xs
xsm
sm
md
lg

อิ่มบุญ เพลินตา เจริญใจ ณ “วัดเบญจมบพิตรฯ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พระอุโบสถหินอ่อนอันงดงาม ณ วัดเบญจมบพิตรฯ
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

“วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร” หรือที่ใครหลายคนเรียกสั้นๆ ว่า “วัดเบญจมบพิตรฯ” เป็นหนึ่งในวัดที่ฉันคิดว่างดงามอย่างมีเอกลักษณ์ เนื่องจากมีพระอุโบสถหินอ่อน ที่ตั้งเด่นเป็นสง่างดงามงามอยู่ริมถนนศรีอยุธยา สามารถมองเห็นได้โดยง่าย ไม่เหมือนวัดไหนๆ อีกทั้งในปัจจุบันวัดแห่งนี้ยังได้รับการบูรณะใหม่จนงดงามอย่างเมื่อคครั้งอดีต สุดสัปดาห์นี้ฉันจึงตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวชมความงดงามภายในวัดเบญจมบพิตรฯ
พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ณ “ศาลาร้อยปี ปิยมหาราชอนุสรณ์”
แต่ก่อนจะเที่ยวชมภายในวัดเบญจมบพิตรฯ กันนั้นฉันก็จะขอเล่าประวัติคร่าวๆ ให้ได้ฟังกันก่อน “วัดเบญจมบพิตรฯ เมื่อครั้งอดีตมีชื่อว่า "วัดแหลม" หรือ "วัดไทรทอง" ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด จนเมื่อในปี พ.ศ.2369 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ได้ก่อการกบฎยกทัพมาตีไทย พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา เป็นผู้บัญชาการกองทัพในส่วนการรักษาพระนคร โดยทรงตั้งกองบัญชาการอยู่ในบริเวณแห่งนี้
“พระพุทธชินราช” ภายในพระอุโบสถ
เมื่อเสร็จสิ้นการปราบกบฏ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินี พระขนิษฐภคินี และพระกนิษฐภาดา ร่วมเจ้าจอมมารดาอีก 4 พระองค์ ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้น ครั้นถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 4 จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดเบญจบพิตร” ซึ่งมีความหมายว่าเป็นวัดของเจ้านาย 5 พระองค์ ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างพระราชวังสวนดุสิตขึ้น และโปรดเกล้าฯ ทำผาติกรรมสถปนาวัดขึ้นใหม่ และได้พระราชทานชื่อวัดใหม่ว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง “พระธาตุพนม” อันงดงามภายในพระอุโบสถ
เมื่อฉันเดินทางมาถึงวัดเบญจมบพิตรฯ สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดก็เห็นจะเป็น “พระอุโบสถหินอ่อน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดแห่งนี้มาอย่างยาวนาน พระอุโบสถแห่งนี้ เป็นพระอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข ที่ถูกประดับประดาด้วยประดับด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลีทั้งหลัง และถูกออกแบบให้ไว้อย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบไทยเมื่อฉันมองแล้วก็ช่างเป็นบุญจริงๆ ที่ประเทศไทยของเรานี้ มีโบราณสถานที่งดงามแบบนี้ ตั้งสง่าอวดนักท่อวงเที่ยวทั่วโลกให้ได้ชม
บรรยากาศ ณ กำแพงแก้ว ประดิษฐานพระพุทะรูปปางต่างๆ
สำหรับภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” ที่จำลองมาจากพระพุทธชินราชองค์จริงที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลกและภายในยังมีภาพจิตรกรรมอันงดงาม โดยเฉพาะที่บริเวณช่องคูหาทั้ง 8 จะเป็นภาพสถูปเจดีย์ที่สำคัญทุกภาค อาทิ พระมหาธาตุ จ.ลพบุรี , พระธาตุพนม จ.นครพนม, พระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช ที่ได้ถูกวาดไว้อย่างงดงามให้ได้ชม และที่บริเวณกำเเพงแก้วรอบพระอุโบสถก็ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ให้ได้เดินชมกันอีกด้วย
“พระที่นั่งทรงผนวช” อันงดงาม
นอกจากพระอุโบสถอันดงามแล้ว ฉันขอบอกว่าภายในวัดเบญจมบพิตรแห่งนี้ ก็ยังเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญอื่นๆ ให้ได้ชมกันอีกด้วยนะ ที่แรกที่ฉันแนะนำก็คือ “พระที่นั่งทรงธรรม” พระที่นั่งแห่งนี้ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี ทรงสร้างอุทิศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มีลักษณะเป็นตึกก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น และเมื่อ พ.ศ. 2445 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ใช้เป็นที่ประทับแรมเวลาทรงธรรมรักษาอุโบสถศีล
“พระที่นั่งทรงธรรม”
และที่ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นที่ตั้งของ “พระที่นั่งทรงผนวช” รัชกาลที่5 มรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อจากพุทธรัตนสถาน ที่สวนศิวาลัย ภายในพระบรมมหาราชวังมาไว้ที่นี่เพื่อเป็นกุฏิเจ้าอาวาส โดยยังรักษารูปแบบเดิมไว้ โดยภายในพระที่นั่งทรงผนวช มีพระแท่นบรรทม พระบรมรูปเมื่อทรงผนวช พระบรมรูปสลักหินอ่อน พระพุทธรูป พระเสลี่ยงน้อย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเพื่อเป็นธรรมาสน์แสดงธรรมและแสดงพระปาติโมกข์ครั้งแรกในวัดเบญจมบพิตร และภายในยังมีภาพเขียนเกี่ยวกับพระราชประวัติของรัชกาลที่ 5 ไว้ด้วย สำหรับพระที่นั่งองค์นี้จะเปิดให้เข้าชมก็เฉพาะวันสำคัญเท่านั้น

