xs
xsm
sm
md
lg

“เชียงราย-พะเยา”เที่ยวเบาๆสไตล์ผู้หญิง...เช็คอินไร่บุญรอด งามสุดยอดวัดร่องขุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

วัดร่องขุ่นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของจังหวัดเชียงราย
“ไปไปเต๊อะไปแอ่ว ไปเต๊อะไปแอ่ว จังหวัดเจียงฮาย...”

พลันที่ก้าวเท้าเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาเข้า“ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย” เราก็ได้ยินเสียงเพลง“สาวเจียงฮาย”ของ “ว.วัชญาน์”ดังทักทาย พร้อมกับการแสดงน่ารักๆของเหล่าเยาวชนตัวน้อยที่มาแสดงต้อนรับนักท่องเที่ยว

ต้องยอมรับว่าวันนี้ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเขาทำเก๋ มีการนำเยาวชนมาแสดงศิลปวัฒนธรรมต้อนรับนักท่องเที่ยว ช่วยสร้างสีสันและความเพลิดเพลินใจให้กับอาคันตุกะผู้มายังจังหวัดเชียงรายได้เป็นอย่างดี
การแสดงต้อนรับนักท่องเที่ยวของเหล่าเยาวชนตัวน้อยที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
สำหรับเชียงรายถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดอันโดดเด่นแห่งภาคเหนือที่เมื่อยามฤดูหนาวมาเยือนคราใด จังหวัดนี้จะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาแอ่วกันเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้จังหวัดเชียงรายยังมีเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงไปสู่จังหวัดใกล้เคียงอย่าง“พะเยา”ที่น่าสนใจยิ่ง

ด้วยเหตุนี้ทาง“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ภูมิภาคภาคเหนือ และททท.สำนักงานเชียงราย” จึงได้คัดสรรเส้นทางท่องเที่ยว“เชียงราย-พะเยา”ให้เป็นหนึ่งในเส้นทาง“ผู้หญิงรุ่นใหม่หัวใจนักเดินทาง”เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยว“กลุ่มผู้หญิง”ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน กับกิจกรรมท่องเที่ยวอันหลากหลายชวนเพลิดเพลิน
สวนดอกไม้หลากสีในไร่บุญรอด
ไร่บุญรอด (สิงห์ปาร์ค)

ในทริปนี้เราเลือกเปิดประเดิมกันที่ “สิงห์ปาร์ค” หรือ“ไร่บุญรอด”(ต.แม่กรณ์ อ.เมือง) แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในบรรยากาศสุดฟิน ซึ่งวันนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินยอดฮิตแห่งใหม่สำหรับผู้มาแอ่วเชียงราย

ผู้ที่มาเที่ยวไร่บุญรอดจะได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์อันสวยงามกว้างใหญ่ภายในไร่ ไม่ว่าจะเป็น ไร่ชาอู่หลง ทะเลสาบ สวนผลไม้ แปลงพืชผักที่ปลูกอย่างเป็นระบบ รวมถึงมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทุ่งปอเทือง และทุ่งดอกไม้-สวนดอกไม้หลากสีสันที่มีการจัดตกแต่งอย่างสวยงามน่ายล
ปั่นจักรยานทัวร์ไร่บุญรอดเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างสูง
ภายในไร่บุญรอดยังมีกิจกรรมอีกหลากหลายให้เลือกทำ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรม“ซิป ไลน์”(Zip Line)ให้เราได้เหินเวหาเหนือทะเลสาบและไร่ชากันอย่างสนุกตื่นเต้น ปั่นจักรยานทัวร์ไร่ผ่านทุ่งดอกไม้ ไร่ชาในเส้นทางจักรยาน(ไบค์เลน)ที่จัดทำแยกออกมาจากถนนปกติ ซึ่งนอกจากจะสนุกเพลิดเพลินแล้วยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัวอีกด้วย
ทุ่งดอกดาวกระจาย ไฮไล์แห่งการนั่งรถรางชมไร่ ฟาร์มทัวร์
ส่วนผู้ที่อยากเที่ยวแบบสบายๆแต่ว่าได้ทั้งความเพลิดเพลินและความรู้ควบคู่กันไป ทางไร่บุญรอดมีกิจกรรม“ฟาร์มทัวร์”นั่งรถรางชมไร่ โดยรถรางแต่ละคันจะมีไกด์ประจำรถมาคอยทำหน้าที่บรรยายแนะนำสิ่งที่น่าสนใจต่างๆภายในเส้นทาง เสียค่าใช้จ่ายเพียงคนละ 50 บาท

รถรางฟาร์มทัวร์จะวิ่งเป็นวงรอบใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางจะมีจุดแวะให้ลงทำกิจกรรมและถ่ายรูป 4 จุดด้วยกัน

