“เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู”
คำขวัญจังหวัด“เลย” จังหวัดที่หลายๆคนมาเยือนแล้วล้วนต่างประทับใจในมนต์เสน่ห์ของเมืองงามแห่งนี้ ที่มีสิ่งน่าสนใจมากมายให้เลือกไปท่องเที่ยวพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามและอากาศที่สดชื่นเย็นสบายตลอดทั้งปี
ด้วยเหตุนี้ในปี พ.ศ. 2558 “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” จึงคัดสรรเลยเป็น 1 ใน 12 “เมืองต้องห้าม...พลาด” ภายใต้แนวคิด “เย็นสุด...สุขที่เลย”
มาในปีนี้(2559) หลังแคมเปญเมืองต้องห้าม...พลาด ประสบความสำเร็จอย่างสูง ททท.จึงต่อยอดโครงการดังกล่าวด้วยแคมเปญ “เมืองต้องห้าม...พลาด plus”(เมืองต้องห้าม...พลาดพลัส) ขึ้น เพื่อเชื่อมโยงสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของจังหวัดเมืองรองที่อยู่ติดกันหรือใกล้กัน และมีจุดเด่นที่สอดรับใกล้เคียงกัน
สำหรับจังหวัดเลยนั้นเชื่อมโยงกับ“จังหวัดชัยภูมิ” เป็นเส้นทางท่องเที่ยว“เลย plus ชัยภูมิ”ที่มากไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝนระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ชัยภูมิจะกลายเป็นดินแดนแห่ง“ทุ่งดอกกระเจียว”อันงดงามปานเนรมิต สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ไปเยือนได้ไม่รู้เบื่อ
เลย - เมืองแห่งภูสวยรวยเสน่ห์
เลยได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลภูเขา ที่มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติประเภท“ภู”(เขา)อันสวยงามเลื่องชื่ออยู่เป็นจำนวนมาก นับเป็นภูสวยรวยเสน่ห์คู่เมืองเลยที่ล้วนต่างมีจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่ง“ตะลอนเที่ยว”ขอเริ่มจาก 3 ภูชื่อดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่อมตะคู่เมืองเลยมาช้านาน อันได้แก่ ภูกระดึง ภูหลวง และภูเรือ
“ภูกระดึง”(อุทยานแห่งชาติภูกระดึง อ.ภูกระดึง)เป็นภูเขายอดตัด มีความสูง 1,288 เมตรจากระดับน้ำทะเล ด้านบนเป็นที่ราบขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหัวใจ บนยอดภูกระดึงหรือ“หลังแป”มีสิ่งน่าสนใจหลากหลายให้เที่ยวชม อาทิ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ สระอโนดาต ผาหมากดูก ผานกแอ่น และ“ผาหล่มสัก”จุดชมวิวและจุดชมพระอาทิตย์ตกอันเลื่องชื่อ กับรูปลักษณ์อันโดดเด่นของชะง่อนผาหินที่มีต้นสนเดียวดายตั้งเด่นอยู่เคียงคู่ จนถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของภูกระดึงและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของจังหวัดเลย
ต่อกันด้วย“ภูหลวง”(เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง อ.ภูหลวง)ที่ได้ชื่อว่าเป็นดังดินแดนมหัศจรรย์พันธุ์ไม้ บนยอดภูหลวงมีดอกไม้ป่า กล้วยไม้ป่า ทยอยบานหมุนเวียนให้ชมกันตลอดทั้งปี นอกจากนี้บนภูหลวงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติและจุดชมวิวสวยๆงามๆตามหน้าผาต่างๆ มีรอยเท้าไดโนเสาร์ที่มองเห็นชัดเจนและถูกยกให้เป็น“อันซีนไทยแลนด์”
