โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
ภูเขาไฟ ยามมันปะทุดูคล้ายกับปีศาจร้ายกำลังตื่นจากการหลับใหลที่พร้อมจะออกอาละวาดได้ทุกเมื่อ
ภูเขาไฟ ยามมันระเบิดดูไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้ายที่มีอำนาจทำลายล้างสูงล้น คร่าได้แทบทุกสรรพชีวิต
แต่ภูเขาไฟยามมันสงบหลับใหล หลายๆ แห่งนับเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามอันน่าตื่นตาตื่นใจและน่าเพริศแพร้วกระไรปานนั้น
สำหรับ “ภูเขาไฟตาอัล” แห่งฟิลิปปินส์ ก็เป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หากใครได้ขึ้นไปพิชิตแล้ว อาจแทบไม่น่าเชื่อว่า...นี่คือภูเขาไฟ!?!
1…
ภูเขาไฟตาอัล (Taal Volcano) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฟิลิปปินส์ที่ทาง “กรมการท่องเที่ยวประเทศฟิลิปปินส์”(Philippines Department of Tourism) และสายการบิน“เซบู แปซิฟิก”(Cebu Pacific Airlines) ร่วมมือกันส่งเสริมประชาสัมพันธ์ผ่าน “สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว”(Thai Travel Agents Association : TTAA) เพื่อให้เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยกว้างขวางขึ้น
ภูเขาไฟตาอัล ตั้งอยู่กลางทะเลสาบตาอัล (Taal) ในเขตจังหวัดบาตังกัส(Batangas) ห่างจากกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ประมาณ 55 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับจากกรุงมะนิลาได้ แต่สำหรับในทริปนี้ผมกับคณะ TTAA เลือกไปพักค้างที่เมือง“ตาไกไต”(Tagaytay) ก่อนที่จะออกไปพิชิตภูเขาไฟตาอัลในวันรุ่งขึ้น
เส้นทางมะนิลา-ตาไกไต-ตาอัล ถือเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เพราะเมืองตาไกไตเป็นเมืองตากอากาศสำคัญของชาวฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่บนที่ราบสูง มีอากาศดีเย็นสบาย คล้ายกับเมืองตากอากาศอย่างปากช่อง วังน้ำเขียว เขาค้อ ในบ้านเรา)
ที่ตาไกไตเต็มไปด้วยบ้านพักตากอากาศ โรงแรม รีสอร์ต ที่พัก อีกทั้งยังมีสวนสนุก กาสิโน ขณะที่แผนบริหารจัดการเมืองตาไกไตนั้นก็ดูน่าสนใจทีเดียว โดย “เรสติจิน จุนเนส วิเวโร”(Restigin Jeunesse F.Vivero) หรือ อาร์.เจ. (R.J.) หนุ่มน้อยชาวฟิลิปปินส์ที่มาเติบโตเรียนหนังสือในเมืองไทย ที่มาช่วยเป็นไกด์ในทริปนี้ ให้ข้อมูลกับผมว่า
ตาไกไตเป็นเมืองท่องเที่ยว สุขภาพ ที่เน้นด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หากจะสร้างที่พักต้องมีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่สำหรับต้นไม้ 40% ไม่มีการสร้างโรงงาน ห้ามสร้างป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่เพื่อไม่ให้เกิดทัศนะอุจาดบดบังทัศนียภาพ ส่วนที่เก๋มากก็เห็นจะเป็นถ้าคู่รัก คู่บ่าวสาว จะแต่งงานที่เมืองนี้ต้องปลูกต้นไม้ 2 ต้น นักศึกษาที่จบมหาวิทยาลัยต้องปลูกต้นไม้ 1 ต้น นักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในเมืองต้องปลูกต้นไม้ 100 ต้น
นอกจากนี้ตาไกไตยังมีกฎหมาย เคอร์ฟิวเด็กและเยาวชน ห้ามออกจากเคหสถานในยามวิกาลในช่วง 5 ทุ่มถึงตี 4 นัยว่าเพื่อกันเด็กไปเที่ยวกลางคืนดึกเกินไป หรือกันเด็กไปมั่วสุมในยามราตรี
2...
จากมะนิลาเราใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่าก็มาถึงยังตาไกไต ในทริปนี้เราเลือกพักที่ โรงแรม “Taal Vista” ที่เป็นที่พักเก่าแก่อายุร่วมร้อยปี แต่มีการปรับปรุงให้ร่วมสมัยอยู่เรื่อยมา นับเป็นที่พักที่ผู้ประกอบการทัวร์ชาวไทยชอบกันไม่น้อย เพราะตั้งอยู่ในเขตชุมชน รอบข้างมีสวนสนุก กาสิโน ที่สำคัญคือ Taal Vista ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงที่มีโลเกชันดีมาก ด้านหลังโรงแรมสามารถมองลงไปเห็นภูเขาไฟตั้งตระหง่านกลางทะเลสาบตาอัล พร้อมๆ กับชุมชนริมน้ำที่อยู่ในละแวกภูเขาไป
ในตาไกไตยังมีจุดชมวิวภูเขาไฟตาอัลสวยๆ ในมุมมหาชนอยู่อีกหนึ่งแห่งอยู่ที่ร้านอาหาร “โจเซฟินส์” (Josephine’s) ซึ่งทัวร์หลายๆ แห่งมักพาลูกทัวร์มากินบุฟเฟต์มื้อเที่ยงที่นี่พร้อมกับชมวิวภูเขาไฟไปในตัว
สำหรับวิวงามๆ แบบนี้เมื่อเห็นแล้วถือเป็นการยั่วให้อยาก ซึ่งในวันรุ่งขึ้นคณะเราจึงรีบมุ่งหน้าไปพิชิตภูเขาไฟตาอัลกันตั้งแต่เช้าตรู่ พร้อมกับการเดินทางไปขึ้นเขาที่ทางบริษัททัวร์ที่นั่นจัดให้แบบเร้าใจสมบุกสมบัน คือ ทั้งนั่งรถ ต่อเรือ ขึ้นม้า ที่ถือว่าได้อรรถรสกันแบบเพลียๆ อยู่พอตัว
โดยจากโรงแรมเรานั่งรถบัสไปประมาณ 5 นาที เพื่อไปต่อรถ“จิ๊ปนีย์”(Jeepney) เพื่อนั่งขึ้นเขา-ลงเขาคดโค้ง สู่ท่าเรือริมทะเลสาบตาอัล
จิ๊ปนีย์ เป็นรถประจำชาติฟิลิปปินส์หนึ่งในสัญลักษณ์อันมีลักษณะเฉพาะของดินแดนตากาล็อก ถือเป็นหนึ่งในวิถีของชาวฟิลิปปินส์ที่เราจะได้เห็นรถแบบนี้มีวิ่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง
จิ๊ปนีย์ เกิดขึ้นจากการที่ทหารอเมริกันที่เข้ามายึดฟิลิปปินส์จนถึงหลังสงครามสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1945 ได้จากไป แต่ได้ทิ้งรถจิ๊ปที่เป็นพาหนะสำคัญไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวฟิลิปปินส์นำรถจิ๊ปเหล่านั้นมาดัดแปลงเป็นรถโดยสาร ซึ่งปัจจุบันมีการทำเป็นอุตสาหกรรม เปิดเป็นโรงงานเป็นเรื่องเป็นราว
คำว่า “จิ๊ปนีย์” มาจากคำว่า “จิ๊ป”(Jeep) ที่หมายถึงรถจิ๊ป ผสมกับคำว่า “นีย์”(Knee) ที่หมายถึงหัวเข่า ซึ่งมาจากการที่สมัยก่อนจะมีคนนั่งรถชนิดนี้กันมากจนแออัด หัวเข่าชนหัวเข่า อันเป็นที่มาของชื่อรถจิ๊ปนีย์ในทุกวันนี้
รถจิ๊ปนีย์ มีลักษณะคล้ายรถสองแถวบ้านเรา แต่มีการตกแต่งอย่างสวยงาม สีสันฉูดฉาด ตามความต้องการของเจ้าของ การนั่งรถจิ๊ปนีย์ให้ความรู้สึกคล้ายนั่งรถโพท้องทางภาคใต้ของเรา หรือรถคอกหมูที่สุโขทัย เพียงแต่ว่าเรื่องระบายลมและระบายกลิ่นน้ำมัน (เหม็นๆ) นั้นบ้านเราทำได้ดีกว่า
