกับหมู่บ้านในเมืองจีน ในหมู่บ้านมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยบ้านเรือนในสไตล์จีน มีไร่ชาที่ปลูกไล่ระดับไปตามภูมิประเทศอย่างสวยงาม
นอกจากนี้บ้านรักไทยยังขึ้นชื่อในเรื่องของชาและอาหารจีนยูนนาน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่นิยมมาจิบชา ซื้อชา และผลไม้ดองติดมือกลับไป รวมถึงแวะมากินอาหารจีนยูนนาน เช่นเดียวกับคณะเราที่หลังจากเที่ยวชมบ้านรักไทยแล้วก็จัดเต็มกับอาหารยูนนานที่ร้าน“ลีไวน์รักไทย” กับเซตอาหารจีนยูนนานที่จัดเสิร์ฟมาเต็มโต๊ะ นำโดย ขาหมูหมั่นโถว ไก่ดำตุ๋นยาจีน ยำใบชา และปลาสามรสยูนาน ซึ่งถือเป็นอีกมื้ออร่อยเด็ด
ต่อจากนั้นคณะเราออกมุ่งหน้าสู่ “วัดป่าถ้ำวัวสูญญตาราม” หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆว่า “วัดป่าถ้ำวัว” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยผา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีพระอาจารย์สายหยุด ปญฺญาธโร เป็นเจ้าอาวาส
วัดป่าถ้ำวัว เป็นวัดป่าสายวิปัสสนา เป็นสถานที่ที่ถือว่ามาแรงมากในหมู่นักปฏิบัติธรรมชาวต่างชาติ(ในแนววิถีพุทธ) วัดแห่งนี้ติด 1 ใน 5 สถานที่ที่น่าปฏิบัติธรรมมากที่สุดในโลก เปิดให้ทุกชนชาติ ทุกศาสนา เข้ามาพำนักปฏิบัติธรรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ขอให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางวัด
เมื่อเข้ามาที่วัดป่าถ้ำวัว เหมือนกับได้เข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่ง เป็นโลกทางธรรมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของขุนเขาอันร่มรื่น สงบ เป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน
ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมที่นี่จะได้ทำสมาธิ ฝึกจิต ภาวนา เดินจงกรม กำหนดลมหายใจเข้าออก ละวางจากทางโลก ให้ธรรมชาติเป็นเพื่อน เพื่อจะได้อยู่พิจารณาทบทวนตัวเอง เมื่อจิตใจสงบ มีสมาธิ ก็จะรู้สึกผ่อนคลาย เกิดปัญญา และนำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริง ดังข้อความที่ทางวัดได้เขียนติดไว้เตือนใจที่ต้นไม้ต้นหนึ่งว่า
“ถ้าทำใจให้สงบ จะพบกับความสุขเยือกเย็น”
ปาย
แม้จะใช้เวลาอยู่ที่วัดป่าถ้ำวัวไม่นาน แต่คณะเลดี้ทริปก็ได้ชโลมจิตใจจากธรรมชาติ และหลักธรรมคำสอนต่างๆของที่นี่ ซึ่งสามารถนำกลับมาประยุกต์ใช้กับวิถีชีวิตประจำวันของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ต่อจากนั้นพวกเรามุ่งหน้าเดินทางยาวสู่“อำเภอปาย”หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองไทย ไปในถนนสาย 1095 บนเส้นทางพิชิต 2,224 โค้ง (แม่ฮ่องสอน-ปาย-เชียงใหม่) โดยในช่วงรอยต่อระหว่าง อ.ปางมะผ้า กับ อ.ปาย พวกเราแวะพักรถ เข้าห้องน้ำห้องท่า และชมวิวทิวทัศน์กันที่ “จุดชมวิวกิ่วลม” ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,300 เมตร
แล้วจึงออกมุ่งต่อไปสู่ อ.ปาย ซึ่งหลังจากเข้าที่พักเก็บของ รับประทานอาหารเย็นเสร็จสรรพ ในค่ำวันนั้น คณะเราไม่พลาดการออกมาเดิน“ถนนคนเดินปาย”ในยามค่ำคืน เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศถนนคนเดินชื่อดัง หนึ่งในไฮไลต์ต้องห้ามพลาดของเมืองปายซึ่งเต็มไปด้วยสีสัน ทั้งอาหารการกิน สินค้าที่ระลึก ดนตรี การแสดง ร้านนั่งดื่มดิน พักผ่อน ฯลฯ ก่อนจะเดินทางกลับเข้าที่พัก นอนหลับฝันดี
วันที่สี่ วันสุดท้าย