ส่วน“ภูเรือ”(อ.ภูเรือ)นั้น ถือเป็นดินแดนที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีอากาศหนาวเย็น และเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเมืองหนาวแหล่งใหญ่ โดยมี“ตลาดไม้ดอกเมืองหนาวบ้านหนองบง” ที่มี“เทอร์โมมิเตอร์ยักษ์”ตั้งโดดเด่น เป็นแหล่งขายพืชพันธุ์ไม้เมืองหนาวสำคัญ อีกทั้งยังมี“ยอดภูเรือ”(ในอุทยานแห่งชาติภูเรือ)ที่มีความสูง 1,365 เมตร เป็นจุดชมวิวที่ในวันฟ้าเป็นใจจะมองเห็นทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่งดูสวยงามน่าประทับใจ
นอกจาก 3 ภูสุดคลาสสิกแล้ว เลยยังมีภูสวยรวยเสน่ห์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่มาแรงอีกหลากหลาย ได้แก่
“ภูสวนทราย”(อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย อ.นาแห้ว) ที่มีไฮไลต์คือ“น้ำตกตาดเหือง” ที่สายน้ำตกไหลคร่อมระหว่าง 2 ประเทศ บนรอยต่อพรมแดนไทย-ลาว จนได้รับฉายาว่าเป็น “น้ำตก 2 แผ่นดิน”
“ภูลมโล”(อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อ.ด่านซ้าย) แหล่งชม“ดอกนางพญาเสือโคร่ง” หรือ“ซากุระเมืองไทย”ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ทุกๆปีในช่วงราวกลางเดือน ม.ค.-ก.พ.ต้นนางพญาเสือโคร่งนับหมื่นๆต้นที่ภูลมโล จะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานย้อมขุนเขาแห่งนี้ให้กลายเป็น“หุบเขาสีชมพู”อันสวยงามเพริศแพร้ว
“ภูป่าเปาะ”(อ.หนองหิน)เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็น“ภูหอ”ภูเขายอดตัดที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ(ประเทศญี่ปุ่น) จนภูป่าเปาะได้รับฉายาว่าเป็นจุดชมวิว“ฟูจิเมืองเลย”ที่มาแรงเป็นอย่างยิ่ง
“ภูทอก”(อ.เชียงคาน)เป็นจุดชมวิว ชมพระอาทิตย์ขึ้น และชมทะเลหมอก อันงดงามแห่งเมืองเชียงคาน แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง
“ภูผาหมวก”(อ.นาแห้ว) เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ตกที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของชายแดนไทย-ลาว ได้อย่างสวยงาม
“ภูบ่อบิด”(อ.เมือง)จุดชมวิวตัวเมืองเลยอันงดงาม โดยเฉพาะในช่วงพลบค่ำที่ตามบ้านเรือนพากันเปิดไฟ เมื่อมองลงไปจะเห็นแสงไฟระยิบระยับจนได้ชื่อว่าเป็นดัง“ดาวบนดิน”เลยทีเดียว
นอกจากเสน่ห์ความงามของภูต่างๆตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว จังหวัดเลยยังมี“สวนหินผางาม”(อ.หนองหิน)เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวประเภทภูเขาอันโดดเด่น กับภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาสวยงาม มีลักษณะคล้ายกับสวนหินที่เมืองคุนหมิง ประเทศจีน ทำให้ที่นี่ได้รับฉายาว่าเป็น“คุนหมิงเมืองเลย” พร้อมทั้งยังถูกคัดเลือกให้เป็น“อันซีนไทยแลนด์”อันโด่งดังเมื่อหลายปีก่อน
เลย-เมืองแห่งเทศกาลผี
จังหวัดเลยมีเทศกาลงานประเพณีเกี่ยวกับผีที่ขึ้นชื่อลือชาถึง 2 ประเพณี ให้ได้สัมผัสเที่ยวชมกัน นำโดยประเพณี“ผีตาโขน”ที่ชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ
ผีตาโขนเป็นการละเล่นพื้นบ้านของชาว อ.ด่านซ้าย จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในงาน“บุญหลวง”(งานบุญใหญ่ประจำปี) ที่รวมเอา“งานบุญพระเวส”(ฮีตเดือนสี่) และ“งานบุญบั้งไฟ”(ฮีตเดือนหก)เข้าไว้ด้วยกัน ในระยะเวลา 3 วัน
งานประเพณีผีตาโขนมีพิธีการเด่นๆ อาทิ พิธีเบิกพระอุปคุต พิธีบายศรีสู่ขวัญเจ้าพ่อกวน-เจ้าแม่นางเทียม พิธีแห่ขบวนแห่พระเวสสันดรและนางมัทรีเข้าเมือง รวมถึงขบวนแห่ผีตาโขนที่ถือเป็นไฮไลต์เด็ดของงาน เพราะเต็มไปด้วยสีสันความคึกคักสนุกสนาน กับเหล่าบรรดาผีตาโขน(เล็ก) ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดบาดตา สวมหน้ากากผีที่ทำจากหวดนึ่งข้าวเหนียว วาดลวดลายตกแต่งอย่างสวยงาม
การจัดงานผีตาโขนแต่ละปีมักจะตกอยู่ในช่วงเดือน 7 ไทย ส่วนจะเป็นวันไหนนั้นไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการกำหนดวันของร่างทรง “เจ้าพ่อกวน”หรือ “เจ้ากวน”ที่ชาวบ้านนับถือเป็นหลัก
สำหรับปีนี้งานประเพณีผีตาโขนมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 6-8 ก.ค. 2559 ซึ่งหากใครมีโอกาสได้ไปร่วมงานผีตาโขน ก็ไม่ควรพลาดการเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจต่างๆใน อ.ด่านซ้าย ไม่ว่าจะเป็น “พระธาตุศรีสองรัก”พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเลย, “วัดเนรมิตวิปัสสนา”(วัดหัวนายูง)ที่สิ่งก่อสร้างต่างๆภายในวัดล้วนสร้างด้วยศิลาแลงอันสวยงาม และ“วัดโพนชัย”สถานที่หลักในการจัดงานผีตาโขน ซึ่งภายในวัดมี“พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นผีตาโขน”จัดแสดงเรื่องราวหลากหลายเกี่ยวกับผีตาโขนให้ผู้สนใจได้สัมผัสชื่นชมกัน
นอกจากผีตาโขนแล้ว เลยยังมีประเพณี“ผีขนน้ำ”ที่จัดขึ้นที่ ต.นาซ่าว อ.เชียงคาน เป็นอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญ
ผีขนน้ำหรือ“แมงหน้างาม” จัดขึ้นในช่วงงานประเพณีบุญเดือนหก(หลังวันวิสาขบูชา) เพื่อตอบแทนบุญคุณแก่ผีบรรพบุรุษ รำลึกถึงบุญคุณของวัว ควาย ขอฟ้าขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล และเกิดความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่
ประเพณีผีขนน้ำมีไฮไลต์คือขบวนแห่ผีขนน้ำที่มีการแต่งกายเต็มไปด้วยสีสัน และหน้ากากผีขนน้ำที่มีการวาดลวดลายตกแต่งอย่างสวยงาม
เรียกได้ว่า“ผีขนน้ำ”เป็นอีกหนึ่งประเพณีผีๆที่มีเอกลักษณ์และสวยงามไม่แพ้ผีตาโขนเลยทีเดียว
เลย-เชียงคาน เมืองงามริมฝั่งโขง
เลยเป็นหนึ่งในจังหวัดชายแดนที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง โดยมี อ.เชียงคาน เป็นจุดแรกแห่งภาคอีสานที่มีแม่น้ำโขงไหลเลาะเลียบ ก่อให้เกิดทัศนียภาพและบรรยากาศของเมืองริมฝั่งโขงอันทรงเสน่ห์ โดยเฉพาะตัว“เมืองเชียงคาน”ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองงามริมฝั่งโขง
เชียงคานเป็นเมืองเล็กๆริมฝั่งโขงที่มี“ถนนชายโขง”เป็นไฮไลต์สำคัญ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในถนนที่มีคนอยากเดินเที่ยวมากที่สุดของบ้านเรา
