“มาการอง” (Macaron) เป็นขนมหวานสัญชาติฝรั่งเศส ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคุกกี้ชิ้นเล็กๆ กลมๆ 2 ชิ้นประกบกัน มีไส้ตรงกลาง และมีสีสันสวยงามสดใสชวนกิน แล้วก็มีราคาขนมต่อชิ้นที่สูงพอสมควร แต่ทว่าหากใครได้เห็นขนมมาการองชนิดนี้แล้ว ก็คงอยากจะลิ้มลองดูบ้างสักครั้งว่ารสชาติของมาการองเป็นเช่นไร ซึ่งในเมืองไทยเราก็มีหลายร้านที่ทำขนมมาการองออกมาขาย ให้ได้เลือกไปชิมกัน
แต่ถ้าหากใครอยากจะลิ้มรส “มาการอง” แบบรสต้นตำรับที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศสแท้ๆ แล้วล่ะ ขอบอกว่าต้องมาลิ้มรสมาการองของร้าน “ลาดูเร่” (LADURÉE) กันให้ได้ ซึ่งร้านลาดูเร่นี้ เป็นร้านแห่งตำนานที่ขายมาการองต้นตำรับจากฝรั่งเศสอย่างแท้จริง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ในเรื่องของรสชาติมาการองพรีเมี่ยมที่เลิศรส
หากใครอยากจะกินมาการองของร้านลาดูเร่ ก็ไม่ต้องตีตั๋วเครื่องบินไปถึงประเทศฝรั่งเศสกันแล้ว เพราะว่าร้าน “ลาดูเร่” (LADURÉE) ได้มาเปิดขายที่ประเทศไทยแล้ว เรียกว่าเอาใจสาวกคนรักและชื่นชอบมาการอง ให้ได้กินกันแบบสมใจปากกันไปเลย ซึ่งร้าน “ลาดูเร่” (LADURÉE) ตั้งอยู่ที่ชั้น M ของศูนย์การค้าสยามพารากอน
แต่ก่อนที่จะไปชิมมาการองของที่ร้านนี้ มาทำความรู้จักกับประวัติของร้าน “ลาดูเร่” กันก่อนซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยร้าน “ลาดูเร่” ถือกำเนิดเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1862 เมื่อหลุยส์ แอร์เนส ลาดูเร่ (Louis Ernest Ladurée) เจ้าของโรงสีแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ผู้หลงใหลในขนมหวานได้ตัดสินใจเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ แห่งแรกบนถนน Royale (rue Royale) ในกรุงปารีส กระทั่งในปีค.ศ. 1871 บารอน ออสมันน์ (Baron Haussmann) ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของมหานครปารีสไปตลอดกาล พร้อมกับประตูแห่งโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับลาดูเร่ที่ก้าวสู่การเป็นร้านขนมอบเต็มรูปแบบ ภายใต้การออกแบบตกแต่งร้านโดย ฌูลส์ เชอเร่ต์ (Jules Cheret) ศิลปินภาพวาดและนักออกแบบโปสเตอร์ชื่อดังในยุคเปลี่ยนผ่านของศตวรรษ ที่ได้แรงบันดาลใจในการวาดภาพให้มีมิติตื้น-ลึกของเหล่าเทวดาตัวน้อย จากผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นในโบสถ์เล็กๆ ชื่อ "Sistine" และโรงอุปรากร Garnier Opera
และในช่วงเวลานั้นบรรดาคาเฟ่ต่างๆ ในปารีส เริ่มปรับตัวให้ดูหรูหราและทันสมัยมากขึ้น ซึ่งแต่ละร้านก็ล้วนดึงดูดใจผู้คนในสังคมชั้นสูงของชาวปารีเซียงอย่างมาก จากนั้นปารีสก็เปิดประตูสู่งานมหกรรมระดับโลก พร้อมกับสตรีชั้นสูงชาวปารีเซียงที่เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่โลกยุคใหม่เช่นกัน พวกเธอสร้างสรรค์สมาคมต่างๆ ขึ้นมา จนทำให้ปารีสรุ่มรวยด้วยรสนิยมที่น่าหลงใหลเป็นที่สุดหนึ่งในนั้นคือ ฌอนน์ ซูชาร์ด (Jeanne Souchard) ภรรยาของแอร์เนส ลาดูเร่ ผู้มีแนวคิดจะผสมผสานไลฟ์สไตล์อันมีเอกลักษณ์ของคาเฟ่แบบปารีเซียงเข้ากับร้านขนมอบ ด้วยการเปิดทีรูมแห่งแรกขึ้นในกรุงปารีส อันเป็นต้นกำเนิดของ Salon de Thé นิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์คาเฟ่ ที่กลายเป็นสถานที่สังสรรค์ของชาวปารีเซียงในชั่วข้ามคืน
ฌอนน์ซูชาร์ด ประสบความสำเร็จในการผสมผสานเทรนด์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก จากนั้นธุรกิจของเธอก็ก้าวผ่านจุดเปลี่ยนของศตวรรษสู่ยุคใหม่ของปารีสได้อย่างสวยงาม ด้วยองค์ความรู้ที่เธออุทิศให้กับมรดกทางงานฝีมือ ที่สืบทอดกันมาในครอบครัว กระทั่งต่อมาทีรูมบนถนน Royaleก็ขยายกิจการขึ้นในปี 1930 โดย ปิแอร์ เดฟองเทนส์ (Pierre Desfontaines) ลูกพี่ลูกน้องของหลุยส์ แอร์เนส ลาดูเร่ ได้คิดค้นการนำขนมหวานสองชิ้นมาประกบกัน แล้วสอดไส้ด้วยครีมกานาช (ganache) เลิศรส กลายเป็นศิลปะการทำขนมที่รังสรรค์ขึ้นจากรสสัมผัสนับพัน และเรียกว่า ‘มาการอง’
