โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
แม้“ฮานอย”จะเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม แต่เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและเจริญที่สุดของเวียดนามนับตั้งแต่เปิดประเทศมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็น“โฮจิมินห์” หรือ เมือง“ไซ่ง่อน”เดิม
โฮจิมินห์ เป็นเมืองท่าสำคัญแห่งดินแดนเวียดนามตอนใต้ ซึ่งจากเมืองไทยนี่คือฮับสำคัญในการเชื่อมไทยกับเวียดนาม
ล่าสุดทางสายการบิน“เวียตเจ็ท”(Vietjet Air) สายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์อันดับหนึ่งของเวียดนาม ได้เพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-โฮจิมินห์ จาก 2 เที่ยวบิน/วัน เป็น 3 เที่ยวบิน/วัน เพื่อรองรับผู้โดยสารของทั้งไทยและเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้สายการบินเวียตเจ็ทยังมีเส้นทางบิน “กรุงเทพฯ-ฮานอย” อีกวันละหนึ่งเที่ยวบิน และมี เส้นทางบินภายในประเทศอีกหลากหลายให้คนที่ไปเที่ยวเวียดนามได้ใช้บริการกัน ดังเช่นในทริปนี้ที่ผมเลือกบินจากเมืองไทยสู่โฮจิมินห์ แล้วก็ใช้บริการบินต่อสู่เมือง“เว้” เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวใน 3 เมืองสำคัญของเวียดนามตอนกลางอันได้แก่ เว้ ดานัง และฮอยอัน กับทริป “เวียดนามสามรส”(ผมตั้งชื่อเอง) เพื่อสัมผัสกับมนต์เสน่ห์อันหลากหลายของอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านสำคัญของเรา
เว้ เสน่ห์มรดกโลกมีชีวิต
เว้(Hue) เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าแห่ง“ราชวงศ์เหวียน”(คนไทยมักออกเสียงเป็นเหงียน)ที่นำโดยองค์ปฐมกษัตริย์หรือจักรพรรดิองค์แรกคือ “เหวียนฮวาง” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม“องค์เชียงสือ”
และด้วยรอยอดีตอันรุ่งโรจน์กับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ยังดำรงคงอยู่ ควบคู่ไปกับวิถีร่วมสมัย ทำให้องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองเว้เป็น“มรดกโลก”ในปี พ.ศ. 2536
ปัจจุบันเว้เป็นเมืองหลักของ จังหวัด“เถื่อ เทียน เว้”(Thua Thien-Hue) มี“แม่น้ำหอม” หรือ“ซมเฮือง”(Song Huong-Perfume River) ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งนอกจากจะเป็นดังเส้นเลือดหลักของชาวเว้แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเว้อีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวทั้งที่มาเที่ยวเองหรือมากับคณะทัวร์ มักจะนิยมนั่งเรือหัวมังกรเที่ยวชมแม่น้ำหอม ที่มีเรือบริการให้เลือกล่องทั้งกลางวันและกลางคืน
ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเมืองเว้ที่ไม่ควรพลาดนั้นก็นำโดย “วัดเทียนมู่” (Thien Mu) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ที่ภายในวัดมีเจดีย์เทียนมู่ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นไฮไลท์และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้
เจดีย์เทียนมู่ สร้างขึ้น พ.ศ. 2144 เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนทรง 8 เหลี่ยม สูง 21 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นดังตัวแทนของชาติภาพต่างๆ สร้างขึ้นใน ค.ศ.1601
ที่ด้านข้างองค์เจดีย์ด้านซ้าย-ขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึกใหญ่และระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 ก.ก. ด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่วัด ประดิษฐานพระพุทธรูป พระสังกัจจายน์ เทวรูป ในบรรยากาศขรึมขลังมีคนเข้ามาทำบุญกันไม่ได้ขาด