ถนนชายโขงแม้เป็นถนนสายสั้นๆที่มีความยาวแค่ประมาณ 2 กิโลเมตร แต่บรรยากาศใน 2 ฟากฝั่งถนนกลับน่ายลไปด้วยบรรยากาศของอาคารบ้านเรือนไม้เก่าแก่สุดคลาสสิก ที่ทอดตัวเรียงราย ท่ามกลางวิถีของชาวเชียงคานที่ดำรงอยู่อย่างเรียบง่าย
วันนี้เมื่อเชียงคานกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง บ้านเรือนไม้ส่วนหนึ่งบนถนนชายโขงจึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ซึ่งในยามเย็นถนนชายโขงจะแปรเปลี่ยนเป็นถนนคนเดินอันคึกคัก มีสินค้า เสื้อผ้า อาหารท้องถิ่น ให้เลือกซื้อเลือกหากันมากมาย อีกทั้งยังมีมุมสวยๆงามๆมากหลายให้ถ่ายรูป เซลฟี่ กันอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนถัดออกไปในบริเวณริมฝั่งโขงของถนนสายนี้ วันนี้มีการปรับแต่งภูมิทัศน์เป็นทางเดินริมโขงอันสวยงาม มีทั้งเส้นทางปั่นจักรยาน ทางเดินเท้า และระเบียงชมวิวริมโขง ที่เหมาะแก่การมาเดินชมวิวและชมพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำโขงเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากถนนคนเดินและทางเดินริมฝั่งโขงแล้ว เชียงคานยังมีวัดต่างๆชวนให้เที่ยวชม เช่น วัดศรีคุนเมือง วัดท่าคก วัดมหาธาตุ ขณะที่อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นไฮไลต์ต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเที่ยวเชียงคานก็คือ การ“ตักบาตรข้าวเหนียว”อันขึ้นชื่อเป็นเอกลักษณ์ กับภาพของพระ-เณรที่ออกเดินบิณฑบาตเป็นแถวยาวให้ทั้งชาวเชียงคานและนักท่องเที่ยวใส่บาตรกันด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบเปี่ยมศรัทธา
ส่วนถ้าออกนอกเมืองไปหน่อยก็จะมี“ภูทอก” เป็นจุดชมวิว ชมทะเลหมอกอันงดงาม และ“แก่งคุดคู้”แก่งใหญ่กลางแม่น้ำโขงอันน่ายล ซึ่งในบริเวณแก่งคุดคู้ยังมีร้านอาหารริมแก่งให้นั่งผ่อนคลาย และมีบริการเรือนำเที่ยวให้สัมผัสกับบรรยากาศแม่น้ำโขง
นับได้ว่าเชียงคานเป็นเมืองงามริมฝั่งโขงที่มากไปด้วยสิ่งน่าสนใจอันหลากหลาย โดยเฉพาะหากไปเที่ยวในวันธรรมดาหรือไปเที่ยวในช่วงหน้าฝน เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันสุดฟินและวิถีสโลว์ไลฟ์อันทรงเสน่ห์ ที่แสดงถึงความเป็นตัวตนแห่งวิถีเชียงคานอย่างชัดเจน ชวนให้ประทับใจ และชวนให้หลงรักเชียงคานมากยิ่งขึ้น
ชัยภูมิ-เมืองผู้กล้า พญาแล
จากเลยเมื่อลงมาทางใต้ข้ามขอนแก่นจะเข้าสู่“ชัยภูมิ” สองจังหวัดที่อยู่ใกล้กันกับเส้นทาง“เลย plus ชัยภูมิ” ซึ่งมีมนต์เสน่ห์ทางการท่องเที่ยวสอดรับกัน
ชัยภูมิได้ชื่อว่า“เมืองผู้กล้า พญาแล” มี“พระยาภักดีชุมพล(แล)” หรือที่ชาวชัยภูมิเรียกกันว่า “เจ้าพ่อพญาแล” หรือ“พระยาแล” เป็นผู้ตั้งเมืองชัยภูมิ และเจ้าเมืองชัยภูมิคนแรก ซึ่งชาวชัยภูมิให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก มีการสร้าง“อนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล (แล)” ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวงเวียนศูนย์ราชการให้ผู้ที่ผ่านไป-มาได้สักการะ
