xs
xsm
sm
md
lg

“เวียดนาม”สามรส(1) : “เว้”หลงเสน่ห์มรดกโลก -“ดานัง”นั่งกระเช้าทะลุเมฆพิชิตเขาบานา/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
นั่งกระเช้าทะลุเมฆขึ้นไปพิชิตยอดเขาบานา
แม้“ฮานอย”จะเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม แต่เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและเจริญที่สุดของเวียดนามนับตั้งแต่เปิดประเทศมาจนถึงปัจจุบันกลับเป็น“โฮจิมินห์” หรือ เมือง“ไซ่ง่อน”เดิม

โฮจิมินห์ เป็นเมืองท่าสำคัญแห่งดินแดนเวียดนามตอนใต้ ซึ่งจากเมืองไทยนี่คือฮับสำคัญในการเชื่อมไทยกับเวียดนาม
อนุสาวรีย์โฮจิมินห์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ยามราตรีจะคึกคักไปด้วยชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ล่าสุดทางสายการบิน“เวียตเจ็ท”(Vietjet Air) สายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์อันดับหนึ่งของเวียดนาม ได้เพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-โฮจิมินห์ จาก 2 เที่ยวบิน/วัน เป็น 3 เที่ยวบิน/วัน เพื่อรองรับผู้โดยสารของทั้งไทยและเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้สายการบินเวียตเจ็ทยังมีเส้นทางบิน “กรุงเทพฯ-ฮานอย” อีกวันละหนึ่งเที่ยวบิน และมี เส้นทางบินภายในประเทศอีกหลากหลายให้คนที่ไปเที่ยวเวียดนามได้ใช้บริการกัน ดังเช่นในทริปนี้ที่ผมเลือกบินจากเมืองไทยสู่โฮจิมินห์ แล้วก็ใช้บริการบินต่อสู่เมือง“เว้” เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวใน 3 เมืองสำคัญของเวียดนามตอนกลางอันได้แก่ เว้ ดานัง และฮอยอัน กับทริป “เวียดนามสามรส”(ผมตั้งชื่อเอง) เพื่อสัมผัสกับมนต์เสน่ห์อันหลากหลายของอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านสำคัญของเรา
เว้ เมืองมรดกโลก มีแม่น้ำหอมไหลผ่านใจกลางเมือง
เว้ เสน่ห์มรดกโลกมีชีวิต

เว้(Hue) เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าแห่ง“ราชวงศ์เหวียน”(คนไทยมักออกเสียงเป็นเหงียน)ที่นำโดยองค์ปฐมกษัตริย์หรือจักรพรรดิองค์แรกคือ “เหวียนฮวาง” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม“องค์เชียงสือ”

และด้วยรอยอดีตอันรุ่งโรจน์กับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ยังดำรงคงอยู่ ควบคู่ไปกับวิถีร่วมสมัย ทำให้องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองเว้เป็น“มรดกโลก”ในปี พ.ศ. 2536
นั่งเรือมังกรล่องแม่น้ำหอม เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในเมืองเว้
ปัจจุบันเว้เป็นเมืองหลักของ จังหวัด“เถื่อ เทียน เว้”(Thua Thien-Hue) มี“แม่น้ำหอม” หรือ“ซมเฮือง”(Song Huong-Perfume River) ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งนอกจากจะเป็นดังเส้นเลือดหลักของชาวเว้แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเว้อีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวทั้งที่มาเที่ยวเองหรือมากับคณะทัวร์ มักจะนิยมนั่งเรือหัวมังกรเที่ยวชมแม่น้ำหอม ที่มีเรือบริการให้เลือกล่องทั้งกลางวันและกลางคืน
เจดีย์เทียนมู่ แห่งวัดเทียนมู่
ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเมืองเว้ที่ไม่ควรพลาดนั้นก็นำโดย “วัดเทียนมู่” (Thien Mu) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ที่ภายในวัดมีเจดีย์เทียนมู่ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นไฮไลท์และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้