ผมกับเพื่อนๆ นั่งจิ๊ปนีย์กันประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงยังท่าเรือริมทะเลสาบตาอัล ซึ่งลักษณะพิเศษของภูเขาไฟตาอัลก็คือ เป็นภูเขาไฟขนาดเล็กจิ๋ว มีลักษณะเป็นแอ่งภูเขาไฟกระจายอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบตาอัล ที่สำคัญคือตาอัลเป็นภูเขาไฟที่ยังมีชีวิต มีพลัง ยังไม่ดับสนิท
มีบันทึกว่า ภูเขาไฟตาอัลเคยมีการปะทุมาก 30 กว่าครั้ง ปะทุครั้งรุนแรงที่สุดในปี พ.ศ. 2297 และ 2454 ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 1,300 คน และล่าสุดในปี 2554 ตาอัลได้ส่งสัญญาณการปะทุ มีการสั่นสะเทือน น้ำในปล่องร้อนขึ้น มีก๊าซคาร์บอนพวยพุ่งขึ้นมา พร้อมๆ กับแมกม่าที่เอ่อมาจนเกือบถึงยอดปากปล่องภูเขา จนรัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องขอให้ชาวบ้านกว่า 7,000 คน ที่อยู่ในแถบภูเขาไฟอพยพหนี แต่ว่ามีคนอพยพไปแค่ประมาณ 200 คนเท่านั้น
ตาอัลในวันมันปะทุเดือดดาลกราดเกรี้ยว แม้เคยมีประวัติคร่าคนไปนับพัน แต่ในยามหลับใหลมันคือเสน่ห์เชื้อเชิญให้ผู้คนเดินทางมาพิชิต เป็นแหล่งสร้างเงิน สร้างรายได้ให้กับชุมชน ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกรอบๆ ภูเขาไฟ รวมถึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งในการดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาพิชิตภูเขาไฟลูกนี้
นับได้ว่าตาอัลเป็นเทพและอสูรในร่างเดียวกัน เพียงแต่ว่านานๆ (มาก) จะกลายเป็นอสูรที่คร่าชีวิตผู้คนสักที ส่วนในยามปกตินั้นตาอัลคือเทพที่มีความสวยงาม ความน่าทึ่ง และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่รอคอยให้ผู้รักความท้าทายได้เดินทางไปพิสูจน์
3…
หลังนั่งเรือมาถึงเกาะภูเขาไฟ กิจกรรมต่อไปก็คือการ “นั่งม้า” ขึ้นไปพิชิตปากปล่องภูเขาไฟ โดยมีจ็อกกี้หนึ่งคนทำหน้าที่คอยเดินจูงม้าหรือขึ้นนั่งบังคับม้าในเส้นทางยากๆ รวมถึงคอยเป็นไกด์ไปในตัว ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย ซึ่งที่นี่มีม้าที่เลี้ยงในหมู่บ้านตีนภูเขาไฟอยู่ร่วม 500 ตัว
ส่วนใครที่ไม่อยากนั่งม้าจะเลือก “เดินเท้า” ก็ได้ เพียงแต่ที่นี่มีกฎว่า ถ้าจะขึ้นไปพิชิตปากปล่องภูเขาไฟ ต้องมีไกด์นำทางไปด้วย ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่เขาว่ามาว่า เพื่อนำทาง ไม่ให้หลง และเพื่อให้ความรู้ แต่จากที่ผมได้เห็นก็คือเพื่อกระจายรายได้ให้ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนแถวนี้เป็นหลัก
