“วังเวียง” เมืองท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในแขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นที่รู้จักในฉายา “กุ้ยหลินเมืองลาว” อันเนื่องมาจากทัศนียภาพอันงดงามที่รายล้อมเมืองนั้นเป็นที่ราบที่ถูกขนาบด้วยภูเขาหินปูนน้อยใหญ่ ที่มีแม่น้ำไหลผ่านเเละถุกโอบล้อมด้วยป่าไม้ที่ยังสมบูรณ์ วังเวียงเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากที่เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกจากทางยูเนสโก ในปี 2538 โดยถูกใช้เป็นจุดแวะพักระหว่างทางในการเดินทางจากมาจากเมืองเวียงจันทน์เพื่อไปยังหลวงพระบาง
แต่เนื่องจากทัศนียภาพอันแสนงดงามของวังเวียง ประกอบกับมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมายให้ได้ไปยล วังเวียงในปัจจุบันจึงได้เปลี่ยนจากจุดแวะพักกลางทาง กลายมาเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ และในครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” จึงตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวที่วังเวียงสักครั้ง เพื่อจะพิสูจน์ความสวยงามว่าจะสมดังคำร่ำลือหรือไม่
การเดินทางไปสู่วังเวียงนั้นมีหลายเส้นทางและหลากวิธี แต่ในครั้งนี้ตะลอนเที่ยวได้เลือกใช้เส้นทางอุดรธานี-เวียงจันทน์-วังเวียง โดยใช้บริการรถทัวร์ของทาง บขส. (บริษัทขนส่ง) โดยมีจุดเริ่มต้นที่สถานีขนส่งจังหวัดอุดรธานีแห่งที่ 1 สำหรับการซื้อตั๋วเดินทางนั้นทาง บขส. จะเปิดให้ซื้อได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป ในราคา 320 บาท โดยจะไม่มีการจองล่วงหน้าและต้องนำพาสปอร์ตหรือหนังสือเดินทางมาใช้ในการซื้อด้วย ซึ่งรถทัวร์จะมีอยู่เที่ยวเดียวและจะออกจากสถานีในเวลา 09.00 น.เป็นประจำทุกวัน
หลังจากจัดการเรื่องพาหนะเสร็จเรียบร้อยแล้ว รถทัวร์ก็จะพาเรามุ่งไปหน้าไปยังจังหวัดหนองคายเพื่อข้ามไปสู่ประเทศลาวที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 โดยในจุดนี้รถทัวร์จะจอดให้เราลงไปทำเรื่องผ่านแดนที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งประเทศไทย หลังจากเสร็จสิ้นธุระแล้วก็ต้องกลับมาขึ้นรถทัวร์เพื่อไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งประเทศลาว ในจุดนี้ก็ต้องลงจากรถเช่นกันเพื่อไปทำธุระที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองและซื้อบัตร “วันเวย์ทิกเก็ต” (ONE WAY TICKET) ในราคา 5 บาท ซึ่งจะเป็นบัตรและค่าธรรมเนียมเข้าเมืองของประเทศลาว จุดนี้จะมีจุดบริการแลกเงินไว้ให้บริการไว้ด้วย โดยสกุลเงินของประเทศลาวนั้นจะเป็นสกุลเงินกีบ โดยมีอัตรา 247 กีบ : 1 บาทไทย (อัตราแลกเปลี่ยนอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)
เสร็จภารกิจต่างๆ จากด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศลาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลามุ่งหน้าเดินทางสู่วังเวียงซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางถึง 7 ชั่วโมงในระยะทาง 160 กิโลเมตร เพราะถนนหนทางนั้นคดเคี้ยวและขรุขระ ถึงแม้ช่วงเวลาในการเดินทางจะดูยาวนานแต่วิวทิวทัศน์สองข้างทางกลับสวยงาม มีทั้งทุ่งนา ภูเขาให้ได้ชมเพลินๆ เคล้ากับการงีบหลับเป็นระยะ
หากเริ่มเห็นภูเขารูปร่างแปลกตาเเล้วก็เป็นสัญญาณบอกกับเราแล้วว่าใกล้ถึงวังเวียงเข้าไปทุกที ซึ่งก็จะมาถึงวังเวียงในช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 เมื่อมาถึงตะลอนเที่ยวก็ตรวจดูกระเป๋าและมุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักที่ได้ทำการจองมาแล้ว และสำหรับใครที่ไม่ได้จองที่พักไว้ “ตะลอนเที่ยว” ก็อยากจะขอบอกว่า ไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้เพราะในวังเวียงมีที่พักให้ได้เลือกอยู่มากมายตั้งแต่ราคาหลักร้อยต้นๆ จนไปถึงหลายพันบาท