จุดแรกคือ“ทุ่งดอกดาวกระจาย”หรือ“ทุ่งดอกคอสมอส”ซึ่งเป็นทุ่งดอกดาวกระจายขนาดใหญ่ ที่ในช่วงกลางฤดูหนาวจะพากันออกดอกชูช่อบานสะพรั่งหลากสีสันทั้ง ชมพู ส้ม แดง เหลือง ขาว นับเป็นจุดถ่ายรูปเซลฟี่สำคัญของผู้มานั่งรถรางฟาร์มทัวร์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ให้อาหารยีราฟ หนึ่งในกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ
จุดต่อไปเป็น“จุดให้อาหารยีราฟและม้าลาย” ที่เด็กๆชอบกันมาก เพราะสามารถให้อาหารเจ้าม้าลายและเจ้ายีราฟคอยาวได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเจ้ายีราฟที่มีลักษณะท่าทางดูน่ารักทำให้มันเป็นพระเอกของที่นี่เลยทีเดียว

จุดที่ 3 เป็น “ศูนย์กีฬาและสันทนาการ” หรือ “บ้านแดง” ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องดื่ม เบเกอรี่ สินค้าที่ระลึก รวมถึงยังเป็นจุดเช่าจักรยานและทำกิจกรรมซิปไลน์อีกด้วย
ไร่ชากว้างไกลในไร่บุญรอด เมื่อมองลงมาจากจุดชมวิว
ส่วนจุดสุดท้ายเป็น “จุดชมวิวไร่ชา 360” ที่สามารถมองลงไปเห็นวิวทิวทัศน์อันของไร่ชาและทะเลสาบได้อย่างสวยงามกว้างไกล ถือเป็นจุดชมวิวไฮไลท์ของไร่บุญรอดที่มีผู้คนแวะเวียนมาชมวิวถ่ายรูปกันไม่ได้ขาด

จินนาลักษณ์กระดาษสา

จากไร่บุญรอดเราออกเดินทางต่อสู่อำเภอแม่สาย ที่มี“ตลาดการค้าชายแดนแม่สาย”เป็นจุดท่องเที่ยวช้อปปิ้งสำคัญ มีสินค้าหลากหลายทั้งจากฝั่งไทยและฝั่งพม่าให้เลือกช้อปกันกระจาย
จินนาลักษณ์กระดาษสา มีผลิตภัณฑ์กระดาษสาคุณภาพดี หลากหลายดีไซน์ให้เลือกซื้อเลือกหา
ในอำเภอแม่สายยังมีของดีแฝงกายอยู่นั่นก็คือ“จินนาลักษณ์กระดาษสา” ที่ตั้งอยู่บ้านปางห้า ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย ที่นี่เป็นแหล่งผลิตกระดาษสามานานกว่า 20 ปี โดยมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “กระดาษทำมือที่ทำจากใจ”
จินนาลักษณ์กระดาษสาเป็นผู้บุกเบิกการนำวัสดุธรรมชาติ อย่างเช่นดอกไม้ มาสร้างสรรค์เป็นลวดลายในกระดาษสา
จินนาลักษณ์กระดาษสา นอกจากจะเป็นผู้ริเริ่มการทำกระดาษสา“ลายลูกไม้”เจ้าแรกๆแล้ว ยังเป็นผู้บุกเบิกการนำวัสดุธรรมชาติ อย่างเช่น ดอกเฟื่องฟ้า อัญชัน ดอกเข็ม หลิว ดาวเรือง หญ้าแฝก มาสร้างสรรค์เป็นลวดลายกระดาษสา ที่ความสวยงามเก๋ไก๋มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์เสริมความงาม“CEILK” ที่เด่นด้านการนำเส้นใยไหมบริสุทธิ์จากธรรมชาติมาทำเป็นแผ่นมาร์คหน้า รวมถึงมีผลิตภัณฑ์เสริมความงามอีกหลากหลายให้คุณผู้หญิงได้เลือกซื้อเลือกหา
นักท่องเที่ยวผู้สนใจสามารถร่วมทำกระดาษสาในรูปแบบเฉพาะตัวของตัวเองได้
นอกจากนี้จินนาลักษณ์กระดาษสายังเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เกี่ยวกับกระดาษสา เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกวัสดุไปจนถึงกระบวนการผลิตจนออกมาเป็นกระดาษสาอันสวยงาม โดยเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ร่วมทดลองทำกระดาษสาด้วยตัวเอง

นับเป็นผลงานที่เกิดจากไอเดียและการสร้างสรรค์ของแต่ละคนที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น
ไร่เชิญตะวันร่มรื่นและมีปริศนาธรรมให้ขบคิดมากมาย
ไร่เชิญตะวัน (ศูนย์วิปัสสนาสากล ไร่เชิญตะวัน)

