xs
xsm
sm
md
lg

เดินเที่ยวเพลินใจใน “มิวนิค” เมืองสวยคลาสสิกแห่งแคว้นบาวาเรีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

Antiquarium ภายใน Residenz Munchen
แม้ว่า “มิวนิค” (Munich) จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศเยอรมนี แต่ก็นับว่าเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนี รวมถึงเป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวของผู้คนจากทั่วโลก

ตัวเมืองมิวนิคนั้นตั้งอยู่บนแม่น้ำอิซาร์ เหนือเทือกเขาแอลป์ นอกจากทิวทัศน์สวยงาม สถานที่ท่องเที่ยวมากมาย มีความมังคั่งทางศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม มิวนิคก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของเบียร์เยอรมัน เห็นได้จากการจัดงาน Oktoberfest เทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ที่จะจัดขึ้นในเมืองมิวนิค โดยมีนักดื่มจากทั่วโลกเข้าร่วมงานรื่นเริงนี้
Karlsplatz
ซึ่งหากว่าใครจะเริ่มต้นเที่ยวในเมืองมิวนิค “ตะลอนเที่ยว” แนะนำให้มาเริ่มต้นที่ “Karlsplatz” (จัตุรัสคาลส์พลัตซ์) เพราะจุดนี้เดินทางสะดวกสบาย มีทั้งรถเมล์ รถราง รถใต้ดิน และยังอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใหญ่ของเมืองด้วย

“Karlsplatz” (หรือเรียกอีกชื่อว่า Stachus : สตาคุส) เป็นจัตุรัสที่อยู่ในย่านใจกลางเมืองของมิวนิค ด้านหน้าจัตุรัสมีลานน้ำพุที่จะเปิดน้ำพุให้ชมเป็นเวลา ผ่านลานน้ำพุมาก็จะเห็น “Karlstor” (ประตูคาลส์ทอร์) ประตูเมืองแบบโกธิคซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการในยุคกลางที่ถูกทำลายไป
Neuhauserstrasse ถนนชอปปิ้งชื่อดังของเมืองมิวนิค
เดินผ่านประตูนี้เข้าไปแล้วก็จะเป็นถนนชอปปิ้งของเมือง “Neuhauserstrasse” (ถนนนอยเฮ้าเซ่อ) ซึ่งทั้งสองข้างทางเดินจะเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า และร้านรวงต่างๆ ทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า ร้านขายสินค้าความงาม รวมถึงสินค้าแบรนด์เนม ใครที่ตั้งใจจะมาชอปปิ้งที่มิวนิคก็ต้องตรงมาที่ถนนแห่งนี้เลย
ภายใน Burgersaalkirche
และนอกจากจะเป็นถนนชอปปิ้งแล้ว บนถนนเส้นนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เริ่มต้นจาก “Burgersaalkirche” (โบสถ์เบือเกอร์ซาลล์เคียเช่อ) โบสถ์นี้มีอายุกว่า 300 ปีแล้ว ในสมัยก่อนนั้นเป็นที่ชุมนุมและสักการะของบาทหลวง ซึ่งหากเดินเข้ามาด้านในจะเห็นห้องสักการะขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่บนชั้นสองมีวิหารที่ประดับตกแต่งอย่างงดงาม และเปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นในช่วงที่มีการประกอบพิธี
หอคอยหัวหอมอันโดดเด่นของ Frauenkirche
นอกจากที่นี่แล้ว ยังมีโบสถ์อีกแห่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งของเมืองมิวนิค นั่นคือ “Frauenkirche” (มหาวิหารฟราวเอนเคียเช่อ) ชื่อของโบสถ์แห่งนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Church of Our Lady หรือจะแปลว่าโบสถ์ของพระแม่มารีก็ได้

ที่นี่เป็นมหาวิหารคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีตอนใต้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1468 และใช้เวลาสร้างกว่า 20 ปี สัญลักษณ์ของมหาวิหารแห่งนี้คือ หอคอยทรงโดมหัวกลมสองโดมคู่กัน ที่จะมองเห็นได้โดดเด่นจากที่ไกลๆ ทำให้หลายๆ คนมักเรียกว่าโบสถ์ทรงหัวหอมคู่
ภายในมหาวิหาร Frauenkirche
เข้ามาด้านในของมหาวิหาร สิ่งแรกที่จะเห็นก็คือ “รอยเท้าปีศาจ” (Teufelstritt) ซึ่งตามตำนานเล่ากันต่อๆ มาว่า รอยเท้านี้เกิดจากการกระทืบของปีศาจที่โกรธแค้นมนุษย์ที่ตกลงกันว่าจะต้องสร้างวิหารที่ไม่มีหน้าต่าง เพราะเชื่อว่าจะไม่มีใครมาสวดมนต์ในโบสถ์ที่มืดทึบ แต่พอถึงเวลาสร้างจริงมนุษย์ไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้ มีการสร้างหน้าต่างรอบตัววิหารทั้งหมด เว้นเฉพาะมุมที่ปิศาจยืนอยู่เท่านั้น