เจดีย์เทียนมู่ สร้างขึ้น พ.ศ. 2144 เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนทรง 8 เหลี่ยม สูง 21 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นดังตัวแทนของชาติภาพต่างๆ สร้างขึ้นใน ค.ศ.1601
บรรยากาศภายในวัดเทียนมู่
ที่ด้านข้างองค์เจดีย์ด้านซ้าย-ขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึกใหญ่และระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 ก.ก. ด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่วัด ประดิษฐานพระพุทธรูป พระสังกัจจายน์ เทวรูป ในบรรยากาศขรึมขลังมีคนเข้ามาทำบุญกันไม่ได้ขาด
รถออสตินสีฟ้าคันที่เป็นตำนานแห่งวัดเทียนมู่
นอกจากนี้เทียนมู่วัดเทียนมู่ยังมีอีกหนึ่งจุดสำคัญชวนชมนั่นก็คือ “รถออสตินสีฟ้า”รถคันประวัติศาสตร์ ที่ทางวัดเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ เนื่องจากในปี พ.ศ. 2506 พระภิกษุทิกกวางหยก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ ได้นั่งรถออสตินคันนี้ไปประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียม(ภายใต้การชักใยของอเมริกา)ที่มีการคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารอีกทั้งยังบังคับให้ชาวเวียดนามใต้หันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก รวมถึงมีการใช้ความรุนแรงต่างๆ

พระภิกษุทิกกวางหยก ท่านไม่ประท้วงรัฐบาลเปล่า แต่หากยังราดน้ำมันเผาตัวเอง เพื่อประกาศให้โลกรับรู้ ณ กลางกรุงไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้ปัจจุบัน จนกลายเป็นตำนาน ส่งผลให้วัดเทียนมู่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองในยุคหลังสงครามเวียดนามอีกด้วย
พระราชวังหลวง อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของเมืองเว้
สำหรับอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดของคนที่มาเที่ยวเมืองเว้นั่นก็คือ “พระราชวังหลวง” หรือ “นครจักรพรรดิ” หรือ “นครต้องห้าม”

พระราชวังหลวงเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแห่งเว้ทั้งหมด 13 พระองค์ ออกแบบตามความเชื่อของจีน มีผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกำแพงสูง 3 ชั้นล้อมรอบ เมื่อผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไป จะได้พบกับปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า อันได้แก่เลข 5+4 ที่หมายถึง ตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ และโลหะ กับตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ใน 1 ปี โดยมีลานจัตุรัสกว้างใหญ่ และป้อมปราการที่เสาธงสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน
ป้อมปราการในเขตกำแพงพระราชวังชั้นนอกตั้งเด่นตระหง่าน
จากนั้นก็จะเป็นกำแพงชั้นกลางที่นักท่องเที่ยวต้องตีตั๋วเข้าสู่ชั้นต่อไปใน ผ่านจากกำแพงชั้นกลางเข้าไปก็จะเป็นกำแพงชั้นใน ที่เดิมเป็นเขตเฉพาะสำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
สถานที่ท่องเที่ยวภายในเขตพระราชวังชั้นใน
ภายในเขตกำแพงชั้นในมีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “พระราชวังไทเฮา” ที่เป็นส่วนสำคัญที่สุด,“ลานพระราชวัง”พื้นที่ลานโล่งกลางแจ้งของพระราชวัง, “พิพิธภัณฑ์”ที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ และ“ท้องพระโรงจำลอง” ที่วันนี้กลายเป็นที่เปลี่ยนจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว รวมถึงยังมีวัดต่างๆ ที่สร้างอุทิศให้กับบรรดาขุนนาง นำโดย “วัดเถเหมียว”(The Mieu) วัดสำคัญที่ภายในเป็นที่ตั้งป้ายกษัตริย์ 9 รัชกาล กับบรรยากาศของวัดยังคงสภาพดี มีความสวยงาม น่าแวะเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
สระนั้นใหญ่ บริเวณสุสานจักรพรรดิ์ตือ ดึก
ในเมืองเว้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์นั่นก็คือ “สุสานจักรพรรดิ”ต่างๆ อาทิ สุสานจักรพรรดิยาลอง(Gia Long),สุสานจักรพรรดิมินห์หม่าง(Minh Mang),สุสานจักรพรรดิตือ ดึก(Tu Duc) และสุสานจักรพรรดิไคดิ่ง(Khai Dinh) ที่ได้ชื่อว่ามีความยิ่งใหญ่สวยงามสูงสุดเหนือบรรดาสุสานจักรพรรดิทั้งปวง
สุสานจักรพรรดิไคดิ่งกับรูปปั้นทหาร ช้าง ม้า ที่เป็นดังองค์รักษ์
สุสานจักรพรรดิไคดิ่ง ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง(ตามความเชื่อของชาวเวียดหลุมฝังศพกษัตริย์ต้องอยู่สูงกว่าสามัญชน) มีบันไดทางขึ้น 127 ขั้น เมื่อผ่านซุ้มประตูอันโอ่อ่าในช่วงแรกขึ้นไปจะพบกับ รูปปั้นหินของทหาร ช้าง ม้า ที่ยืนเด่นเป็นดังองค์รักษ์เฝ้าสุสาน