นอกจากนี้เทียนมู่วัดเทียนมู่ยังมีอีกหนึ่งจุดสำคัญชวนชมนั่นก็คือ “รถออสตินสีฟ้า”รถคันประวัติศาสตร์ ที่ทางวัดเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ เนื่องจากในปี พ.ศ. 2506 พระภิกษุทิกกวางหยก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ ได้นั่งรถออสตินคันนี้ไปประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียม(ภายใต้การชักใยของอเมริกา)ที่มีการคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารอีกทั้งยังบังคับให้ชาวเวียดนามใต้หันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก รวมถึงมีการใช้ความรุนแรงต่างๆ
พระภิกษุทิกกวางหยก ท่านไม่ประท้วงรัฐบาลเปล่า แต่หากยังราดน้ำมันเผาตัวเอง เพื่อประกาศให้โลกรับรู้ ณ กลางกรุงไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้ปัจจุบัน จนกลายเป็นตำนาน ส่งผลให้วัดเทียนมู่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองในยุคหลังสงครามเวียดนามอีกด้วย
สำหรับอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดของคนที่มาเที่ยวเมืองเว้นั่นก็คือ “พระราชวังหลวง” หรือ “นครจักรพรรดิ” หรือ “นครต้องห้าม”
พระราชวังหลวงเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแห่งเว้ทั้งหมด 13 พระองค์ ออกแบบตามความเชื่อของจีน มีผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกำแพงสูง 3 ชั้นล้อมรอบ เมื่อผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไป จะได้พบกับปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า อันได้แก่เลข 5+4 ที่หมายถึง ตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ และโลหะ กับตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ใน 1 ปี โดยมีลานจัตุรัสกว้างใหญ่ และป้อมปราการที่เสาธงสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน
จากนั้นก็จะเป็นกำแพงชั้นกลางที่นักท่องเที่ยวต้องตีตั๋วเข้าสู่ชั้นต่อไปใน ผ่านจากกำแพงชั้นกลางเข้าไปก็จะเป็นกำแพงชั้นใน ที่เดิมเป็นเขตเฉพาะสำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
ภายในเขตกำแพงชั้นในมีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “พระราชวังไทเฮา” ที่เป็นส่วนสำคัญที่สุด,“ลานพระราชวัง”พื้นที่ลานโล่งกลางแจ้งของพระราชวัง, “พิพิธภัณฑ์”ที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ และ“ท้องพระโรงจำลอง” ที่วันนี้กลายเป็นที่เปลี่ยนจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว รวมถึงยังมีวัดต่างๆ ที่สร้างอุทิศให้กับบรรดาขุนนาง นำโดย “วัดเถเหมียว”(The Mieu) วัดสำคัญที่ภายในเป็นที่ตั้งป้ายกษัตริย์ 9 รัชกาล กับบรรยากาศของวัดยังคงสภาพดี มีความสวยงาม น่าแวะเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
ในเมืองเว้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์นั่นก็คือ “สุสานจักรพรรดิ”ต่างๆ อาทิ สุสานจักรพรรดิยาลอง(Gia Long),สุสานจักรพรรดิมินห์หม่าง(Minh Mang),สุสานจักรพรรดิตือ ดึก(Tu Duc) และสุสานจักรพรรดิไคดิ่ง(Khai Dinh) ที่ได้ชื่อว่ามีความยิ่งใหญ่สวยงามสูงสุดเหนือบรรดาสุสานจักรพรรดิทั้งปวง
สุสานจักรพรรดิไคดิ่ง ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง(ตามความเชื่อของชาวเวียดหลุมฝังศพกษัตริย์ต้องอยู่สูงกว่าสามัญชน) มีบันไดทางขึ้น 127 ขั้น เมื่อผ่านซุ้มประตูอันโอ่อ่าในช่วงแรกขึ้นไปจะพบกับ รูปปั้นหินของทหาร ช้าง ม้า ที่ยืนเด่นเป็นดังองค์รักษ์เฝ้าสุสาน
จากนั้นเส้นทางจะนำไปสู่ส่วนไฮไลท์ของสุสานคือ“สุสานจักรพรรดิชั้นใน”ที่อยู่ด้านบนสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสาน มีรูปปั้นของพระเจ้าไคดิ่งเป็นศูนย์กลาง ด้านล่างใต้รูปปั้นลึกลงไป 11 เมตร ฝังพระศพของพระเจ้าไคดิ่งเอาไว้