และที่บริเวณสนามหญ้าใกล้ๆ กัน ก็เป็นที่ตั้งของ “หอระฆังบวรวงศ์” อันงดงาม หอระฆังแห่งนี้ เป็นหอระฆังทรงไทยประกอบหินอ่อน สร้างขึ้นโดยพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายพระราชวังบวร (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า)
“หอระฆังบวรวงศ์”
หลังจากชมความงามของหอระฆังแล้ว เดินถัดมาไกลมากก็จะพบกับ “พระวิหารสมเด็จ” พระวิหารแห่งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์สร้างสำเร็จในปี พ.ศ.2445 ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะให้เป็น "หอธรรม" หรือ "หอสมุด" ประจำวัด และที่วิหารแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปสำคัญ คือ “พระฝาง” โดยเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างกษัตริย์อันงดงาม ที่ประดิษฐานในบุษบกมุขหน้าชั้นบน ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอก ได้ชมแล้วงดงามยิ่งนัก
“พระวิหารสมเด็จ”
และหากใครที่มาเที่ยววัดเบญจมบพิตรฯ แล้ว ก็อย่าลืมไปแวะสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 “ศาลาร้อยปี ปิยมหาราชอนุสรณ์” กันด้วยนะ และฉันอยากจะบอกไว้อีกว่า ในค่ำคืนของวันที่ 31 ธ.ค. 2558 ต่อเนื่องไปวันที่ 1 ม.ค. 2559 หรือที่เราเรียกว่าช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทางวัดเบญจมบพิตรฯ ได้มีการจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ให้ได้มาร่วมสดมนต์เสริมบารมีรับพรปีใหม่กันด้วยนะ

(คลิกติดตามเรื่อง “สวดมนต์ข้ามปี” ได้ที่ลิงค์นี้)
“พระฝาง” ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์อันงดงาม
หลังจากอิ่มเอมกับการชมความงดงามภายในวัดแล้ว ฉันก็ขอบอกไว้เลยว่า วัดเบญจมบพิตรฯ เป็นอีกหนึ่งวัดที่ควรค่าแก่การมาเที่ยวชมจริงๆ เพราะนอกจากจะมีโบราณสถาน โบราณวัตถุอันงดงามหาที่เปรียบให้ได้ชมแล้ว บรรยากาศภายในวัดก็ยังร่มรื่นอีกด้วย ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องมายลวัดเบญจมบพิตรฯ สักครั้ง
บรรยากาศร่มรื่นภายใน “วัดเบญจมบพิตรฯ”
*****

การเดินทาง มีรถประจำทางสาย 5, 16, 23, 50, 70, 72, 99, 201, 3, 505, 509

*********

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น