สำหรับสถานที่ต่อไปเราออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้นสู่“ไร่เชิญตะวัน”(ต.ห้วยสัก อ.เมือง) สถานที่ปฏิบัติธรรมศูนย์วิปัสสนาสากล ที่ก่อตั้งโดย“พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี”(ท่าน ว.วชิรเมธี)เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก ต่อมาภายหลังที่นี่ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ด้านธรรมะควบคู่กันไป พร้อมๆกับการจัดกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง ดังเช่น “โยคะภาวนา”ที่เป็นผสมผสานกิจกรรมเพื่อสุขภาพเข้ากับพระพุทธศาสนาได้อย่างลงตัว
อัจฉริยสามเณร ปริศนาธรรมที่สอนให้เรามีสติตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
ภายในไร่เชิญตะวันมีบรรยากาศร่มรื่นไปด้วยแมกไม้และการจัดตกแต่งภูมิทัศน์อย่างเป็นระเบียบสวยงาม โดยมีจุดไฮไลท์เด่นๆ อย่างเช่น “ประตูชัย”ที่สร้างด้วยแนวคิดเซน(นิกายเซน)ผสมล้านนา,“ปริศนาธรรมต่างๆ”ที่แฝงไว้ด้วยหลักธรรมให้ขบคิดตีความ อาทิ “กวีนิพนธ์มรรคา”กับกวีนิพนธ์ข้อคิดดีๆ, “หุ่นเหล็กซูเปอร์ฮีโร่"ที่หากมองผ่านๆอาจจะเป็นแค่ตัวหุ่นจากภาพยนตร์มาตั้งโชว์ให้ถ่ายรูป แต่นี่เป็นจุดที่มุ่งสอนให้“ตนเป็นที่พึ่งของตน” ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาช่วย เพราะสุดท้ายซุปเปอร์ฮีโร่ก็ช่วยไม่ได้หากเราไม่ช่วยเหลือตัวเราเองก่อน และ“อัจฉริยสามเณร”กับสามเณร 4 องค์ ในลักษณะ องค์ปิดหู องค์ปิดตา องค์ปิดปาก และองค์เปิดใจ ที่มุ่งสอนในเรื่อง“การเจริญสติ” ให้เรามีสติตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
หอศิลป์ ว.วชิรเมธี อีกหนึ่งจุดไม่ควรพลาดในไร่เชิญตะวัน
ส่วนอีกหนึ่งจุดที่ไม่น่าพลาดก็คือ “หอศิลป์ ว.วชิรเมธี” สถานที่เก็บรวบรวมงานศิลปะอันทรงคุณค่า นำโดยผลงานศิลปะของ อ.ถวัลย์ ดัชนี(ผู้ล่วงลับ) และ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมอันเลื่องชื่อสุดวิจิตรแห่งวัดร่องขุ่นซึ่งเป็นเป้าหมายในลำดับต่อไปของเรา
โบสถ์วัดร่องขุ่นอันสวยงามวิจิตร ผลงานการสร้างสรรค์ของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
วัดร่องขุ่น

วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง เป็นวัดบ้านเกิดของ “อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” ซึ่งหลังจากที่อาจารย์ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดพบว่าวัดแห่งนี้ทรุดโทรมมาก ท่านจึงตั้งปณิธานว่าถ้าตนเองมีความพร้อมก็อยากจะสร้างอุโบสถขึ้นมาใหม่

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2540 เมื่อ อ.เฉลิมชัย มีความพร้อมทั้งในด้านชีวิต ชื่อเสียง และกำลังทรัพย์ ท่านจึงได้ทำการสร้างโบสถ์วัดร่องขุ่นขึ้นมาใหม่แบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสุดท้ายได้กลายเป็นวัดร่องขุ่นโฉมใหม่ที่มีคนกล่าวขวัญไปทั่วในความสวยงามอลังการและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ด้วยความสวยงามและชื่อเสียงอันโด่งดังทำให้ในช่วงวันหยุดของฤดูกาลท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเข้าชมวันร่องขุ่นกันเป็นจำนวนมาก
วัดร่องขุ่นสร้างด้วยคติจักรวาลมีสระน้ำรอบล้อมโบสถ์เปรียบดังมหานทีสีทันดร มีสะพานทอดข้ามผ่านเปรียบดังการเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิสู่พระอุโบสถที่เปรียบดังดินแดนแห่งการหลุดพ้น โดยตัวโบสถ์นั้นดูโดดเด่นไปด้วยงานปูนปั้นสีขาวประดับตกแต่งด้วยกระจกแวววับ เปรียบดังพระบริสุทธิคุณและพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์และจักรวาล ซึ่งต่อมาภายหลังได้มีคำกล่าวว่า ผู้ที่มาเที่ยววัดร่องขุ่นเปรียบดังได้มาท่องแดนสวรรค์
เส้นทางเดินเข้าสู่โบสถ์วัดร่องขุ่นที่ทางวัดกำหนดให้เดินเป็นวันเวย์ เส้นทางเดียว
สำหรับการเที่ยวชมวัดร่องขุ่น เนื่องจากแต่ละวันมีผู้คนมาเที่ยวชมวัดกันเป็นจำนวนมาก ทางวัดจึงกำหนดเส้นทางเดินชม(ทางเดียว)ไว้ชัดเจน พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่คอยกำชับบอกอย่างเคร่งครัด โดยเส้นทางจะเดินข้ามสะพานไปชมความงามของโบสถ์ทั้งภายนอกและภายใน ก่อนจะนำออกมาสู่พื้นที่ส่วนด้านข้างของโบสถ์ให้แต่ละคนเดินเที่ยวภายในบริเวณวัดร่องขุ่นกันตามอัธยาศัย