ภายในสุสานจักรพรรดิชั้นใน ด้านบนเพดานมีภาพเขียนสีรูปมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ ที่ศิลปินโบราณใช้เท้าวาดแทนมือ อันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าสามัญชนห้ามยืนศีรษะอยู่สูงกว่ากษัตริย์ทำให้ไม่สามารถยืนใช้มือวาดรูปได้ จึงต้องแก้เคล็ดเป็นสลับกลับหัวมาอยู่ด้านล่างแล้วใช้เท้าวาดแทน(แต่คนที่นี่สมัยก่อนไม่ถือเรื่องเท้าอยู่สูง)จนเกิดเป็นภาพประดับเพดานอันชวนทึ่ง
ขณะที่ตามผนังของสุสานจักรพรรดิชั้นในนั้น มีการตกแต่งผนังด้วยกระเบื้องเคลือบสีอิทธิพลงานศิลปกรรมจากจีน หลายจุดทำเป็นรูปมังกรตามความเชื่อแบบจีนที่เวียดนามได้รับอิทธิพลมา ซึ่งงานศิลปะกระเบื้องเคลือบที่นี่สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างวิจิตรงดงาม สุดยอดมาก ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สุสานจักรพรรดิไคดิ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์แห่งเมืองเว้” กันเลยทีเดียว
นอกจากนี้เมืองเว้มี “ตลาดดงบา” ที่ค้าขายสินค้าสารพัดสารพันอันมากหลายให้เลือกซื้อเลือกช้อปกันอย่างจุใจ ขาช้อปชาวไทยไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
“ดานัง”นั่งกระเช้าทะลุเมฆพิชิตเขาบานา
หลังเพลิดเพลินกับมนต์เสน่ห์มรดกโลกของเมืองเว้แล้ว เป้าหมายต่อไปผมกับคณะออกเดินทางสู่เมือง“ดานัง” ระหว่างทางเราผ่าน “อุโมงค์หายเวิน” อุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ภูเขาที่ยาวที่สุดในเอเชีย กับความยาว 6.28 กิโลเมตร ให้ได้ตื่นเต้นกันพอหอมปากหอมคอ
จากนั้นก็เดินทางมาถึงยังเมืองดานังหรือเมือง“ด่าหนัง” เมืองใหญ่อันดับ 3 ของเวียดนามและเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งเวียดนามกลางนับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
ดานังนอกจากจะเป็นเมืองชายทะเลแล้ว ยังเป็นเมืองแห่งแสงสี เพราะตึกรามบ้านเรือนต่างๆในดานัง ส่วนใหญ่จะตกแต่งทาสีอย่างจัดจ้านสดใส ไม่ว่าจะเป็น แดง เหลือง ฟ้า เขียว ฯลฯ ครั้นเมื่อถึงยามราตรี ใจกลางเมืองดานังนั้นก็เต็มไปด้วยแสงสีต่างๆทั้งจากอาคาร บ้านเรือน สะพาน สถานบันเทิง นับเป็นอีกหนึ่งเมืองอันคึกคักของเวียดนาม
ขณะที่ในยามเช้าถึงสายนั้นที่ “ตลาดฮาน”ใจกลางเมืองดานัง จะคึกคักคลาคล่ำไปด้วยชาวเวียดนามที่เดินทางมาจับจ่ายซื้อของที่นี่กับสินค้ามากมายสารพัดสารพัน ทั้งของสด ของแห้ง เสื้อผ้า กาแฟ สินค้าที่ระลึก ใครที่ชอบถ่ายภาพวิถีชีวิต ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดไม่ควรพลาดของเมืองดานัง
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของเมืองดานังนั้น ตอนนี้ที่มาแรงสุดๆก็คือ “เขาบานา”(Bana Hill) ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองดานังไปประมาณ 40 กม.
เขาบานา เป็นหนึ่งในเมืองพักตากอากาศอันดับต้นๆของเวียดนาม ซึ่งด้วยสภาพอากาศที่ดีเย็นสบายตลอดปีและมีวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ทำให้ฝรั่งเศสในยุคอาณานิคมที่เข้ามาปกครองเวียดนาม ได้ตัดถนนอันลดเลี้ยวขึ้นไปบนภูเขาบานา และได้สร้างเมืองขึ้นบนนี้
มาวันนี้ยอดเขาบานาได้พัฒนา มีการสร้างกระเช้าที่ทันสมัยที่สุดในเวียดนามขึ้นสู่ยอดเขา มีการสร้างสวนสนุก ที่พัก ร้านอาหารอยู่บนนั้น กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังเลื่องลือแห่งเมืองดานัง
เขาบานา มีอุณภูมิเฉลี่ย 17 องศาตลอดปี บนเขามี 4 ฤดูใน 1 วัน คือ ตอนเช้า-ฤดูใบไม้ผลิ,ตอนสาย-ฤดูร้อน,ตอนบ่าย-ฤดูใบไม้ร่วง และตอนเย็น-ฤดูหนาว
ยอดเขาบานามีความสูง 1,487 เมตร ที่แม้จะสูงไม่มาก แต่ว่าบรรยากาศการนั่งกระเช้าขึ้นเขาบานานี่สุดยอดทีเดียว โดยในช่วงขาขึ้นผมกับเพื่อนๆนั่งกระเช้าที่ลูกหนึ่งจุได้ 8 คน ที่ค่อยๆลอยผ่านวิวทิวทัศน์ของขุนเขา ป่าไม้ ลำธาร และน้ำตกอันสวยงามในช่วงแรก