นอกจากนี้ก็ยังมี“ศาลเจ้าพ่อพญาแล” อยู่ 2 ศาลใกล้ๆกัน ที่บริเวณหนองปลาเฒ่า(ต.เมือง อ.เมือง) โดยศาลเก่าสร้างบริเวณต้นมะขามใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เจ้าพ่อพญาแลเสียชีวิต(พ.ศ.2369) ศาลเก่านี้เดิมเป็นศาลไม้ที่ชาวชัยภูมิเรียกกันว่า“ศาลเจ้าพ่อพญาแล” ซึ่งปัจจุบันได้สร้างใหม่เป็นศาลปูนสวยงาม
ขณะที่อีกศาลหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกันเป็นศาลที่ชาวชัยภูมิได้ร่วมใจกันสร้างขึ้นใน ปี พ.ศ. 2511 เป็นอาคารคอนกรีตสวยงาม เรียกว่า“ศาลพระยาภักดีชุมพล(แล)” ซึ่งทั้ง 2 ศาลต่างก็มีผู้คนเดินทางมาสักการะเจ้าพ่อพญาแลอยู่ไม่ได้ขาด
ชัยภูมิ-ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งชัยภูมิ
นอกจากเจ้าพ่อพญาแลแล้ว ชัยภูมิยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วัดวาอาราม และโบราณสถานน่าสนใจให้เที่ยวชมกันอีกหลากหลาย
เริ่มจากในตัวเมืองกับ“ปรางค์กู่”(ต.ในเมือง อ.เมือง-อยู่ข้างวัดปรางค์กู่) ที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อใช้เป็น“อโรคยาศาล”หรือสถานพยาบาล เป็นปราสาทหินแบบขอม มีปรางค์ประธานตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง
ขณะที่หากออกนอกเมืองไปมี“วัดศิลาอาสน์ ภูพระ”(ต.นาเสียว อ.เมือง)เป็นอีกวัดสำคัญ ภายในวัดมีโบราณสถานสำคัญคือ พระพุทธรูปสลัก(นูนสูง)บนเพิงผา ซึ่งมีอยู่ 2 เพิงด้วยกัน เพิงแรกเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เรียก“พระเจ้าองค์ตื้อ” ส่วนอีกเพิงที่อยู่ติดๆกัน สลักเป็นพระพุทธรูป 7 องค์ ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร เป็นปางสมาธิ 5 องค์ และปางมารวิชัย 2 องค์
ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญๆที่อยู่นอกอ.เมืองชัยภูมินั้นก็มี “พระพุทธรูปใหญ่สมัยทวารวดี”(อ.คอนสวรรค์)ที่สร้างด้วยศิลาแลง มีความสูงถึง 27 เมตร “พระธาตุหนองสามหมื่น”(อ.ภูเขียว)เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนย่อมุมไม้สิบสองเก่าแก่ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 และ “พระมหาธาตุรัชมงคลเจดีย์สิริชัยภูมิ” หรือ “พระธาตุชัยภูมิ”(อ.แก้งคร้อ) ที่สร้างขึ้นตามแบบแผนโบราณ ด้วยเค้าโครงการผสมผสานศิลปะล้านช้างกับล้านนาเข้าด้วยกัน เป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดสีทองอร่ามอันงดงามสมส่วน
ชัยภูมิ-ภูเขียว เขื่อนจุฬาภรณ์
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆในชัยภูมินั้น ทางตอนเหนือของจังหวัด ที่ อ.คอนสาร มี 2 แหล่งท่องเที่ยวสำคัญชวนให้ไปสัมผัสเที่ยวชม ได้แก่