เข้าที่พักพร้อมจัดแจงที่หลับนอนเรียบร้อย ประจวบเหมาะก็จะเป็นเวลายามเย็นพอดี “ตะลอนเที่ยว” ก็เลยขอไปเดินเล่นชมบรรยากาศตัวเมืองวังเวียงกันหน่อย สำหรับการเดินเล่นภายในเมืองนั้นไม่ต้องกลัวหลง เพราะวังเวียงนั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบและผู้คนไทย-ลาวยังสนทนากันเข้าใจ จะไปแห่งหนใดก็เพียงแค่เอ่ยปากถาม ชาววังเวียงพร้อมยินดีให้คำแนะนำอย่างยินดีเสมอ ซึ่งตะลอนเที่ยวก็ได้คำแนะนำว่า ให้ลงไปเดินเล่นริม “แม่น้ำซอง” แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองวังเวียง บริเวณริมแม่น้ำซองนั้นจะมีร้านค้าที่จัดที่นั่งริมน้ำไว้ให้บริการ และในช่วงนี้ของปีระดับน้ำในแม่น้ำซองจะไม่สูงมากน้ำในแม่น้ำจะใสไหลเย็น ซึ่งตะลอนเที่ยวก็ไม่พลาดที่จะซื้อเครื่องดื่มพร้อมกับมานั่งแช่ขาลงแม่น้ำ พร้อมชมวิวทิวทัศน์โดยรอบที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ นับเป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ
พอตกเย็นก็ได้เวลาเดินหาของกินมื้อเย็นเพื่อเติมพลัง ซึ่งตะลอนเที่ยวขอบอกไว้เลยว่าไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้เลย เพราะภายในเมืองวังเวียงนั้นมีร้านอาหารมากมายให้เลือกลองลิ้มชิมรส
(คลิกติดตามเรื่องกิน “วังเวียง” ได้ที่ลิงก์นี้)
หลังเสร็จจากการกินแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ก็ไม่พลาดที่จะเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืน ในช่วงหัวค่ำนั้นบรรยากาศก็จะคึกคักหน่อยสามารถเห็นนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ไปมา ตะลอนเที่ยวสังเกตว่านักท่องเที่ยวที่มาเที่ยววังเวียงนั้นส่วนมากจะเป็นเกาหลีและฝรั่ง คนไทยอย่างเราเห็นได้ประปรายไม่มากนัก ตามเส้นทางภายในเมืองนั้นก็จะเห็นร้านขายแพกเกจท่องเที่ยวแบบวันเดียวมากมายหลากหลายร้าน ให้เราได้ไปเลือกชมเลือกซื้อตามแบบที่เราต้องการ แต่ “ตะลอนเที่ยว” ตัดสินใจแล้วว่าจะตะลุยเที่ยวด้วยตัวเอง หลังจากเดินชมเสร็จ ก็ขอกลับเข้าที่พักเติมพลังสำหรับตะลอนเที่ยววังเวียงในวันพรุ่งนี้
ย่างเข้าสู่รุ่งอรุณของวันที่สอง “ตะลอนเที่ยว” ก็ได้มาเดินชมบรรยากาศของตลาดเช้าเมืองวังเวียง โดยบรรยากาศของตลาดเช้านั้น จะเห็นเหล่าพ่อค้าแม่ขายนำเสื่อหรือผ้าใบมาปูพื้นและนำสินค้าวางขาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นผักชนิดต่างๆ สัตว์นานาชนิดที่นำไปประกอบอาหาร มองแล้วอาจดูแปลกตาแต่นี่แหละคือวิถีชีวิตยามเช้าของชาววังเวียงที่ควรที่จะได้ชม
ภายในเมืองวังเวียงยังเป็นที่ตั้งของวัดวาอารามมากมาย ให้เราได้เข้าไปชมความงามสวยงามและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และขอพร อาทิ วัดกลาง วัดเวียงแก้ว วัดชะนะ หลังจากเดินชมบรรยากาศของตลาดเช้าและไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแล้ว ก็ขอกลับไปที่พักเพื่อเตรียมข้าวของออกไปตะลอนเที่ยวรอบๆ วังเวียง
พื้นที่โดยรอบของเมืองวังเวียงนั้นเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย วิธีการเดินทางไปท่องเที่ยวนั้นก็มีอยู่อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรถสองแถว มอเตอร์ไซค์ จักรยาน ที่มีไว้ให้บริการ สำหรับเที่ยวในวันนี้ตะลอนเที่ยวเลือกใช้บริการรถสองแถว โดยตกลงว่าจะไปเที่ยวที่ “ถ้ำจัง” และ “บลูลากูน” ในราคา 200,000 กีบ โดยไม่จำกัดเวลาเที่ยว สำหรับเรื่องราคานั้นขอบอกไว้ก่อนว่า แล้วแต่การต่อรองกับคนขับรถไม่สามารถระบุราคาได้อย่างเจาะจง