จากนั้นกระเช้าได้ลอยเข้าสู่ม่านหมอกอันหนาทึบเหมือนกับเป็นดังดินแดนอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเราลุ้นกันว่ามันจะไปโผล่ออกตรงที่ไหน ก่อนที่ในช่วงท้ายๆกระเช้าจะลอยสูงทะลุเมฆสู่ยอดขุนเขาช่วงแรก โดยใช้เวลานั่งกระเช้าไป 11 นาที นับเป็นการเดินทางแบบมาเหนือเมฆที่เบื้องล่างน่ายลไปด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงาม
สำหรับยอดเขาบานาในช่วงแรก มีสิ่งน่าสนให้เที่ยวชมกันหลากหลาย อาทิ
-“ถ้ำไวน์” ที่ฝรั่งเศสได้ขึ้นมาสร้างเป็นที่บ่มไวน์หมักไวน์ไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 ภายในเป็นเส้นทางเดินในถ้ำจัดแสดงเกี่ยวกับการหมักไวน์ และมีไวน์ให้ทดลองชิม(เสียเงิน)
-“สวนดอกไม้” เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ท่ามกลางบรรยากาศสิ่งก่อสร้างแบบยุโรป มีประติมากรรมหงส์คู่หันหน้าเข้าหากันตั้งเด่นเป็นสง่า
-“พระใหญ่” กับพระพุทธรูปองค์โตสีขาวเด่น มีความสูงถึง 27 เมตร ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นมาเที่ยวชม สักการะพระใหญ่องค์นี้กันเป็นจำนวนมาก
และ “วัดลึงอึ้ง” วัดเก่าแก่บนยอดเขา กับงานศิลปกรรมแบบเวียดนามผสมจีนอันงดงาม วัดลึงอึ้ง นอกจากจะมีพระพุทธรูป เทพเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะบูชาแล้ว ยังมีซุ้มประตูบันไดมังกร ที่สร้างอยู่ริมเขา สามารถเดินไปชมบันไดมังกรและวิวทิวทัศน์อันสวยงามได้
นอกจากนี้ที่วัดลึงอึ้งยังมีจุดชมวิว เมื่อมองลงไปเบื้องหน้าจะเห็นเขาบานาในบรรยากาศเหนือเมฆอันงดงาม ส่วนเมื่อมองขึ้นไปเบื้องบนทางฝั่งหลังวัด จะเห็นปราสาทราชวังในแบบยุโรปเก่าแก่ตั้งเด่นอยู่บนยอดเขาเขียว มีกระเช้าลอยขึ้น-ลงไปมา ซึ่งนั่นคือ "แฟนตาซี พาร์ค"(Fantasy Park) ที่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่มาแรงของชาวเวียดนาม และเป็นจุดหมายลำดับต่อไปในการเที่ยวเขาบานาของผมในทริปนี้
จากยอดเขาบานาช่วงแรก เราไปขึ้นกระเช้าเดินทางกันต่อในช่วง 2 สู่แฟนตาซี พาร์ค บนยอดเขา ซึ่งใช้เวลา 6 นาที ก็จะขึ้นมาถึงยังสถานที่แห่งนี้ ที่เป็นดังอีกโลกหนึ่ง คือเป็นโลกแห่งจินตนาการ กับ งานสถาปัตยกรรม ตึกราม บ้านเรือน ปราสาทราชวัง โบสถ์ แบบยุโรปย้อนยุค ที่มีความสวยงามชวนถ่ายรูปในหลากหลายจุด
แฟนตาซี พาร์ค เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ มีพื้นที่นับหมื่นๆไร่ ภายใน มีสวนสนุกกับเครื่องเล่นต่างๆให้เลือกเล่น มีโรงแรมหรูให้เลือกพักผ่อน ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองตากอากาศอันสวยงาม มีร้านอาหารในบรรยากาศหรูให้เลือกหม่ำ และร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกอันหลากหลาย ให้เลือกจับจ่ายใช้สอย
วันนั้นผมกับเพื่อนๆเที่ยวอยู่บนนี้กันเกือบค่อนวัน ก่อนจะนั่งกระเช้าลงจากเขาบานาแบบรวดเดียว(เที่ยวเดียว) กว่า 5 กม. (5,042 ม.) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกระเช้าเที่ยวเดียวที่ยาวที่สุด ผ่านทะลุเมฆ(อีกครั้ง)กลับมาสู่เบื้องล่าง
อันถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจแห่งเมืองดานัง รอคอยให้ผู้สนใจได้ขึ้นไปสัมผัส...(อ่านต่อตอนต่อไป จากดานังสู่ฮอยอัน)
*****************************************
ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม สำรองที่นั่ง และดูโปรโมชันต่างๆเกี่ยวกับสายการบินเวียตเจ็ท ได้ที่ เว็บไซต์ www.vietjetair.com แฟนเพจ www.facebook.com/vietjetairvietnam หรือที่ศูนย์จำหน่ายตั๋ว เวียตเจ็ท เอาต์เลต หรือสายด่วน 1900 1886
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