นอกจากส่วนของโบสถ์ที่เป็นไฮไลท์แล้ว ภายในวัดร่องขุ่นยังมีงานพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นเป็นปริศนาธรรมให้ชมกันในหลายจุดด้วยกัน รวมถึงมี “หอศิลป์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” ที่จัดแสดงผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าของ อ.เฉลิมชัย นับจากอดีตถึงยุคปัจจุบัน ใครที่ชื่นชอบงานศิลปะห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ผลิตภัณฑ์เซรามิกอันหลากหลายของเฮือนปฏิมาเซรามิก ซึ่งเน้นในรูปแบบเซนและลวดลายเวียงบัวผสมล้านนา
เฮือนปฏิมาเซรามิก

จากวัดร่องขุ่น“ตะลอนเที่ยว”ออกเดินทางจากเชียงรายข้ามจังหวัดสู่ “พะเยา” ระหว่างทางก่อนถึงตัวเมืองพะเยา เราเลือกแวะที่ “เฮือนปฏิมาเซรามิก” ที่ตั้งอยู่ที่ ซอยวัดสันหมื่นแก้ว ต.แม่ปืม อ.เมือง จ.พะเยา

เฮือนปฏิมาเซรามิก เป็นแหล่งผลิตเซรามิกชั้นดีของจังหวัดพะเยา ที่นี่เน้นการสร้างสรรค์งานผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ขึ้นรูปด้วยมือเป็นส่วนใหญ่ โดยหลักๆแล้วเป็นงานเซรามิกสไตล์“เซน” เน้นความงามจากความเรียบง่าย ใช้สีสันที่ได้จากธรรมชาติ รวมถึงมีการนำลวดลาย“เวียงบัว”จากแหล่งเตาเผาโบราณเวียงบัวที่เป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินของพะเยาในสมัยโบราณ มาผสมกับลายล้านนาจนเกิดเป็นลายเอกลักษณ์เฉพาะตัวของที่นี่ขึ้น
ผลิตภัณฑ์เซรามิกที่เฮือนปฏิมาเซรามิกจะเน้นการขึ้นรูปด้วยมือเป็นส่วนใหญ่
ที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์เซรามิกที่นี่ส่วนใหญ่เป็นผลงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก รวมถึงมีความสวยงามและราคาย่อมเยา ทำให้ผู้มาเยือนหลายๆคนเห็นแล้วติดใจในฝีมือ คุณภาพ และราคา จึงมักจะซื้อติดมือกลับไปใช้งานหรือเป็นสินค้าที่ระลึกกันไม่ได้ขาด

วัดศรีโคมคำ-หอวัฒนธรรมนิทัศน์

เมื่อเดินทางมาถึงตัวเมืองพะเยา เรามุ่งหน้าไปยัง“หอวัฒนธรรมนิทัศน์” ที่เป็นส่วนหนึ่งของ “วัดศรีโคมคำ”ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองริมกว๊านพะเยา
ศิลปวัตถุล้ำค่านำโดย หลวงพ่อพุทธเศียร จัดแสดงอยู่ที่โถงชั้นล่างของหอวัฒนธรรมนิทัศน์
หอวัฒนธรรมนิทัศน์ เป็นอาคารจัดแสดงศิลปวัตถุสำคัญๆของพะเยาและล้านนาในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ สร้างขึ้นเพื่อต้องการจะนำเสนอความเป็นตัวตนของเมืองพะเยา ภายในแบ่งเป็นห้องจัดแสดงต่างๆตามยุคสมัย ชั้นล่างจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับกว๊านพะเยาและวิถีชีวิตของชาวพะเยาในอดีต ชั้นบนจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองพะเยาในยุคต่างๆ และเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น

นอกจากนี้หอวัฒนธรรมนิทัศน์ยังเป็นแหล่งรวบรวมงานศิลปวัตถุชั้นเยี่ยมมาจัดแสดงไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปโบราณล้านนา พระพุทธรูปหินทราย หลวงพ่อพุทธเศียร(เศียรพระหินทรายโบราณ)ศิลาจารึก เครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ รวมไปถึงซากฟอสซิลต่างๆ อาทิ ฟอสซิลไดโนเสาร์ ฟอสซิลช้าง 4 งา และฟอสซิลปูคู่รักมหัศจรรย์อันน่าทึ่ง
ศิลปวัตถุล้ำค่าที่จัดแสดงบนชั้นสองของหอวัฒนธรรมนิทัศน์
ด้วยความน่าสนใจต่างๆบวกกับการจัดการที่ดี เป็นระบบทำให้หอวัฒนธรรมนิทัศน์ ได้รับ“รางวัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย” หรือ“รางวัลกินรี”จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ถึง 3 สมัยด้วยกัน คือ ในปี 2554 2556 และ 2558 นับเป็นรางวัลเกียรติยศที่การันตีในคุณภาพของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ที่น่าสนใจยิ่งแห่งจังหวัดพะเยา