จากนั้นเส้นทางจะนำไปสู่ส่วนไฮไลท์ของสุสานคือ“สุสานจักรพรรดิชั้นใน”ที่อยู่ด้านบนสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสาน มีรูปปั้นของพระเจ้าไคดิ่งเป็นศูนย์กลาง ด้านล่างใต้รูปปั้นลึกลงไป 11 เมตร ฝังพระศพของพระเจ้าไคดิ่งเอาไว้
ด้านนอกของสุสานจักรพรรดิชั้นในสุด
ภายในสุสานจักรพรรดิชั้นใน ด้านบนเพดานมีภาพเขียนสีรูปมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ ที่ศิลปินโบราณใช้เท้าวาดแทนมือ อันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าสามัญชนห้ามยืนศีรษะอยู่สูงกว่ากษัตริย์ทำให้ไม่สามารถยืนใช้มือวาดรูปได้ จึงต้องแก้เคล็ดเป็นสลับกลับหัวมาอยู่ด้านล่างแล้วใช้เท้าวาดแทน(แต่คนที่นี่สมัยก่อนไม่ถือเรื่องเท้าอยู่สูง)จนเกิดเป็นภาพประดับเพดานอันชวนทึ่ง
สุสานจักรพรรดิไคดิ่งอันงดงามวิจิตร จนถูกยกให้เป็นสิงมหัศจรรย์แห่งเมืองเว้
ขณะที่ตามผนังของสุสานจักรพรรดิชั้นในนั้น มีการตกแต่งผนังด้วยกระเบื้องเคลือบสีอิทธิพลงานศิลปกรรมจากจีน หลายจุดทำเป็นรูปมังกรตามความเชื่อแบบจีนที่เวียดนามได้รับอิทธิพลมา ซึ่งงานศิลปะกระเบื้องเคลือบที่นี่สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างวิจิตรงดงาม สุดยอดมาก ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สุสานจักรพรรดิไคดิ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์แห่งเมืองเว้” กันเลยทีเดียว
ตลาดดงบา
นอกจากนี้เมืองเว้มี “ตลาดดงบา” ที่ค้าขายสินค้าสารพัดสารพันอันมากหลายให้เลือกซื้อเลือกช้อปกันอย่างจุใจ ขาช้อปชาวไทยไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

“ดานัง”นั่งกระเช้าทะลุเมฆพิชิตเขาบานา

หลังเพลิดเพลินกับมนต์เสน่ห์มรดกโลกของเมืองเว้แล้ว เป้าหมายต่อไปผมกับคณะออกเดินทางสู่เมือง“ดานัง” ระหว่างทางเราผ่าน “อุโมงค์หายเวิน” อุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ภูเขาที่ยาวที่สุดในเอเชีย กับความยาว 6.28 กิโลเมตร ให้ได้ตื่นเต้นกันพอหอมปากหอมคอ
เมืองดานังยามค่ำคืน
จากนั้นก็เดินทางมาถึงยังเมืองดานังหรือเมือง“ด่าหนัง” เมืองใหญ่อันดับ 3 ของเวียดนามและเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งเวียดนามกลางนับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน

ดานังนอกจากจะเป็นเมืองชายทะเลแล้ว ยังเป็นเมืองแห่งแสงสี เพราะตึกรามบ้านเรือนต่างๆในดานัง ส่วนใหญ่จะตกแต่งทาสีอย่างจัดจ้านสดใส ไม่ว่าจะเป็น แดง เหลือง ฟ้า เขียว ฯลฯ ครั้นเมื่อถึงยามราตรี ใจกลางเมืองดานังนั้นก็เต็มไปด้วยแสงสีต่างๆทั้งจากอาคาร บ้านเรือน สะพาน สถานบันเทิง นับเป็นอีกหนึ่งเมืองอันคึกคักของเวียดนาม
เขาบานากับเมฆหมอกที่ลอยไต่ระเรี่ยปกคลุม
ขณะที่ในยามเช้าถึงสายนั้นที่ “ตลาดฮาน”ใจกลางเมืองดานัง จะคึกคักคลาคล่ำไปด้วยชาวเวียดนามที่เดินทางมาจับจ่ายซื้อของที่นี่กับสินค้ามากมายสารพัดสารพัน ทั้งของสด ของแห้ง เสื้อผ้า กาแฟ สินค้าที่ระลึก ใครที่ชอบถ่ายภาพวิถีชีวิต ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดไม่ควรพลาดของเมืองดานัง
นั่งกระเช้าผ่านน้ำตกใหญ่ขึ้นสู่ยอดเขาบานา
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของเมืองดานังนั้น ตอนนี้ที่มาแรงสุดๆก็คือ “เขาบานา”(Bana Hill) ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองดานังไปประมาณ 40 กม.

เขาบานา เป็นหนึ่งในเมืองพักตากอากาศอันดับต้นๆของเวียดนาม ซึ่งด้วยสภาพอากาศที่ดีเย็นสบายตลอดปีและมีวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ทำให้ฝรั่งเศสในยุคอาณานิคมที่เข้ามาปกครองเวียดนาม ได้ตัดถนนอันลดเลี้ยวขึ้นไปบนภูเขาบานา และได้สร้างเมืองขึ้นบนนี้
วิวทิวทัศน์ของป่าไม้ขุนเขาในเส้นทางนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขาบานา
มาวันนี้ยอดเขาบานาได้พัฒนา มีการสร้างกระเช้าที่ทันสมัยที่สุดในเวียดนามขึ้นสู่ยอดเขา มีการสร้างสวนสนุก ที่พัก ร้านอาหารอยู่บนนั้น กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังเลื่องลือแห่งเมืองดานัง

เขาบานา มีอุณภูมิเฉลี่ย 17 องศาตลอดปี บนเขามี 4 ฤดูใน 1 วัน คือ ตอนเช้า-ฤดูใบไม้ผลิ,ตอนสาย-ฤดูร้อน,ตอนบ่าย-ฤดูใบไม้ร่วง และตอนเย็น-ฤดูหนาว
ช่วงที่กระเช้าลอยเข้าสู่ม่านหมอกอันหนาทึบ
ยอดเขาบานามีความสูง 1,487 เมตร ที่แม้จะสูงไม่มาก แต่ว่าบรรยากาศการนั่งกระเช้าขึ้นเขาบานานี่สุดยอดทีเดียว โดยในช่วงขาขึ้นผมกับเพื่อนๆนั่งกระเช้าที่ลูกหนึ่งจุได้ 8 คน ที่ค่อยๆลอยผ่านวิวทิวทัศน์ของขุนเขา ป่าไม้ ลำธาร และน้ำตกอันสวยงามในช่วงแรก

จากนั้นกระเช้าได้ลอยเข้าสู่ม่านหมอกอันหนาทึบเหมือนกับเป็นดังดินแดนอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเราลุ้นกันว่ามันจะไปโผล่ออกตรงที่ไหน ก่อนที่ในช่วงท้ายๆกระเช้าจะลอยสูงทะลุเมฆสู่ยอดขุนเขาช่วงแรก โดยใช้เวลานั่งกระเช้าไป 11 นาที นับเป็นการเดินทางแบบมาเหนือเมฆที่เบื้องล่างน่ายลไปด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงาม
สวนดอกไม้บนยอดเขาบานา
สำหรับยอดเขาบานาในช่วงแรก มีสิ่งน่าสนให้เที่ยวชมกันหลากหลาย อาทิ