หลังจากนั้นก็เดินทางมายัง “ถ้ำจัง” ก่อนอื่นก็จะต้องเสียค่าผ่านประตู 5,000 กีบ รถสองแถวจะไปจอดบริเวณสะพานแขวนสีส้มที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำซอง จากนั้นก็จะต้องเดินข้ามสะพานเพื่อไปยังถ้ำจังและจะต้องเสียค่าเข้าถ้ำอีก 15,000 กีบ คิดๆ ในใจเพิ่งจะเริ่มเที่ยวก็เสียเงินไปหลายแสนแล้ว หลังจากผ่านด่านเสียค่าบำรุงสถานที่ ก็ได้เวลาเข้าไปเยือนถ้ำจังซึ่งทุกคนจะต้องเดินขึ้นบันได 147 ขั้น เพื่อไปสู่ปากทางเข้าถ้ำ แหงนมองดูแล้วอาจจะเหนื่อย แต่เมื่อมาถึงปากทางเข้าและหันหลังกลับไปก็จะสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของวังเวียงได้อย่างกว้างไกลเป็นรางวัลชิ้นแรกหลังจากได้พิชิตบันไดขึ้นมา
รางวัลชิ้นที่สองก็คือทัศนียภาพแสนงามและความมหัศจรรย์ภายใน “ถ้ำจัง” แม้จะไม่ใช่ถ้ำใหญ่โตแต่ถ้ำจังก็เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามให้ได้ชม อีกทั้งทางเดินภายในถ้ำยังสะดวกสามารถเดินชมถ้ำได้อยากสะดวกสบาย และภายในถ้ำก็ยังมีจุดชมวิวทิวทัศน์โดยเป็นระเบียงที่ยื่นออกมาภายนอกถ้ำ ในจุดนี้สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างกล้างไกล
สำหรับความมหัศจรรย์ภายในถ้ำจังก็คือความเย็น เพราะเมื่อเข้าไปภายในถ้ำแล้วก็จะรู้สึกถึงความเย็นสบาย และความเย็นนี้เองที่กลายมาเป็นชื่อของถ้ำแห่งนี้ เพราะคำว่า “จัง” ในภาษาถิ่นนั้นหมายถึงอาการหนาวเย็นจนตัวสั่นนั่นเอง หลังเสร็จจากการเดินชมถ้ำจังแล้ว ตะลอนเที่ยวก็ไม่ลืมที่จะเดินลงมาชมลำธารที่ไหลออกมาจากถ้ำบริเวณด้านล่าง ที่ลืมชมไม่ได้นั้นก็เพราะว่าลำธารแห่งนี้มีน้ำใสราวกระจก โดยเป็นลำธารสายสั้นๆ ที่มีน้ำสีฟ้าใสไหลออกมาจากภูเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำจังแล้วไหลลงไปยังแม่น้ำซอง “ถ้ำจัง” จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ “ตะลอนเที่ยว” ขอพูดว่า คุ้มมากๆ คิดไม่ผิดที่เลือกมาเยือน
ต่อจากนั้นก็เป็นการเดินทางไปสู่ “บลูลากูน” สถานที่ท่องเที่ยวของวังเวียงที่ใครหลายคนพูดถึง บลูลากูนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางสักหน่อยเพราะว่าอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร ฟังดูแล้วอาจไม่ไกลมากแต่บททดสอบคือเส้นทางลูกรังที่เต็มไปด้วยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ ช่วงเวลาที่นั่งบนรถสองแถวเพื่อไปยังบลูลากูนนั้นรับรู้ถึงความสั่นสะเทือนไปทั่วร่างกาย แต่สิ่งที่ทำให้ลืมความเหนื่อยยากได้ก็คือทัศนียภาพระหว่างสองข้างทางที่ถูกขนาบไปด้วยภูเขาสูงใหญ่และธรรมชาติที่ยังคงงดงาม
เมื่อมาถึงบลูลากูนแล้วก็จะต้องเสียค่าเข้าอีก 15,000 กีบ หลังจากนั้นรถจอดแล้วตะลอนเที่ยวก็รีบย่างก้าวเข้าไปชมความงามของบลูลากูน ซึ่งก็สวยสมคำร่ำลือ บลูลากูนแห่งนี้เป็นลำธารที่ไหนออกมาจากภูเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำปูคำ คล้ายๆ ลำธารที่ไหลออกมาจากถ้ำจัง แต่สีน้ำจะเป็นสีฟ้าเข้มมากกว่าเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ในจุดนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเล่นน้ำและกระโดดน้ำจากต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ เป็นอีกหนึ่งจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนวังเวียง
และใกล้กันนั้นก็ยังเป็นที่ตั้งของ “ถ้ำปูคำ” ใครที่จะเข้าไปชมถ้ำแห่งนี้ก็ต้องเสียค่าเข้าอีก 20,000 กีบ และต้องเดินขึ้นไปซึ่งทางขึ้นจะชันมากไม่มีบันไดเหมือนถ้ำจัง ในครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” ไม่ได้เข้าไปชมความงามของถ้ำปูคำ เพราะกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นน้ำที่บลูลากูน
หลังจากตะลอนเที่ยวอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา มองนาฬิกาอีกทีก็เข้าช่วงบ่ายของวันไปแล้ว กิจกรรมปิดท้ายของวันนี้ที่ "ตะลอนเที่ยว" ได้เลือกไว้ก็คือกิจกรรม “ล่องห่วงยางแม่น้ำซอง” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เจ้าของที่พักได้แนะนำมาว่าห้ามพลาดเป็นอันขาด สำหรับการล่องห่วงยางนั้น ก็จะต้องไปเช่าห่วงยางที่ร้านบริการในราคา 115,000 กีบ โดยจะเป็นค่าบริการ 55,000 กีบ และค่ามัดจำห่วงยาง 60,000 กีบ หลังจากนั้นทางร้านก็จะพาเราขึ้นรถสองแถวเพื่อไปส่งที่จุดเริ่มต้น
หลังจากถึงจุดเริ่มต้นแล้วก็ได้เวลาตัวใครตัวมัน บรรยากาศที่ “ตะลอนเที่ยว” ได้เห็นก็คือ แต่ละคนก็จะแบกห่วงยางคู่ใจของตัวเองแล้วเดินไปยังแม่น้ำ พอถึงแม่น้ำก็วางห่วงยางลงแล้วนั่งลงไปใช้มือแกว่งเล็กน้อยห่วงยางก็จะถูกกกระแสน้ำพัดไปลอยอยู่กลางเเม่น้ำซอง กิจกรรมล่องห่วงยางนี้ไม่จำกัดระยะเวลา สามารถล่องได้เรื่อยๆ ในระยะทาง 4 กิโลเมตร ก็จะไปถึงตัวเมืองวังเวียงที่เป็นจุดขึ้นฝั่ง และมีข้อห้ามคือห้ามเกินเวลา 6 โมงเย็นไม่อย่างนั้นจะโดนค่าปรับในราคา 20,000 กีบ
กิจกรรมล่องห่วงยางถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สามารถสัมผัสและชมแม่น้ำซองได้อย่างใกล้ชิด โดยแม่น้ำซองนั้นเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่เกิดขึ้นที่ภูเขาทางด้านทิศเหนือและไหลผ่านวังเวียงไปลงเขื่อนน้ำงึมในทางทิศใต้ ทัศนียภาพระหว่างล่องห่วงยางนั้นจะเป็นภูเขาสูงใหญ่ขนาบซ้ายขวา ในบางช่วงก็ยังมีร้านค้าร้านอาหารให้เราได้แวะพักได้ตามใจ หลังจากล่องห่วงยางมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึงตัวเมืองในจุดที่เป็นที่นั่งริมแม่น้ำซองในวันแรกก็เป็นช่วงเวลาเย็น ในจุดนี้เป็นจุดที่จะต้องนำห่วงยางเดินขึ้นไปคืนที่ร้านบริการที่อยู่ห่างไปไม่ไกลมาก
แต่ก่อนจะไปคืนห่วงยาง “ตะลอนเที่ยว” ก็ขอแวะนั่งพักริมน้ำสักนิดและขอดื่มด่ำกับทัศนีภาพอันงดงามยามเย็นของวังเวียงอีกครั้ง ก่อนจะจากลากันในวันพรุ่งนี้ พร้อมนึกในใจว่า วังเวียงเป็นอีกหนึ่งเมืองที่สวยงามสมดังคำร่ำลือจริงๆ คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาตะลอนเที่ยวที่ “วังเวียง”
**********************************************************************************************************************
การเดินทางไปสู่วังเวียงนั้นมีหลายเส้นทางและหลากวิธี แต่วิธีที่นักท่องเที่ยวนิยมคือ ใช้บริการรถทัวร์ของทาง บขส. (บริษัทขนส่ง) ในเส้นทางอุดรธานี-เวียงจันทน์-วังเวียง ราคาตั๋วโดยสาร 320 บาท ซึ่งจะเปิดให้ซื้อได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป โดยจะไม่มีการจองล่วงหน้าและจะต้องนำพาสปอร์ตมาใช้ในการซื้อด้วย และรถจะมีเที่ยวเดียวและจะออกจากสถานีในเวลา 09.00 น.เป็นประจำทุกวัน
สกุลเงินประเทศลาวคือ “กีบ” มีอัตราเเลกเปลี่ยนที่ 247 กีบ : 1 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)
**********************************************************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com