ส่วนภายในวิหารนั้นงดงามด้วยเสาที่ตั้งเรียงราย ซึ่งมีความสูงกว่า 72 ฟุต และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมในยุคกลาง ใครมาที่นี่อย่าลืมเดินไปชมแท่นบูชาที่ตกแต่งอย่างสวยงามหรูหรา ส่วนบริเวณโดมคู่นั้นสามารถขึ้นไปชมวิวของเมืองมิวนิคได้ด้วย
ศาลากลางเมืองหลังใหม่ บริเวณ Marienplatz
จากมหาวิหาร เราเดินกลับมาที่ถนนเส้นเดิม ซึ่งจะตรงไปจนถึง “Marienplatz” (มาเรียนพลัตซ์) จัตุรัสกลางเมืองมิวนิค ในสมัยก่อนนั้นจัตุรัสแห่งนี้ถือเป็นตลาดค้าขายขนาดใหญ่ ส่วนปัจจุบันก็ยังเป็นศูนย์กลางในการจัดงานทางวัฒนธรรมที่สำคัญหลายงาน โดยบริเวณจัตุรัสนี้เป็นที่ตั้งของ “Nuese rathaus” (ศาลากลางเมืองหลังใหม่) ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค
นาฬิกาตุ๊กตากลที่จะโผล่ออกมาพร้อมเสียงระฆัง
ที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาชมศาลากลางเมืองหลังใหม่ คือการขึ้นไปชมวิวเมืองมิวนิคบนหอคอยสูง อีกสิ่งหนึ่งก็คือ การรอชมนาฬิกาตุ๊กตากลที่จะออกมาเต้นระบำพร้อมๆ กับเสียงระฆังที่จะดังขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. ของทุกวัน (ในฤดูร้อนจะเพิ่มช่วงเที่ยงและเย็น)
ร้านขายผลไม้ริมสนามหญ้าหลังศาลากลางเมืองหลังใหม่
ชมด้านหน้าแล้วก็เดินไปดูด้านข้างและด้านหลังของศาลากลางด้วย เพราะด้านหลังจะมีสนามหญ้าขนาดย่อมให้ไปนั่งเล่นพักผ่อนกันได้ รอบๆ สนามก็มีร้านค้าหลากหลายให้เดินชอปปิ้งกัน รวมถึงมีร้านขายผลไม้ริมสนามหญ้า ที่มีผลไม้สดๆ ให้เลือกซื้อ
 Viktualienmarkt
หรือถ้าหากใครอยากเดินตลาด แนะนำให้มาที่ “Viktualienmarkt” (ตลาดวิคทัวเลียน) ตลาดสดขายผักผลไม้กลางใจเมืองที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1807 แม้ว่าปัจจุบันอาจจะดูว่ากลายเป็นตลาดนักท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังมีชาวเยอรมันมาเลือกซื้อของกันอยู่ตลอด มีทั้งผัก ผลไม้สดๆ ขนมปัง ช็อกโกแลต ของกินเล่น เนื้อสัตว์ ซึ่งจะมีการแบ่งโซนในการขายสินค้าแต่ละอย่าง มาตลาดนี้แค่เดินดูอย่างเดียวก็เพลินมากๆ แล้ว
เลือกซื้อเนื้อสัตว์ต่างๆ จากร้านขายเนื้อสัตว์
ถ้ำจำลองที่ตกแต่งด้วยหินงอกหินย้อย ภายใน Residenz Munchen
ชอปปิ้งกันจำหนำใจแล้ว ก็ได้เวลาไปชมของสวยๆ กันต่อ คราวนี้มาที่ “Residenz Munchen” (พระราชวังเรสซิเดนซ์ มึนเช่น) ซึ่งเป็นพระราชวังหลวงของกษัตริย์แห่งแคว้นบาวาเรีย แต่เดิมนั้นเริ่มมาจากพระตำหนักเล็กๆ แต่ได้มีการก่อสร้างต่อเติมจนมีพื้นที่กว้างขวางอย่างที่เห็นในปัจจุบัน พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งแคว้นบาวาเรีย จนกระทั่งระบอบกษัตริย์ล่มสลาย พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็นที่ทำการของรัฐบาล
Reiche Kapelle (Ornate Chapel)
ปัจจุบัน พระราชวังเรสซิเดนซ์เปิดให้เข้าชมความงดงามภายในที่ถูกจัดแบ่งไว้กว่า 130 ห้อง ภายในสามารถถ่ายภาพได้ (งดใช้แฟลช) โดยจะแบ่งเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ในพระราชวัง ส่วนห้องเก็บสมบัติ และส่วนของโรงละคร แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อย อาจจะเลือกชมเฉพาะบางส่วนก็ได้ เหมือนกับที่เราเลือกเข้าไปชมเฉพาะส่วนของพิพิธภัณฑ์