แม้“ฮานอย”จะเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม แต่เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและเจริญที่สุดของเวียดนามนับตั้งแต่เปิดประเทศมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็น“โฮจิมินห์” หรือ เมือง“ไซ่ง่อน”เดิม
โฮจิมินห์ เป็นเมืองท่าสำคัญแห่งดินแดนเวียดนามตอนใต้ ซึ่งจากเมืองไทยนี่คือฮับสำคัญในการเชื่อมไทยกับเวียดนาม
ล่าสุดทางสายการบิน“เวียตเจ็ท”(Vietjet Air) สายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์อันดับหนึ่งของเวียดนาม ได้เพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-โฮจิมินห์ จาก 2 เที่ยวบิน/วัน เป็น 3 เที่ยวบิน/วัน เพื่อรองรับผู้โดยสารของทั้งไทยและเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้สายการบินเวียตเจ็ทยังมีเส้นทางบิน “กรุงเทพฯ-ฮานอย” อีกวันละหนึ่งเที่ยวบิน และมี เส้นทางบินภายในประเทศอีกหลากหลายให้คนที่ไปเที่ยวเวียดนามได้ใช้บริการกัน ดังเช่นในทริปนี้ที่ผมเลือกบินจากเมืองไทยสู่โฮจิมินห์ แล้วก็ใช้บริการบินต่อสู่เมือง“เว้” เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวใน 3 เมืองสำคัญของเวียดนามตอนกลางอันได้แก่ เว้ ดานัง และฮอยอัน กับทริป “เวียดนามสามรส”(ผมตั้งชื่อเอง) เพื่อสัมผัสกับมนต์เสน่ห์อันหลากหลายของอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านสำคัญของเรา
เว้ เสน่ห์มรดกโลกมีชีวิต
เว้(Hue) เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าแห่ง“ราชวงศ์เหวียน”(คนไทยมักออกเสียงเป็นเหงียน)ที่นำโดยองค์ปฐมกษัตริย์หรือจักรพรรดิองค์แรกคือ “เหวียนฮวาง” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม“องค์เชียงสือ”
และด้วยรอยอดีตอันรุ่งโรจน์กับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ยังดำรงคงอยู่ ควบคู่ไปกับวิถีร่วมสมัย ทำให้องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองเว้เป็น“มรดกโลก”ในปี พ.ศ. 2536
ปัจจุบันเว้เป็นเมืองหลักของ จังหวัด“เถื่อ เทียน เว้”(Thua Thien-Hue) มี“แม่น้ำหอม” หรือ“ซมเฮือง”(Song Huong-Perfume River) ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งนอกจากจะเป็นดังเส้นเลือดหลักของชาวเว้แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเว้อีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวทั้งที่มาเที่ยวเองหรือมากับคณะทัวร์ มักจะนิยมนั่งเรือหัวมังกรเที่ยวชมแม่น้ำหอม ที่มีเรือบริการให้เลือกล่องทั้งกลางวันและกลางคืน
ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเมืองเว้ที่ไม่ควรพลาดนั้นก็นำโดย “วัดเทียนมู่” (Thien Mu) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ที่ภายในวัดมีเจดีย์เทียนมู่ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นไฮไลท์และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้
เจดีย์เทียนมู่ สร้างขึ้น พ.ศ. 2144 เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนทรง 8 เหลี่ยม สูง 21 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นดังตัวแทนของชาติภาพต่างๆ สร้างขึ้นใน ค.ศ.1601
ที่ด้านข้างองค์เจดีย์ด้านซ้าย-ขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึกใหญ่และระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 ก.ก. ด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่วัด ประดิษฐานพระพุทธรูป พระสังกัจจายน์ เทวรูป ในบรรยากาศขรึมขลังมีคนเข้ามาทำบุญกันไม่ได้ขาด