-“ถ้ำไวน์” ที่ฝรั่งเศสได้ขึ้นมาสร้างเป็นที่บ่มไวน์หมักไวน์ไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 ภายในเป็นเส้นทางเดินในถ้ำจัดแสดงเกี่ยวกับการหมักไวน์ และมีไวน์ให้ทดลองชิม(เสียเงิน)
องค์พระใหญ่
-“สวนดอกไม้” เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ท่ามกลางบรรยากาศสิ่งก่อสร้างแบบยุโรป มีประติมากรรมหงส์คู่หันหน้าเข้าหากันตั้งเด่นเป็นสง่า
วัดลึงอึ้ง
-“พระใหญ่” กับพระพุทธรูปองค์โตสีขาวเด่น มีความสูงถึง 27 เมตร ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นมาเที่ยวชม สักการะพระใหญ่องค์นี้กันเป็นจำนวนมาก
วิวยอดเขาบานาเมื่อมองลงมาจากจุดชมวิววัดลึงอึ้ง
และ “วัดลึงอึ้ง” วัดเก่าแก่บนยอดเขา กับงานศิลปกรรมแบบเวียดนามผสมจีนอันงดงาม วัดลึงอึ้ง นอกจากจะมีพระพุทธรูป เทพเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะบูชาแล้ว ยังมีซุ้มประตูบันไดมังกร ที่สร้างอยู่ริมเขา สามารถเดินไปชมบันไดมังกรและวิวทิวทัศน์อันสวยงามได้
แฟนตาซี พาร์ค บนยอดเขาบานา
นอกจากนี้ที่วัดลึงอึ้งยังมีจุดชมวิว เมื่อมองลงไปเบื้องหน้าจะเห็นเขาบานาในบรรยากาศเหนือเมฆอันงดงาม ส่วนเมื่อมองขึ้นไปเบื้องบนทางฝั่งหลังวัด จะเห็นปราสาทราชวังในแบบยุโรปเก่าแก่ตั้งเด่นอยู่บนยอดเขาเขียว มีกระเช้าลอยขึ้น-ลงไปมา ซึ่งนั่นคือ "แฟนตาซี พาร์ค"(Fantasy Park) ที่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่มาแรงของชาวเวียดนาม และเป็นจุดหมายลำดับต่อไปในการเที่ยวเขาบานาของผมในทริปนี้
ปราสาทพระราชวังยุโรปโบราณจำลองที่แฟนตาซี พาร์ค
จากยอดเขาบานาช่วงแรก เราไปขึ้นกระเช้าเดินทางกันต่อในช่วง 2 สู่แฟนตาซี พาร์ค บนยอดเขา ซึ่งใช้เวลา 6 นาที ก็จะขึ้นมาถึงยังสถานที่แห่งนี้ ที่เป็นดังอีกโลกหนึ่ง คือเป็นโลกแห่งจินตนาการ กับ งานสถาปัตยกรรม ตึกราม บ้านเรือน ปราสาทราชวัง โบสถ์ แบบยุโรปย้อนยุค ที่มีความสวยงามชวนถ่ายรูปในหลากหลายจุด
รถรางลอยฟ้า อีกกนึ่งกิจกรรมสุดฮิตแห่งสวนสนุก แฟนตาซี พาร์ค
แฟนตาซี พาร์ค เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ มีพื้นที่นับหมื่นๆไร่ ภายใน มีสวนสนุกกับเครื่องเล่นต่างๆให้เลือกเล่น มีโรงแรมหรูให้เลือกพักผ่อน ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองตากอากาศอันสวยงาม มีร้านอาหารในบรรยากาศหรูให้เลือกหม่ำ และร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกอันหลากหลาย ให้เลือกจับจ่ายใช้สอย
ในสวนสนุกแฟนตาซี พาร์ค มีเครื่องหลากหลายให้สนุกตื่นเต้น
วันนั้นผมกับเพื่อนๆเที่ยวอยู่บนนี้กันเกือบค่อนวัน ก่อนจะนั่งกระเช้าลงจากเขาบานาแบบรวดเดียว(เที่ยวเดียว) กว่า 5 กม. (5,042 ม.) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกระเช้าเที่ยวเดียวที่ยาวที่สุด ผ่านทะลุเมฆ(อีกครั้ง)กลับมาสู่เบื้องล่าง

อันถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจแห่งเมืองดานัง รอคอยให้ผู้สนใจได้ขึ้นไปสัมผัส...(อ่านต่อตอนต่อไป จากดานังสู่ฮอยอัน)
*****************************************

ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม สำรองที่นั่ง และดูโปรโมชันต่างๆเกี่ยวกับสายการบินเวียตเจ็ท ได้ที่ เว็บไซต์ www.vietjetair.com แฟนเพจ www.facebook.com/vietjetairvietnam หรือที่ศูนย์จำหน่ายตั๋ว เวียตเจ็ท เอาต์เลต หรือสายด่วน 1900 1886
*****************************************

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น