หลังจากซื้อตั๋วเข้าชม และฝากกระเป๋ากันแล้ว ก็จะเดินตรงเข้ามาในจุดแรก “Grottenhof” (โถงกรอทเทนโฮฟ) ซึ่งสร้างเป็นถ้ำจำลอง ประดับประดาด้วยเปลือกหอยหลากหลายสีสัน นำมาแต่งเป็นรูปปั้นเทพีต่างๆ และเมื่อเดินผ่านเข้าไปแล้วก็จะพบกับ “Antiquarium” (โถงแอนทิควาริอุม) ที่เป็นห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ที่วิจิตรงดงาม หากสังเกตรอบๆ ห้องจะเห็นเป็นภาพเขียนแบบคลาสสิกที่อ้างอิงตามนิยายกรีกโบราณ แสงสว่างที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องคล้ายเป็นสีเหลืองทอง ดูงามสง่า โออ่า สมกับเป็นพระราชวังหลวงเลยจริงๆ
ห้อง Ancestral Hall
ด้วยจำนวนห้องที่มีจัดแสดงมากมายนั้น หากมีเวลาไม่มากก็อาจจะเดินชมอย่างละเอียดได้เป็นเพียงบางห้อง ซึ่งก็มีการจัดแสดงจำลองเป็นห้องต่างๆ อาทิ ห้องบรรทม ห้องทรงพระสำราญ ห้องเสวยพระกระยาหาร เป็นต้น

ส่วนอีกห้องที่น่าชมไม่น้อยก็คือ “Reiche Kapelle” (Ornate Chapel) ซึ่งใช้เป็นห้องบูชา หรือเป็นโบสถ์คาทอลิกส่วนพระองค์ของดยุกมักซิมิเลียนที่ 1 แห่งบาวาเรีย และแม้ว่าขนาดห้องจะไม่ใหญ่โตมากนัก แต่การประดับประดาตกแต่งนั้นงดงามมาก ทั้งทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนและหินมีค่า ด้านบนเพดานก็เป็นสีฟ้า-ทอง และมีกระจกสีตกแต่งอยู่บนยอดโดม อีกห้องคือ “Ancestral Hall” หรือ โถงบรรพบุรุษ เนื่องจากที่นี่ประดิษฐานพระบรมรูปและพระรูปของบรรพบุรุษในราชวงศ์บาวาเรียไว้โดยรอบ
สวน Hofgarten
เดินชมพระราชวังจนเมื่อยแล้ว หากใครอยากหาที่นั่งพักผ่อนสบายๆ ไม่ไกลจากพระราชวังมากนักก็มีสวนสวยให้ได้ไปเดินเล่นกัน สวนแห่งนี้มีชื่อว่า “Hofgarten” (โฮฟการ์เทน) แต่ก่อนนั้นสวนแห่งนี้เป็นพระราชอุทยาน ที่สร้างขึ้นโดยดยุกมักซิมิเลียนที่ 1 แห่งบาวาเรีย โดยตัวสวนนั้นเป็นสวนแบบเรเนสซองส์ ต่อมาภายหลังสวนถูกทำลายลงจากสงคราม เลยมีการจัดตกแต่งขึ้นใหม่และกลายเป็นสวนสไตล์อังกฤษอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

สิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของสวนแห่งนี้ ก็คือ ศาลาขนาดย่อมที่ตั้งอยู่ในกลางสวน ด้านในมีที่นั่งให้พักหลบร้อน (และหลบลมหนาว) ศาลาหลังนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แด่เทพีไดอาน่าจากเทพปกรณัมโรมัน ผู้ดูแลผืนป่าและสัตว์ป่า
Siegestor
ปิดท้ายการเดินเที่ยวในเมืองมิวนิคด้วยการไปดูประตูชัยของมิวนิค “Siegestor” (ประตูซีเกสทอร์) บริเวณใจกลางของถนน Ludwigstrasse เห็นหน้าตาคล้ายๆ กับประตูชัยฝรั่งเศสแบบนี้ ที่ Siegestor ก็เป็นซุ้มประตูแห่งชัยชนะเช่นกัน โดยสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1850 เพื่อรำลึกถึงทหารที่เสียสละชีพในสงครามนโปเลียน

และบนถนน “Ludwigstrasse” (ลุดวิกสตราสเซ่) ก็ถือว่าเป็นถนนสายประวัติศาสตร์อีกเส้นหนึ่ง เพราะนอกจากจะทอดยาวมาตั้งแต่ด้านหน้าพระราชวังเรสซิเดนซ์จนมาถึงประตูชัยแห่งนี้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ก็เคยนำกองทัพนาซีมาสวนสนามที่นี่ด้วย และปัจจุบัน ถนนสายนี้ก็เต็มไปด้วยอาคารสวยๆ ทั้งสองฟากฝั่งถนน รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยประจำเมืองอีกด้วย

ได้เดินเที่ยวในเมืองมิวนิคกันแล้ว แต่ถ้าหากอยากสัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวบาวาเรียแท้ๆ ก็ต้องไปลองจิบเบียร์เยอรมัน แกล้มกับขาหมูและไส้กรอกเยอรมัน พร้อมกับฟังท่วงทำนองสนุกสนานของดนตรีสไตล์บาวาเรีย ก็จะช่วยให้เราได้ซึมซับความเป็นมิวนิคอย่างแท้จริง
* * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น