จากนั้นเรามุ่งหน้าไปไหว้“พระเจ้าตนหลวง” ที่อยู่ใกล้ๆหอวัฒนธรรมนิทัศน์ภายในวัดศรีโคมคำแห่งนี้
ใครมาเยือนพะเยาแล้วไม่ได้ไปกราบสักการะองค์พระเจ้าตนหลวงนั้นเหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงพะเยาโดยสมบูรณ์
พระเจ้าตนหลวงประดิษฐานอยู่ภายในวัดศรีโคมคำหรือ“วัดพระเจ้าตนหลวง” เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในล้านนา หน้าตักกว้าง 14 เมตร สูง 17 เมตร ใช้เวลาสร้างถึง 33 ปี ปัจจุบันมีอายุเก่าแก่กว่า 520 ปี

พระเจ้าตนหลวงนอกจากจะมีพุทธลักษณะอันงดงามแล้ว ยังเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองพะเยา ซึ่งว่ากันว่าใครมาเยือนพะเยาแล้วไม่ได้ไปกราบสักการะองค์พระเจ้าตนหลวงนั้นเหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงพะเยาโดยสมบูรณ์
กว๊านพะเยา(ยามเย็น)หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อมาเยือนพะเยา
กว๊านพะเยา

พะเยายังมีอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาด คือ“กว๊านพะเยา” ที่เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ โดยคำว่า“กว๊าน”นั้น หมายถึง หนองน้ำหรือบึงน้ำขนาดใหญ่ เป็นภาษาท้องถิ่นล้านนาที่ใช้เฉพาะที่พะเยาเท่านั้น

ในอดีตก่อนปี พ.ศ. 2484 บริเวณกว๊านพะเยามีสภาพเป็นที่ราบลุ่มต่ำ มีแม่น้ำอิงไหลผ่าน พร้อมๆกับมี“หนอง”และ“บวก” อยู่หลายแห่งด้วยกัน(หนอง คือบริเวณที่มีน้ำขังขนาดใหญ่,บวกคือบริเวณที่มีน้ำขังขนาดเล็ก)โดยมี“หนองเอี้ยง”(ปัจจุบันคือพื้นที่กว๊านพะเยาบริเวณหลังวัดศรีโคมคำ)เป็นหนองที่มีความสำคัญที่สุด
ประติมากรรม“พญานาคคู่” อีกหนึ่งจุดถ่ายรูปไฮไลท์ของกว๊านพะเยา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2482-2484 กรมประมง ได้สร้างทำนบและประตูกั้นน้ำ กักเก็บน้ำไว้ เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่กินพื้นที่มากกว่า 1 หมื่นไร่ ที่ผู้คนเรียกขานกันว่า “กว๊านพะเยา” ขึ้นมา

กว๊านพะเยานอกจากจะเป็นดังแหล่งน้ำสำคัญที่เปรียบดังเส้นเลือดหลักของเมืองพะเยาแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของทัศนียภาพอันงดงาม โดยเฉพาะบรรยากาศในยามเช้าและเย็นอันสวยงามทรงเสน่ห์นั้น เป็นดังแม่เหล็กดึงดูดให้ใครต่อหลายคนมาเยือนยังกว๊านพะเยากันอย่างต่อเนื่อง
เส้นทางปั่นจักรยานริมกว๊านกับถนนที่สร้างเลาะเลียบไปยังบริเวณจุดชมวิว
ปัจจุบันบริเวณริมกว๊านบริเวณริมฝั่งน้ำมีการจัดเป็นสวนสาธารณะ มีมุมเก๋ๆ ประดับประติมากรรมเท่ๆ ให้ถ่ายรูปกันเป็นที่เพลิดเพลิน มีไฮไลท์เป็นประติมากรรม“พญานาคคู่”ที่อ้างอิงมาจากตำนานพญานาคแห่งกว๊านพะเยา ซึ่งในช่วงยามเย็นที่สวนริมกว๊านจะดูคึกคักมากไปด้วยสีสัน ทั้งจากผู้ที่มาท่องเที่ยว พักผ่อน ออกกำลังกาย ชมวิว และมาเฝ้าชมพระอาทิตย์ตกดินที่ถือเป็นช่วงเวลาไฮไลท์ของที่นี่

ส่วนฝั่งตรงข้ามของรูปปั้นพญานาคก็จะเป็น“อนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง”กษัตริย์องค์ที่ 9 (พ.ศ. 1801 - 1841)แห่งเมืองภูกามยาว(เมืองพะเยาในสมัยโบราณ)ที่ปกครองดินแดนแห่งนี้จนรุ่งเรืองให้เราได้เคารพสักการะกัน นอกจากนี้กว๊านพะเยายังมีเส้นทางปั่นจักรยานริมกว๊านกับถนนที่สร้างเลาะเลียบไปยังบริเวณจุดชมวิว มีบรรยากาศดี รถน้อย ทิวทัศน์สวยงาม เหมาะต่อการปั่นจักรยานท่องเที่ยวและปั่นออกกำลังกายเป็นยิ่งนัก
วัดติโลกอาราม วัดกลางน้ำแห่งกว๊านพะเยากับบรรยากาศยามเช้าตรู่
วัดติโลกอาราม