พวกเราออกจากที่พักกันตั้งแต่เช้ามืด เพื่อขึ้นไปรอชมทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ จุดชม “ทะเลหมอกหยุนไหล” จุดชมวิวบนภูเขาม่อนหยุนไหลพื้นที่ของเอกชน (เสียค่าเข้าชม 20 บาทแต่ก็มีชาร้อนๆมาให้จิบยามเช้า) ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองปายได้อย่างสวยงาม
ในวันที่อากาศเป็นใจ ยามเช้าตรู่บนจุดชมวิวแห่งนี้ เมื่อมองออกไปจะเห็นทะเลหมอกรวมตัวกันเป็นสายหนาแน่น ค่อยๆลอยตัวเคลื่อนไหลไปดังสายน้ำ ท่ามกลางแสงแรกแห่งวันที่สาดส่อง ดูสวยงามประหนึ่งภาพฝัน
นอกจากทะเลหมอกและวิวทิวทัศน์อันสวยงาม บริเวณจุดชมทะเลหมอกหยุนไหล ยังมีม้านั่งจิบชาชมวิวริมเขา ระเบียงถ่ายรูป และการตกแต่งบริเวณที่เน้นในเรื่องธีมของความรัก ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้แห่งความรัก ที่มีคนนิยมหัวใจดวงน้อยไปแขวนไว้ที่ต้นไม้(ต้นสน)กันเป็นจำนวนมาก หรือมุมถ่ายรูปที่ตกแต่งด้วยรูปหัวใจ และข้อความ “100 ที่บอกรัก และ 20 ที่ขอแต่งงาน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปยืนถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก
เที่ยววัดเมืองปาย
ถัดมาหลังจากชมทะเลหมอกและรับประทานอาหารเช้า คณะเลดี้ทริปออกตระเวนเที่ยววัดไหว้พระใน 3 วัดดังของเมืองปาย เพื่อความเป็นสิริมงคล
เริ่มจาก “วัดน้ำฮู”(ต.เวียงใต้) วัดเก่าแก่คู่เมืองปาย ภายในวัดประดิษฐาน “พระพุทธรูปอุ่นเมือง” อายุเก่าแก่กว่า 400 ปี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะพิเศษคือ พระเศียรส่วนบนกลวง ยอดพระโมฬีสามารถเปิดออกได้เหมือนผอบ ภายในมีน้ำซึมขังอยู่ตลอด ทุกๆเช้าทางวัดจะนำน้ำในยอดพระโมฬีออกมาทำน้ำมนต์ประพรมแก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนวัด
นอกจากนี้ที่ศาลกลางน้ำหน้าวัดยังมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” “พระเอกาทศรถ” และ “สมเด็จพระสุพรรณกัลยา”ให้กราบสักการะ
วัดที่ 2 เป็น “วัดศรีดอนชัย”(ต.เวียงเหนือ) ที่ถือเป็นวัดแห่งแรกในเมืองปาย สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1855 บริเวณประตูทางเข้ามีประติมากรรมสิงห์คู่ขนาดใหญ่ ภายในวิหารลายคำประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์” หรือ “พระสิงห์ปาย” พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองปาย ศิลปะเชียงแสนสิงห์ 1 อันงดงาม ประทับอยู่ในบุษบกหน้าพระประธานองค์ใหญ่
ในวิหารลายคำยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วาดอยากประณีตสวยงาม บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองปาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งของดีของวัดแห่งนี้
สำหรับวัดสุดท้ายเราขึ้นเขาไปกันที่ “วัดพระธาตุแม่เย็น”(ต.แม่ฮี้) ตั้งอยู่บนภูเขาทางด้านทิศตะวันออกของเมืองปาย ภายในประดิษฐาน “พระเจ้าทองทิพย์” พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นที่ 3 อายุกว่า 100 ปีที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์มีพระพักตร์เป็นเนื้อทองสุกเปล่ง
นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีองค์พระธาตุแม่เย็นสีเหลืองทองตั้งเด่น ด้านหนึ่งของวัดมีระเบียงชมวิวที่สามารถมองลงไปเห็นจุดชมวิวตัวเมืองปายได้อย่างสวยงาม