นอกจากนี้เทียนมู่วัดเทียนมู่ยังมีอีกหนึ่งจุดสำคัญชวนชมนั่นก็คือ “รถออสตินสีฟ้า”รถคันประวัติศาสตร์ ที่ทางวัดเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ เนื่องจากในปี พ.ศ. 2506 พระภิกษุทิกกวางหยก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ ได้นั่งรถออสตินคันนี้ไปประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียม(ภายใต้การชักใยของอเมริกา)ที่มีการคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารอีกทั้งยังบังคับให้ชาวเวียดนามใต้หันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก รวมถึงมีการใช้ความรุนแรงต่างๆ
พระภิกษุทิกกวางหยก ท่านไม่ประท้วงรัฐบาลเปล่า แต่หากยังราดน้ำมันเผาตัวเอง เพื่อประกาศให้โลกรับรู้ ณ กลางกรุงไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้ปัจจุบัน จนกลายเป็นตำนาน ส่งผลให้วัดเทียนมู่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองในยุคหลังสงครามเวียดนามอีกด้วย
สำหรับอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดของคนที่มาเที่ยวเมืองเว้นั่นก็คือ “พระราชวังหลวง” หรือ “นครจักรพรรดิ” หรือ “นครต้องห้าม”
พระราชวังหลวงเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแห่งเว้ทั้งหมด 13 พระองค์ ออกแบบตามความเชื่อของจีน มีผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกำแพงสูง 3 ชั้นล้อมรอบ เมื่อผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไป จะได้พบกับปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า อันได้แก่เลข 5+4 ที่หมายถึง ตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ และโลหะ กับตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ใน 1 ปี โดยมีลานจัตุรัสกว้างใหญ่ และป้อมปราการที่เสาธงสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน
จากนั้นก็จะเป็นกำแพงชั้นกลางที่นักท่องเที่ยวต้องตีตั๋วเข้าสู่ชั้นต่อไปใน ผ่านจากกำแพงชั้นกลางเข้าไปก็จะเป็นกำแพงชั้นใน ที่เดิมเป็นเขตเฉพาะสำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
ภายในเขตกำแพงชั้นในมีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “พระราชวังไทเฮา” ที่เป็นส่วนสำคัญที่สุด,“ลานพระราชวัง”พื้นที่ลานโล่งกลางแจ้งของพระราชวัง, “พิพิธภัณฑ์”ที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ และ“ท้องพระโรงจำลอง” ที่วันนี้กลายเป็นที่เปลี่ยนจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว รวมถึงยังมีวัดต่างๆ ที่สร้างอุทิศให้กับบรรดาขุนนาง นำโดย “วัดเถเหมียว”(The Mieu) วัดสำคัญที่ภายในเป็นที่ตั้งป้ายกษัตริย์ 9 รัชกาล กับบรรยากาศของวัดยังคงสภาพดี มีความสวยงาม น่าแวะเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
ในเมืองเว้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์นั่นก็คือ “สุสานจักรพรรดิ”ต่างๆ อาทิ สุสานจักรพรรดิยาลอง(Gia Long),สุสานจักรพรรดิมินห์หม่าง(Minh Mang),สุสานจักรพรรดิตือ ดึก(Tu Duc) และสุสานจักรพรรดิไคดิ่ง(Khai Dinh) ที่ได้ชื่อว่ามีความยิ่งใหญ่สวยงามสูงสุดเหนือบรรดาสุสานจักรพรรดิทั้งปวง
สุสานจักรพรรดิไคดิ่ง ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง(ตามความเชื่อของชาวเวียดหลุมฝังศพกษัตริย์ต้องอยู่สูงกว่าสามัญชน) มีบันไดทางขึ้น 127 ขั้น เมื่อผ่านซุ้มประตูอันโอ่อ่าในช่วงแรกขึ้นไปจะพบกับ รูปปั้นหินของทหาร ช้าง ม้า ที่ยืนเด่นเป็นดังองค์รักษ์เฝ้าสุสาน
จากนั้นเส้นทางจะนำไปสู่ส่วนไฮไลท์ของสุสานคือ“สุสานจักรพรรดิชั้นใน”ที่อยู่ด้านบนสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสาน มีรูปปั้นของพระเจ้าไคดิ่งเป็นศูนย์กลาง ด้านล่างใต้รูปปั้นลึกลงไป 11 เมตร ฝังพระศพของพระเจ้าไคดิ่งเอาไว้