ภายในกว๊านพะเยายังมีอีกหนึ่งสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันนั่นก็คือ “วัดติโลกอาราม” วัดกลางน้ำที่ตั้งเด่นอยู่บนเกาะกลางกว๊าน

วัดติโลกอาราม เป็นที่ประดิษฐานของ“หลวงพ่อศิลา”หรือ“พระเจ้ากว๊าน” พระพุทธรูปเก่าแก่ที่เคยจมอยู่ใต้น้ำเมื่อครั้งสร้างทำนบกักเก็บน้ำ ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2526 จะมีการขุดค้นพบท่าน ซึ่งภายหลังในปี 2550 ทางจังหวัดพะเยาได้อัญเชิญหลวงพ่อศิลาให้มาประดิษฐานเป็นองค์พระประธานของวัดติโลกการามหลังการบูรณะใหม่
หลวงพ่อศิลา แห่งกว๊านพะเยา
ทุกๆปีในวันพระใหญ่ คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา ที่กว๊านพะเยาจะมีการจัดงาน“เวียนเทียนกลางน้ำ”รอบองค์หลวงพ่อศิลาและวัดติโลกอารามขึ้น นับเป็นประเพณีเวียนเทียนกลางน้ำหนึ่งเดียวในเมืองไทยอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธา

ขณะที่ในวันปกติธรรมดา นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือแจวพื้นบ้านจากท่าเรือวัดติโลกอาราม(ค่าเรือคนละ 30 บาท นั่งเรือประมาณ 10 นาที) ข้ามจากฝั่งมาสักการะหลวงพ่อศิลาท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมของสายน้ำขุนเขาอันสวยงาม ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราไม่เคยพลาดเมื่อมีโอกาสได้มาเยือนกว๊านพะเยา
นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือแจวพื้นบ้านมาสักการะหลวงพ่อศิลากลางกว๊านพะเยาได้
นั่งรถรางแอ่วเมือง

หลังเพลิดเพลินประทับใจไปกับการเที่ยวจุดสำคัญๆในเมืองพะเยาแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราเดินทางกลับเข้าสู่เชียงรายอีกครั้ง เพื่อมานั่งรถรางเที่ยวเมืองเชียงราย กับกิจกรรม “นั่งรถรางแอ่วเมือง” ในเส้นทาง“วิถีล้านนา-บูชาพ่อขุน

สำหรับกิจกรรมนั่งรถรางแอ่วเมือง จัดโดย“เทศบาลนครเชียงราย” เปิดให้บริการฟรี! วันละ 2 รอบ เวลา 09.30 น.และ 13.30 น. มีรถรางวิ่งให้บริการจำนวน 1 คัน ใช้เวลาวิ่งรอบละประมาณ 2 ชั่วโมง พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ผู้รอบรู้และเปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยไมตรีมาคอยบรรยายให้ข้อมูล ที่มีข้อมูลสนุกๆข้อมูลเชิงลึกหลากหลายให้เราได้รับรู้ไปพร้อมๆกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน
รถรางแอ่วเมืองพามาจอดให้แวะชมวัดพระธาตุดอยจอมทอง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาลงทะเบียนเพื่อนั่งรถรางแอ่วเมืองเชียงรายได้ฟรี
อย่างไรก็ดี ผู้ที่สนใจนั่งรถรางแอ่วเมืองจะต้องมาลงทะเบียนและรับบัตรนั่งรถรางที่ “ศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวเทศบาลนครเชียงราย” ที่ด้านหลังอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนเวลารถออก 30 นาที

จากนั้นเมื่อถึงเวลารถรางได้วิ่งออกจากจุดสตาร์ทที่ศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวฯ ไปพร้อมๆกับมีเจ้าที่คอยบรรยายให้ข้อมูล ก่อนจะมาจอดในจุดที่ 2 คือ “โรงราชรถ” ที่ตั้งจัดแสดงอยู่ในบริเวณ “อาคารเทิดพระเกียรติ 90 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์” ศูนย์การเรียนรู้ เทศบาลนครเชียงราย
โรงราชรถสถานที่จัดแสดงราชรถอันงดงามวิจิตร
โรงราชรถจัดแสดงราชรถทั้งหมด 9 คัน(เดิมมี 8 คัน) ราชรถแต่ละคันต่างออกแบบ จัดสร้างอย่างงดงามวิจิตร นับเป็นอีกหนึ่งสุดยอดงานศิลป์อันทรงคุณค่าที่น่ายลเป็นยิ่งนัก