“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว”(ต.ทุ่งลุยลาย) หรือผืน“ป่าภูเขียว”ที่ยังคงสภาพอุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะบริเวณ“ทุ่งกระมัง” ที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่กลางขุนเขา อันถือเป็นหัวใจของผืนป่าภูเขียวเพราะเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์กินพืช ซึ่งในปี พ.ศ. 2526 และ 2535 โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ปล่อยสัตว์ป่าคืนถิ่น ทั้ง ช้าง กวาง เก้ง กระจง รวมไปถึงสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์อย่าง“เนื้อทราย”ที่มีการนำมาปล่อยคืนถิ่นที่นี่
จากวันนั้นถึงวันนี้เนื้อทรายที่ทุ่งกระมังได้ขยายพันธุ์เติบโตกลายเป็นสัตว์ประจำถิ่นคู่ผืนป่าภูเขียว ซึ่งนอกจากเนื้อทรายแล้วป่าภูเขียวยังมีสัตว์ป่าหายากมากอย่าง ช้าง กระทิง วัวแดง เสือโคร่ง นกยูงไทย นกอ้ายงั่ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง“กระซู่”ที่หลายๆคนคิดว่าสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยแล้ว แต่ก็ยังมีรายงานการค้นพบว่ายังคงมีหลงเหลือ(อยู่ไม่กี่ตัว)ที่ผืนป่าภูเขียวแห่งนี้ นั่นจึงทำให้ที่ด้านหน้าของป้ายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ได้จัดทำรูปปั้นกระซู่จำลองไว้ให้ผู้ผ่านมาได้ยลโฉมกัน
จากทางเข้าป่าภูเขียวเมื่อเดินทางขึ้นไปอีกก็จะเป็น “เขื่อนจุฬาภรณ์” หรือ“เขื่อนน้ำพรม”(ต.ทุ่งลุยลาย) ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีทิวทัศน์สวยงาม มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ผู้คนจึงนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนสูดโอโซนที่นี่
ภายในเขื่อนจุฬาภรณ์มีไฮไลต์คือ“จุดชมวิว”ที่สามารถมองเห็นแนวสันเขื่อน(ยาว 700 เมตร)ทอดยาว ด้านหนึ่งเป็นอ่างกักเก็บน้ำวิวทิวทัศน์สวยงาม อีกด้านหนึ่งเป็นประตูน้ำกับทิวทัศน์ของผืนป่าภูเขียวอันอุดมสมบูรณ์
นอกจากนี้เขื่อนจุฬาภรณ์ยังมี พระพุทธสิริสัตตราชจำลอง(หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) สวนเขื่อนจุฬาภรณ์ที่ตกแต่งเป็นป่าอนุรักษ์ มีบริการเรือนำเที่ยวล่องชมธรรมชาติในอ่างเก็บน้ำ มีสนามกอล์ฟบ้านพักรับรอง ศูนย์ทดลองพืชเมืองหนาว หอดูดาว ร้านอาหาร และร้านกาแฟในบรรยากาศกิ๊บเก๋ ที่ตั้งอยู่ข้างๆกับต้นไม้คู่ 2 ต้นที่ทอดรากแผ่สยายอยู่เหนือพื้นดินเป็นเส้นสายสวยงาม จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปสำคัญของเขื่อนจุฬาภรณ์แห่งนี้
ชัยภูมิ-มอหินขาว-น้ำตกตาดโตน
จากโซนตอนเหนือ“ตะลอนเที่ยว”ลงมายังโซนตอนกลางของชัยภูมิ เพื่อไปสัมผัสกับ 2 แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันโดดเด่นขึ้นชื่อ และสามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี
เริ่มจากสถานที่แรกคือ “มอหินขาว”(บนเทือกเขาภูแลนคา ต.ท่าหินโงม อ.เมือง)ที่ดูน่าทึ่งไปกับกลุ่มก้อนหินใหญ่อายุเป็นร้อยล้านปีตั้งเด่นตระหง่านท้าทายกาลเวลา เป็นประติมากรรมธรรมชาติก้อนหินใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตา สวยงาม ชวนให้จินตนาการ นำโดยกลุ่มเสาหิน 5 แท่ง ที่ถือเป็นไฮไลต์และสัญลักษณ์ของมอหินขาวแห่งนี้