ทีรูมแห่งแรกนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศอันประณีต ระคนด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์แห่งครอบครัวลาดูเร่ที่สืบทอดมายาวนาน กระทั่งดึงดูดใจให้ มร.เดวิด โฮลเดอร์ (David Holder) และบิดาของเขา ฟรานซิส โฮลเดอร์ (Francis Holder) ผู้ก่อตั้ง โฮลเดอร์ กรุ๊ป (Holder Group) ตัดสินใจซื้อร้านขนมหวานชื่อดังแห่งปารีเซียงในปี 1993 และขยายกิจการจนชื่อเสียงของ ‘เมซง’ แห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ทั้งนี้ขนมมาการองของร้าน “ลาดูเร่” มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ความกรอบจากภายนอกและละลายจากภายใน พร้อมมอบรสสัมผัสละเอียดอ่อนจากอัลมอนด์ ไข่ น้ำตาล คลุกเคล้าเข้ากันด้วยเทคนิคเฉพาะของแบรนด์ เพื่อให้มั่นใจว่า มาการองทุกๆ ชิ้นของลาดูเร่ เปี่ยมด้วยความสมดุลระหว่างรสชาติและเนื้อสัมผัสและในทุกๆ ฤดูกาล ลาดูเร่ยังรังสรรค์มาการองรสชาติใหม่ขึ้น เพื่ออุทิศให้กับเดฟองเทนส์ โดยคำนึงถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และมุ่งเน้นความหลากหลายของสีสันควบคู่ไปกับรสชาติของมาการองเสมอ เพราะเชื่อว่า “สีสันของมาการอง” เป็นองค์ประกอบสำคัญของความเย้ายวนดึงดูดใจ
สำหรับมาการองของร้าน “ลาดูเร่” ที่นำมาขายในประเทศไทยนั้น เป็นมาการองที่ส่งตรงมาจากประเทศฝรั่งเศส โดยมีมาการองขายทั้งหมด 15 รสชาติ คือ 1.Lime Basil 2.Choc Venezuela 3.Coconut 4.Salted Caramel 5.Raspberry 6.Sesame Praline 7.Chocolate 8.Lemon 9.Pistachio 10.Vanilla 11.Coffee 12. Liquorice13. Rose Petal 14. Orange Blossom (ทุกชิ้นราคา 120 บาท) และมีชิ้นที่พรีเมียมที่สุดในร้านคือ 15. Chocolate Gold (ราคา 240 บาท) ซึ่ง มาการองของที่นี่สามารถเก็บได้ 3 วัน โดยเก็บไว้ในตู้เย็น ก่อนจะกินก็เอาออกมาให้คลายเย็นสัก 15-20 นาที ก็จะได้สัมผัสกับมาการองที่กรอบนอกนุ่มใน เคี้ยวแล้วได้กลิ่นหอมๆ ของไส้อบอวลอยู่ในปาก และมีรสชาติที่หวานละมุนละไมโดนใจ
และมาการองของที่ร้านนี้ยังมีแบบจัดเป็นเซตด้วย โดยมาการองจะบรรจุอยู่ในกล่องที่สวยงาม มีหลายลวดลายให้เลือก อาทิ Thailand Box, Box Python, Arabesques Verte & Parme มาการอง 8 ชิ้น (เลือกรสได้ตามใจชอบ) ราคา 1,000 บาท/กล่อง, Cystal มาการอง 16 ชิ้น (เลือกรสได้ตามใจชอบ) ราคา 1,800 บาท/กล่อง , มาการอง 20 ชิ้น ราคา 2,300 บาท/กล่อง , มาการอง 25 ชิ้น ราคา 2,700 บาท/กล่อง, Prestige Carre’ Rose มาการอง 24 ชิ้น (เลือกรสได้ตามใจชอบ) ราคา 3,100 บาท/กล่อง, Bonaparte มาการอง 18 ชิ้น (เลือกรสได้ตามใจชอบ) ราคา 2,500 บาท/กล่อง
และนอกจากมาการองรสเลิศแล้ว ในร้านก็ยังมีสินค้าอย่างอื่นให้ได้เลือกซื้อกันอีกด้วย อาทิ มีช็อกโกแลต, ชา, แยม รวมถึงยังมี ของที่ระลึกของร้านลาดูเร่ขายด้วย ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตานางฟ้ามาการอง Sonny Angel, กระเป๋า, พวงกุญแจ เทียนหอม เป็นต้น
ถ้าใครอยากจะลองลิ้มมาการองรสต้นตำรับจากฝรั่งเศสแท้ๆ ก็พามากันได้ที่ร้าน “ลาดูเร่” (LADURÉE) โดยภายในร้านมีโต๊ะให้บริการนั่งกินมาการอง จิบชา หรือกินขนมหวานอื่นๆ ได้ หรือจะมาซื้อมาการองกลับบ้าน เป็นของขวัญ ของฝาก ก็มากันได้ ซึ่งร้าน “ลาดูเร่” ตั้งอยู่ที่ชั้น M ศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น. โทร. 0-2129-4771
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com