ต่อกันด้วยจุดที่ 3 “วัดพระสิงห์” ที่มี “พระสิงห์เชียงราย” หรือ “พระพุทธสิหิงค์จำลอง” ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 630 ปี ประดิษฐานอยู่ในซุ้มบุษบกอันงดงามในวิหารพระพุทธสิหิงค์ ที่ตั้งอยู่ด้านข้างของพระอุโบสถ
พระสิงห์เชียงรายประดิษฐานในซุ้มบุษบกที่วัดพระสิงห์
ภายในโบสถ์หลังนี้มีองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปเชียงแสน สิงห์หนึ่ง ขณะที่บานประตูด้านหน้าทั้ง 2 บาน ออกแบบโดย “อ.ถวัลย์ ดัชนี” ศิลปินนามอุโฆษผู้ล่วงลับ แกะสลักโดยสล่า “อำนวย บัวงาม” กับฝีมือลวดลายอันงดงามมีชีวิตชีวา เป็นรูปช้าง พญานาค ครุฑ และ สิงห์ แทนธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แบ่งเป็นบานประตูชาย-หญิง ซึ่งใครอยากรู้ประตูบานไหนเป็นชาย ประตูบานไหนเป็นหญิง ขอให้สังเกตสัญลักษณ์บางอย่างให้ดีๆแล้วจะรู้ได้ในทันที
พระหยกเชียงราย หนึ่งในพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเชียงราย
ส่วนจุดที่ 4 คือ “วัดพระแก้ว” ที่อยู่ใกล้ๆกับวัดพระสิงห์ ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมและสักการะกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้าล้านทองในพระอุโบสถ, โฮงหลวงแสงแก้วที่เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปวัตถุมากมาย,องค์พระธาตุเจดีย์ประจำวัด, ต้นพระเจ้า 5 องค์, ต้นไก่ฟ้าพญาลอ และ “พระพุทธรัตนากรนวุติวัสสานุสรณ์” หรือ “พระหยกเชียงราย” ที่เป็นอีกหนึ่งพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเชียงราย
บรรยากาศงด้านหน้า พิพิธภัณฑ์บ้านจอมพล ป.
จุดที่ 5 “พิพิธภัณฑ์บ้านจอมพล ป.” บ้านตึกหลังแรกของเชียงราย สร้างขึ้นเมื่อปี 2484 เป็นทรงสวิส 2 ชั้น เคยเป็นที่พักรับรอง“จอมพล ป. พิบูลสงคราม” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ปัจจุบันปรับเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ชั้นบนจัดแสดงประวัติของจอมพล ป. ความเป็นมาของสงครามมหาเอเชียบูรพา และประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย ด้านล่างจัดแสดงประวัติกองทหารเมืองเชียงรายและศาสตราวุธต่างๆ
เสาสะดือเมืองเชียงราย แปลกแตกต่างและมีเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย
ถัดมาในจุดที่ 6 เป็น “วัดพระธาตุดอยจอมทอง” ที่โดดเด่นไปด้วย“เสาสะดือเมืองเชียงราย” 108 หลัก(หากรวมเสากลางด้วยจะมี 109 หลัก) ที่แปลกแตกต่างและมีเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย

จุดที่ 7 “วัดมิ่งเมือง” กับความโดดเด่นของพระอุโบสถไม้ศิลปะไทยใหญ่ผสมล้านนาที่สร้างขึ้นอย่างสวยงามสมส่วน ภายในโบสถ์นอกจากองค์พระประธานแล้ว ยังมีภาพวาดของพญามังราย(เม็งราย)มหาราช และ“พระนางอุสา ปายะโค ราชเทวี” พระเทวีของพญามังราย
อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
ส่วนจุดที่ 8 เป็น “สวนตุงและโคมนครเชียงราย”(สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ) ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการชนเผ่า สวนสุขภาพ สถานที่ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามอันเลื่องชื่อ

จากนั้นรถรางวิ่งพามากลับมายังจุดสุดท้ายคือ “อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช” ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของจุดจอดรถราง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินไปสักการะท่านได้ด้วยตัวเองตามอัธยาศัย
วัดห้วยปลากั้ง วันนี้กำลังก่อสร้างโบสถ์หลังใหม่และเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่
วัดห้วยปลากั้ง

มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของทริปนี้ คือ“วัดห้วยปลากั้ง” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ริมกก อ.เมือง

ต้นกำเนิดของวัดห้วยปลากั้งไม่ปรากฏหลักฐานที่มาชัดเจน แต่มีข้อมูลระบุว่าวัดแห่งนี้เคยเป็นวัดร้างเก่าแก่ จนกระทั่ง “พระอาจารย์พบโชค ติสสะวังโส”(เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดห้วยปลากั้ง)มาพบเจอ ท่านจึงได้ฟื้นฟูบูรณะวัดห้วยปลากั้งให้กับมาเจริญรุ่งเรือง มีความสวยงามเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง โดยแต่ละวันจะมีผู้คนเดินทางมาทำบุญและเที่ยวชมความงามของวันแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
พบโชคธรรมเจดีย์ มหาเจดีย์ 9 ชั้น งานศิลปะจีนผสมล้านนา
วัดห้วยปลากั้งมีสิ่งก่อสร้างสำคัญในวัดห้วยปลากั้งก็คือ “พบโชคธรรมเจดีย์” เป็นมหาเจดีย์ 9 ชั้นอันสวยงามอลังการ และมีความแปลกตากับงานศิลปกรรมผสมระหว่างศิลปะเจดีย์แบบจีนผสมศิลปะล้านนา โดยมีส่วนยอดสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลมสีทองอร่าม ส่วนตรงบันไดทางขึ้นสร้างเป็นบันไดมังกร 2 ตัวเลื้อยทอดยาวดูสวยงามและมีพลัง