กลุ่มเสาหิน 5 แท่ง เป็นแท่งหิน เสาหินโบราณขนาดใหญ่มหึมา 5 แท่ง ตั้งเรียงรายกันอยู่บนทุ่งหญ้าที่ราบโล่ง แลดูยิ่งใหญ่อลังการ และสามารถเดินถ่ายรูปได้โดยรอบ
ปัจจุบันเสาหินยักษ์ทั้ง 5 แท่งนี้ ถูกตั้งชื่อเรียกขานแตกต่างกันไป ได้แก่ “หินขุนศรีวิชัย” “หินหลวงปู่ฤาษี” “หินหลวงสมชาย” "หินหลวงจันทร์” และ“หินหมื่นสิงขร” พร้อมกันนี้ยังมีการนำแท่งหินยักษ์ทั้ง 5 ไปผูกโยงกับเรื่องราวความเชื่อ โดยเชื่อว่า เสาหินแต่ละแท่งจะดลบันดาลให้ประสบโชคดีแตกต่างกันไป
นอกจากกลุ่มเสาหิน 5 แท่งแล้ว มอหินขาวยังมี กลุ่มก้อนหินใหญ่รูปร่างประหลาดชวนจินตนาการอีก ได้แก่ กลุ่มหินต้นไทร หินเจดีย์ หินโขลงช้าง และมี“ผาหัวนาค” เป็นจุดชมวิว และชมพระอาทิตย์ตก รวมถึงมีลานกางเต็นท์ ร้านอาหาร ห้องน้ำ และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไว้บริการ ซึ่งในช่วงฤดูหนาว จะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาพักค้างกางเต็นท์เพื่อถ่ายดาวที่มอหินขาวกันเป็นจำนวนมาก
จากมอหินขาวเดินทางไปอีก(ประมาณ 22 กม.)จะเป็นที่ตั้งของ “น้ำตกตาดโตน”(อุทยานแห่งชาติตาดโตน อ.เมือง) น้ำตกงามคู่เมืองชัยภูมิ ซึ่งมีสายน้ำไหลเย็นตลอดทั้งปี โดยแต่ช่วงฤดูกาล จะมีสายน้ำไหลมาก-น้อยแตกต่างกันไป
น้ำตกตาดโตน มีความกว้างประมาณ 50 เมตร สูงประมาณ 6 เมตร มีสายน้ำตกไหลผ่านแนวหินสู่แอ่งน้ำใหญ่ในเบื้องล่าง ท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ด้านบนเหนือตัวน้ำตกขึ้นไปเป็นธารน้ำตื้นๆแต่กว้าง มีหลายจุดสามารถลงเล่นน้ำอย่างเพลิดเพลินอุรา
จากตัวน้ำตกตาดโตนจะมีเส้นทางเดินนำไปสู่ “ศาลเจ้าพ่อตาดโตน(ศาลปู่ด้วง)”และ“ศาลย่าดี” ที่เป็นอีก 2 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ ซึ่งชาวชัยภูมิให้ความเคารพนับถือกันมาก
ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นความพิเศษโดดเด่นของอุทยานแห่งชาติน้ำตกตาดโตนก็คือ เรื่องของความเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน ห้องน้ำสะอาด รวมถึงมีการจัดการพื้นที่ที่ดี ทำให้อุทยานฯแห่งนี้ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย หรือรางวัลกินรีถึง 2 ครั้งด้วยกัน คือในปี 2549 และปี 2558
นับได้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ถือเป็นเสน่ห์ดึงดูดชั้นดีให้ผู้คนเดินทางมาเที่ยวน้ำตกตาดโตนกันไม่ได้ขาด
ชัยภูมิ-เมืองทุ่งดอกกระเจียวงาม
นอกจากธรรมชาติสวยๆงามๆตามที่กล่าวมาแล้ว ชัยภูมิยังมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติสำคัญนั่นก็คือ“ทุ่งดอกกระเจียว” ซึ่งแม้จะเที่ยวได้เฉพาะในช่วงฤดูฝน แต่ว่าก็สามารถสร้างชื่อและเอกลักษณ์ให้กับจังหวัดชัยภูมิได้อย่างดียิ่ง จนชัยภูมิถูกยกให้เป็นเมืองแห่งทุ่งดอกกระเจียวอันลือลั่น
กระเจียว เป็นพืชล้มลุกสกุลเดียวกับขมิ้น อยู่ในวงขิง,ข่า,ขมิ้น ขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน กระเจียวจะจำศีลหลับใหลอยู่ใต้ดิน แต่พอถึงหน้าฝนพวกมันก็จะพากันออกดอกผลิบานเริงร่าท้าทายสายฝนที่โปรยสายลงมา