ภายในสุสานจักรพรรดิชั้นใน ด้านบนเพดานมีภาพเขียนสีรูปมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ ที่ศิลปินโบราณใช้เท้าวาดแทนมือ อันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าสามัญชนห้ามยืนศีรษะอยู่สูงกว่ากษัตริย์ทำให้ไม่สามารถยืนใช้มือวาดรูปได้ จึงต้องแก้เคล็ดเป็นสลับกลับหัวมาอยู่ด้านล่างแล้วใช้เท้าวาดแทน(แต่คนที่นี่สมัยก่อนไม่ถือเรื่องเท้าอยู่สูง)จนเกิดเป็นภาพประดับเพดานอันชวนทึ่ง
ขณะที่ตามผนังของสุสานจักรพรรดิชั้นในนั้น มีการตกแต่งผนังด้วยกระเบื้องเคลือบสีอิทธิพลงานศิลปกรรมจากจีน หลายจุดทำเป็นรูปมังกรตามความเชื่อแบบจีนที่เวียดนามได้รับอิทธิพลมา ซึ่งงานศิลปะกระเบื้องเคลือบที่นี่สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างวิจิตรงดงาม สุดยอดมาก ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สุสานจักรพรรดิไคดิ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์แห่งเมืองเว้” กันเลยทีเดียว
นอกจากนี้เมืองเว้มี “ตลาดดงบา” ที่ค้าขายสินค้าสารพัดสารพันอันมากหลายให้เลือกซื้อเลือกช้อปกันอย่างจุใจ ขาช้อปชาวไทยไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
“ดานัง”นั่งกระเช้าทะลุเมฆพิชิตเขาบานา
หลังเพลิดเพลินกับมนต์เสน่ห์มรดกโลกของเมืองเว้แล้ว เป้าหมายต่อไปผมกับคณะออกเดินทางสู่เมือง“ดานัง” ระหว่างทางเราผ่าน “อุโมงค์หายเวิน” อุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ภูเขาที่ยาวที่สุดในเอเชีย กับความยาว 6.28 กิโลเมตร ให้ได้ตื่นเต้นกันพอหอมปากหอมคอ
จากนั้นก็เดินทางมาถึงยังเมืองดานังหรือเมือง“ด่าหนัง” เมืองใหญ่อันดับ 3 ของเวียดนามและเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งเวียดนามกลางนับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
ดานังนอกจากจะเป็นเมืองชายทะเลแล้ว ยังเป็นเมืองแห่งแสงสี เพราะตึกรามบ้านเรือนต่างๆในดานัง ส่วนใหญ่จะตกแต่งทาสีอย่างจัดจ้านสดใส ไม่ว่าจะเป็น แดง เหลือง ฟ้า เขียว ฯลฯ ครั้นเมื่อถึงยามราตรี ใจกลางเมืองดานังนั้นก็เต็มไปด้วยแสงสีต่างๆทั้งจากอาคาร บ้านเรือน สะพาน สถานบันเทิง นับเป็นอีกหนึ่งเมืองอันคึกคักของเวียดนาม
ขณะที่ในยามเช้าถึงสายนั้นที่ “ตลาดฮาน”ใจกลางเมืองดานัง จะคึกคักคลาคล่ำไปด้วยชาวเวียดนามที่เดินทางมาจับจ่ายซื้อของที่นี่กับสินค้ามากมายสารพัดสารพัน ทั้งของสด ของแห้ง เสื้อผ้า กาแฟ สินค้าที่ระลึก ใครที่ชอบถ่ายภาพวิถีชีวิต ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดไม่ควรพลาดของเมืองดานัง
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของเมืองดานังนั้น ตอนนี้ที่มาแรงสุดๆก็คือ “เขาบานา”(Bana Hill) ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองดานังไปประมาณ 40 กม.
เขาบานา เป็นหนึ่งในเมืองพักตากอากาศอันดับต้นๆของเวียดนาม ซึ่งด้วยสภาพอากาศที่ดีเย็นสบายตลอดปีและมีวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ทำให้ฝรั่งเศสในยุคอาณานิคมที่เข้ามาปกครองเวียดนาม ได้ตัดถนนอันลดเลี้ยวขึ้นไปบนภูเขาบานา และได้สร้างเมืองขึ้นบนนี้
มาวันนี้ยอดเขาบานาได้พัฒนา มีการสร้างกระเช้าที่ทันสมัยที่สุดในเวียดนามขึ้นสู่ยอดเขา มีการสร้างสวนสนุก ที่พัก ร้านอาหารอยู่บนนั้น กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังเลื่องลือแห่งเมืองดานัง
เขาบานา มีอุณภูมิเฉลี่ย 17 องศาตลอดปี บนเขามี 4 ฤดูใน 1 วัน คือ ตอนเช้า-ฤดูใบไม้ผลิ,ตอนสาย-ฤดูร้อน,ตอนบ่าย-ฤดูใบไม้ร่วง และตอนเย็น-ฤดูหนาว
ยอดเขาบานามีความสูง 1,487 เมตร ที่แม้จะสูงไม่มาก แต่ว่าบรรยากาศการนั่งกระเช้าขึ้นเขาบานานี่สุดยอดทีเดียว โดยในช่วงขาขึ้นผมกับเพื่อนๆนั่งกระเช้าที่ลูกหนึ่งจุได้ 8 คน ที่ค่อยๆลอยผ่านวิวทิวทัศน์ของขุนเขา ป่าไม้ ลำธาร และน้ำตกอันสวยงามในช่วงแรก