ภายในพบโชคธรรมเจดีย์ สามารถเดินขึ้นไปแต่ละชั้นสู่ยอดเจดีย์ได้ โดยในโถงของแต่ละชั้นมีการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากไม้แกะสลักไว้ให้สักการบูชา เริ่มจากชั้นแรก เป็น“เจ้าแม่กวนอิมปางประทานพร” องค์ใหญ่ สูงถึง 7 เมตร แกะสลักจากไม้จันทน์หอมจากต่างประเทศ ถือเป็นชั้นไฮไลท์ที่มีคนเดินทางมาสักการะขอพรท่านกันอย่างต่อเนื่อง
เจ้าแม่กวนอิมแกะสลักไม้องค์ใหญ่ ไฮไลท์สำคัญในพบโชคธรรมเจดีย์
ส่วนชั้น 2 เป็นเจ้าแม่กวนอิมปางประทับยืน ชั้น 3 เจ้าแม่กวนอิมปางประทับนั่ง ชั้น 4 หลวงพ่อพระพุทธโสธรจำลอง ชั้น 5 เจ้าแม่กวนอิมปางพันมือ ชั้น 6 หลวงปู่โต พรหมรังสี และหลวงปู่ทวด ชั้น 7 พระพุทธรูปปางนาคปรก ชั้น 8 พระสังกัจจายน์ ชั้น 9 พระอิศวร และป้ายบอกความสำเร็จว่า“คุณพบโชคแล้ว” สำหรับผู้ที่ตั้งใจเดินขึ้นมาจนถึง

นอกจากนี้ตามเส้นทางเดินขึ้นไปในชั้นต่างๆ โดยตั้งแต่ประมาณชั้น 5 ขึ้นไป เราจะมองเห็นวิวทิวทัศน์มุมสูงอันสวยงามของขุนเขาบ้านเรือน รวมถึงโบสถ์หลังใหม่ และองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่สีขาวเด่นที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่บริเวณด้านข้างๆของพบโชคธรรมเจดีย์ ซึ่งคาดว่าน่าจะสร้างเสร็จประมาณต้นปี 2559
เมื่อขึ้นไปบนพบโชคธรรมเจดีย์ชั้นสูงๆสามารถออกมาเห็นเจ้าแม่กวนอิมองค์โตที่กำลังก่อสร้างได้อย่างชัดเจนสวยงาม
องค์เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้มีความสูงถึง 79 เมตร กว้าง 39 เมตร นับเป็นเจ้าแม่กวนอิมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆของเมืองไทย ซึ่งหากสร้างแล้วเสร็จจะถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่ในจังหวัดเชียงรายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเชียงรายได้เป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น

บ้านชลสุวรรณ

สุดท้ายก่อนจาก “ตะลอนเที่ยว”เลือกไปผ่อนคลายร่างกายกับสปาสบายๆกันที่ “บ้านชลสุวรรณ” ที่ตั้งอยู่ที่ ถ.18 มิถุนา ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย
บ้านชลสุวรรณ สถานที่ผ่อนคลายแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย
บ้านชลสุวรรณ เป็นสถานที่ผ่อนคลายแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย ตกแต่งด้วยศิลปะสไตล์ล้านนาประยุกต์ มีบริการทั้งสปาและอาหารเครื่องดื่ม

ในส่วนของสปา มีบริการเด่นๆ ได้แก่ บริการนวดแผนไทย สปา นวดอโรม่า นวดเพื่อความงาม ขัดผิวอาบน้ำแร่แช่น้ำนม รวมถึงอีกหนึ่งจุดเด่นคือการประคบหม้อเกลือร้อนด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสูตรโบราณเฉพาะของบ้านชลสุวรรณแห่งนี้
ห้องนวด สปา ในบ้านชลสุวรรณ
ขณะที่ในส่วนของร้านอาหารนั้น มีบริการอาหารไทย อาหารฟิวชั่น อาหารเพื่อสุขภาพ ขนมไทย รวมถึงมีกาแฟ น้ำผลไม้ปั่นสดๆ และเครื่องดื่มสกัดจากธรรมชาติ เอาไว้ให้บริการสำหรับคนรักสุขภาพ

หลังนวดผ่อนคลายสบายกาย สบายใจ เราก็ได้เวลาล่ำลาทริปเชียงราย-พะเยา ทริปเบาๆสไตล์ “เลดี้หนีเที่ยวที่นอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินและความประทับใจได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังสามารถนำประสบการณ์ต่างๆที่พบเจอไปเป็นแรงบันดาลใจเติมพลังให้กับชีวิตต่อไป

***********************************************

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัดเชียงราย-พะเยา เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานเชียงราย(พื้นที่รับผิดชอบ เชียงราย,พะเยา) โทร.0-5371-7433,0-5374-4674-5

* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น