ทุกๆปีในช่วงหน้าฝน ราวเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ถือเป็นช่วงเวลาทองของดอกกระเจียวในจังหวัดชัยภูมิที่ต่างก็พากันออกดอกชูช่อบานสะพรั่งสวยงามเต็มท้องทุ่ง ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศมาเที่ยวชมความงามของทุ่งดอกกระเจียว
สำหรับจุดชมทุ่งดอกกระเจียวแสนสวยในจังหวัดชัยภูมินั้นมีอยู่ 2 แห่งด้วยกัน
แห่งแรกคือ“อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม” (อ.เทพสถิต) เป็นแหล่งชมทุ่งดอกกระเจียวขนาดใหญ่ บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ซึ่งทางอุทยานฯได้จัดสร้างทางเดินชมทุ่งดอกกระเจียวไว้เป็นอย่างดีให้นักท่องเที่ยวเดินไปตามทางที่กำหนด กระเจียวที่นี่จะมีดอกสีชมพูอมม่วงนิดๆ
ในยามเช้าที่มีสายหมอกขาวโพลนลอยมาทักทาย ทุ่งดอกกระเจียวที่นี่จะอวลไปด้วยเสน่ห์ของสายหมอกและทุ่งดอกกระเจียวอันสวยงามชวนฝัน จนเกิดเป็นสโลแกน“หยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว” ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของทุ่งดอกกระเจียวที่ป่าหินงามได้เป็นอย่างดี
นอกจากทุ่งดอกกระเจียวอันสวยงามแล้ว ป่าหินงามยังมี “จุดชมวิวสุดแผ่นดิน” และ “ลานหินงาม”แหล่งหินรูปร่างแปลกตาชวนให้จินตนาการ ไม่ว่าจะเป็น หินถ้วยฟีฟ่า หินเรดาห์ หินตะปู หินแม่ไก่ยักษ์ หินปราสาท ฯลฯ
ส่วนแหล่งชมทุ่งดอกกระเจียวแห่งที่สองคือ“อุทยานแห่งชาติไทรทอง”(อ.หนองบัวระเหว)ที่มีดอกกระเจียวให้ชมกัน 5 ทุ่งใหญ่ ให้เดินเที่ยวชมท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม โดยกระเจียวที่นี่จะมีดอกสีชมพูอมม่วงที่เข้มสดกว่าที่ป่าหินงาม อีกทั้งยังมีดอกกระเจียวสีขาวให้ชมกันด้วย
นอกจากนี้อุทยานแห่งชาติไทรทองยังมีจุดชมวิวทิวทัศน์ตามหน้าผาต่างๆ อาทิ ผาพ่อเมือง ผาเพลินใจ ผาสวนสวรรค์ และ“ผาหำหด” ที่มีชื่อสะดุดหู กับหน้าผาสูงสุดเสียวดึงดูดให้นักท่องเที่ยวไปนั่ง-ยืนวัดใจที่หน้าผาแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
.........
และนั่นก็คือสถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งน่าสนใจอันหลากหลายในเส้นทางท่องเที่ยว “เลย plus ชัยภูมิ” จากโครงการ “เมืองต้องห้าม...พลาดplus” ที่หากใครได้ออกไปสัมผัสในมนต์เสน่ห์ความงามของเส้นทางสายนี้ ก็จะทำให้หลงรักในจังหวัดเลยและชัยภูมิมากขึ้น
ที่สำคัญคือทำให้เราหลงรักในประเทศไทยมากยิ่งขึ้นไปอีก
******************************************
หมายเหตุ : ช่วงเวลาและปริมาณการบานของทุ่งดอกกระเจียวในแต่ละปีจะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในปีนั้นๆ
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในเส้นทาง เมืองต้องห้าม...พลาด พลัส “เลย plus ชัยภูมิ” เพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812, 0-4281-1405 และ ททท. สำนักงานนครราชสีมา(รับผิดชอบพื้นที่นครราชสีมา,ชัยภูมิ) โทร. 0-4421-3030,0-4421-3666
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com