จากนั้นกระเช้าได้ลอยเข้าสู่ม่านหมอกอันหนาทึบเหมือนกับเป็นดังดินแดนอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเราลุ้นกันว่ามันจะไปโผล่ออกตรงที่ไหน ก่อนที่ในช่วงท้ายๆกระเช้าจะลอยสูงทะลุเมฆสู่ยอดขุนเขาช่วงแรก โดยใช้เวลานั่งกระเช้าไป 11 นาที นับเป็นการเดินทางแบบมาเหนือเมฆที่เบื้องล่างน่ายลไปด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงาม
สำหรับยอดเขาบานาในช่วงแรก มีสิ่งน่าสนให้เที่ยวชมกันหลากหลาย อาทิ
-“ถ้ำไวน์” ที่ฝรั่งเศสได้ขึ้นมาสร้างเป็นที่บ่มไวน์หมักไวน์ไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 ภายในเป็นเส้นทางเดินในถ้ำจัดแสดงเกี่ยวกับการหมักไวน์ และมีไวน์ให้ทดลองชิม(เสียเงิน)
-“สวนดอกไม้” เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ท่ามกลางบรรยากาศสิ่งก่อสร้างแบบยุโรป มีประติมากรรมหงส์คู่หันหน้าเข้าหากันตั้งเด่นเป็นสง่า
-“พระใหญ่” กับพระพุทธรูปองค์โตสีขาวเด่น มีความสูงถึง 27 เมตร ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นมาเที่ยวชม สักการะพระใหญ่องค์นี้กันเป็นจำนวนมาก
และ “วัดลึงอึ้ง” วัดเก่าแก่บนยอดเขา กับงานศิลปกรรมแบบเวียดนามผสมจีนอันงดงาม วัดลึงอึ้ง นอกจากจะมีพระพุทธรูป เทพเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะบูชาแล้ว ยังมีซุ้มประตูบันไดมังกร ที่สร้างอยู่ริมเขา สามารถเดินไปชมบันไดมังกรและวิวทิวทัศน์อันสวยงามได้
นอกจากนี้ที่วัดลึงอึ้งยังมีจุดชมวิว เมื่อมองลงไปเบื้องหน้าจะเห็นเขาบานาในบรรยากาศเหนือเมฆอันงดงาม ส่วนเมื่อมองขึ้นไปเบื้องบนทางฝั่งหลังวัด จะเห็นปราสาทราชวังในแบบยุโรปเก่าแก่ตั้งเด่นอยู่บนยอดเขาเขียว มีกระเช้าลอยขึ้น-ลงไปมา ซึ่งนั่นคือ "แฟนตาซี พาร์ค"(Fantasy Park) ที่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่มาแรงของชาวเวียดนาม และเป็นจุดหมายลำดับต่อไปในการเที่ยวเขาบานาของผมในทริปนี้
จากยอดเขาบานาช่วงแรก เราไปขึ้นกระเช้าเดินทางกันต่อในช่วง 2 สู่แฟนตาซี พาร์ค บนยอดเขา ซึ่งใช้เวลา 6 นาที ก็จะขึ้นมาถึงยังสถานที่แห่งนี้ ที่เป็นดังอีกโลกหนึ่ง คือเป็นโลกแห่งจินตนาการ กับ งานสถาปัตยกรรม ตึกราม บ้านเรือน ปราสาทราชวัง โบสถ์ แบบยุโรปย้อนยุค ที่มีความสวยงามชวนถ่ายรูปในหลากหลายจุด
แฟนตาซี พาร์ค เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ มีพื้นที่นับหมื่นๆไร่ ภายใน มีสวนสนุกกับเครื่องเล่นต่างๆให้เลือกเล่น มีโรงแรมหรูให้เลือกพักผ่อน ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองตากอากาศอันสวยงาม มีร้านอาหารในบรรยากาศหรูให้เลือกหม่ำ และร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกอันหลากหลาย ให้เลือกจับจ่ายใช้สอย
วันนั้นผมกับเพื่อนๆเที่ยวอยู่บนนี้กันเกือบค่อนวัน ก่อนจะนั่งกระเช้าลงจากเขาบานาแบบรวดเดียว(เที่ยวเดียว) กว่า 5 กม. (5,042 ม.) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกระเช้าเที่ยวเดียวที่ยาวที่สุด ผ่านทะลุเมฆ(อีกครั้ง)กลับมาสู่เบื้องล่าง
อันถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจแห่งเมืองดานัง รอคอยให้ผู้สนใจได้ขึ้นไปสัมผัส...(อ่านต่อตอนต่อไป จากดานังสู่ฮอยอัน)
*****************************************
ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม สำรองที่นั่ง และดูโปรโมชันต่างๆเกี่ยวกับสายการบินเวียตเจ็ท ได้ที่ เว็บไซต์ www.vietjetair.com แฟนเพจ www.facebook.com/vietjetairvietnam หรือที่ศูนย์จำหน่ายตั๋ว เวียตเจ็ท เอาต์เลต หรือสายด่วน 1900 1886
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com