ขณะที่บริเวณลานจอดรถ เมื่อมองขึ้นไปจะเห็น “พระพุทธโลกุตระมหามุนี” องค์โตสีขาวตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเนินเขา บนนั้นนอกจากจะสามารถไหว้องค์พระใหญ่ได้อย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามกว้างไกลได้อีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองปาย ที่แม้จะต้องออกแรงเดินขึ้นบันไดไปเกือบ 300 ขั้น แต่ว่าวิวทิวทัศน์บนนี้เมื่อมองลงมาก็สวยงามคุ้มค่ายิ่งนัก
อำลาเมืองปาย
ก่อนอำลาเมืองปาย คณะเราไปแวะจิบกาแฟที่ “ร้านกาแฟเข้าท่า” ที่ภายในร้านมีการนำรถยนต์เก่า รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน และข้าวของเครื่องใช้เก่าย้อนยุค มาตกแต่งได้อย่างกิ๊บเก๋ รวมถึงนำวัสดุเหลือใช้มาดัดแปลงเป็นโต๊ะเก้าอี้ที่มากไปด้วยดีไซน์ นับเป็นร้านกาแฟที่มีการตกแต่งและบรรยากาศเข้าท่า สมชื่อร้านกาแฟเข้าท่าไม่น้อยเลย
ต่อจากนั้นคณะเราไปปิดทริปเที่ยวเมืองปายกันที่ “สะพานประวัติศาสตร์ปาย” หรือ “สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย” ที่เป็นการนำสะพานนวรัฐเดิมของจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว มาสร้างเป็นสะพานโครงสร้างเหล็กแทนสะพานไม้ข้ามแม่น้ำปายเดิมที่ถูกกระแสน้ำป่าพัดทำลายไปในปี พ.ศ. 2516
ปัจจุบันสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย นอกจากจะเป็นดังประตูรับ-ส่ง ของเมืองปายแล้ว ด้วยลักษณะของสะพานที่มีความสวยงามคลาสสิกดูโดดเด่น สะพานแห่งนี้จึงถือเป็นหนึ่งไฮไลต์ในเมืองปาย ที่ไม่เคยร้างลานักท่องเที่ยว
นับเป็นจุดสุดท้ายในเมืองปายก่อนที่คณะเลดี้ทริปจะล่ำลาเมืองปายไปตามเส้นทาง 2,224 โค้ง มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเดินทางแยกย้ายไปตามเส้นทางของแต่ละคน พร้อมนำความประทับใจ ความทรงจำอันดีงามกลับไปเป็นแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆ ต่อไป
เป็น“เหนือฝันล้านแรงบันดาลใจ”ที่ยังอยู่ในความทรงจำไปอีกนานเท่านาน...
***************************************
อาหารถิ่นเมืองเหนือต้องห้ามพลาด
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ภูมิภาคเหนือ ชวนอร่อยไปกับ “อาหารถิ่นเมืองเหนือต้องห้ามพลาด” (จากโครงการ “อาหารถิ่น ตะลุยกินทั่วไทย”) ใน 4 จังหวัด ภาคเหนือ คือ แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน และอุตรดิตถ์
แม่ฮ่องสอน : ชุดข้าวส้ม : เป็นอาหารคาวขึ้นชื่อเฉพาะถิ่นของชาวไทใหญ่ มีกรรมวิธีการทำหลายขั้นตอนและวิธีการปรุงที่ประณีต โดยข้าวส้มต้องทานร่วมกับอาหารแนม อาทิ เนื้อลุง ต๋ำหมากลาง โถ่แตบโก้
แพร่ : ขนมจีนน้ำย้อย : ขนมจีนน้ำย้อยเมืองแพร่ มีแหล่งกำเนิดจาก อ.ลอง จ.แพร่ โดยการนำแป้งขนมจีนที่สดๆบีบลงหม้อต้มน้ำร้อนๆพอสุกก็ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ แล้วนำมาคลุกน้ำพริกที่ปรุงรสครบเครื่อง รสชาติกลมกล่อม เหยาะน้ำปลา คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วทานได้เลย แห้งๆ แบบผัดไท โดยจะมีผักเคียงตามใจชอบ
น่าน : ไก่ทอดมะแขว่น : กำเนิดขึ้นที่ร้านปองซา เป็นอาหารพื้นเมืองที่นำมาประยุกต์ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน จากการหมักไก่ให้เข้ากันกับมะแขว่นก่อนจะนำไปทอด
อุตรดิตถ์ : กระบองทอด : นำหน่อไม้นำมาต้มและแกะเปลือกออก หลังจากนั้นนำมากรีดให้เป็นทางยาวยัดไส้ด้วยหมูสับที่ปรุงรสแล้ว เสร็จแล้วนำไปชุบแป้งแล้วก็ทอด จนมีสีเหลืองสวยน่ารับประทาน
***************************************
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานแม่ฮ่องสอน โทร.0-5361-2982-3
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com