สำหรับการเดินเท้าขึ้นยอดปากปล่องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ส่วนถ้านั่งม้าไปก็ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ตามขนาดและความแข็งแรงของม้า
อนึ่งในการเลือกนั่งท่องเที่ยวขึ้นนั่งม้านั้น ที่นี่เขาไม่ได้เลือกม้าตามคิวเหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างบ้านเรา แต่เขาเลือกม้าตามน้ำหนัก คือม้าตัวใหญ่ ม้าหนุ่มแข็งแรง รับคนตัวใหญ่ ม้าตัวเล็ก ม้าตัวเมียรับคนตัวเล็กถึงปานกลาง
งานนี้ผมตัวใหญ่จึงได้ม้าหนุ่มคึกคะนอง ชื่อ“บรันโด้” ส่วนจ๊อกกี้นั้นชื่อ “รามิน” ระหว่างทางขึ้นภูเขาที่เส้นทางเต็มไปด้วยฝุ่น ผมก็ถือโอกาสคุยกับรามินไปพรางๆ
รามิน บอกว่าเขาเป็นชาวบ้านที่นี่มีลูกสาว 2 คน จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องอื่นๆ เท่าที่ภาษาของเราจะสื่อสารกันได้ โดยเรื่องที่เป็นประเด็นหลักกลับไม่ใช่เรื่องของภูเขาไฟ แต่กับเป็นเรื่องของ “แมนนี่ ปาเกียว” ซะนี่
อย่างไรก็ดี รามินได้บอกกับผมว่า ภูเขาไฟตาอัลแบ่งเป็น 3 ลูกหลักๆ สำหรับปากปล่องภูเขาไฟที่จะขึ้นไปพิชิตนั้น คนที่นี่เรียกภูเขาแม่ ส่วนเจ้าภูเขาไฟลูกงามที่ผมชินตาจากการมองจากจุดชมวิวมาตั้งแต่เมื่อวานและเมื่อเช้านั้นคือ “ภูเขาลูก” ที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูเขาไฟตาอัล ส่วนภูเขาพ่อนั้นอยู่ไกลออกไปอีก
ในเส้นทางขึ้นเขาที่มีขบวนม้าค่อยๆ เดินไปตามทางนั้น เจ้าม้าบรันโด้ที่กำลังห้าวก็พยายามจะควบแซงม้าตัวอื่นๆ จนผมอดนึกไม่ได้ว่า เออ...มันไปกินยาม้ามาหรือเปล่า
4...
ระหว่างทางนั่งม้า มีจุดพักให้ชื่นชมวิวพร้อมถ่ายรูปคู่กับภูเขาไฟลูก บางช่วงรามินก็ชี้ให้ดูกลุ่มควันจากภูเขาไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน แต่ที่ดูคละคลุ้งไปทั่วนั่นกับเป็นฝุ่นที่เกิดจากฝีเท้าม้าจำนวนมากที่โขยกควบพานักท่องเที่ยวขึ้นสู่ปากปล่อง
และด้วยความคึกห้าวสุดๆ ของเจ้าบรันโด้ มันจึงค่อยๆ ควบแซงม้าตัวอื่นที่เดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ทำให้ผมใช้เวลาแค่เพียง 20 นาทีกว่าๆ ก็มาถึงยังจุดลงม้าใกล้ๆ กับปากปล่อง
จากจุดนี้เดินขึ้นไปอีกนิดเดียวก็จะถึงปากปล่องภูเขาแม่ ซึ่งเดิมใจผมคาดเดาว่ามันคงจะมีควันพวยพุ่งเหมือนกับที่เคยเห็นภาพภูเขาไฟหลายๆ ลูก แต่ว่าภาพที่เห็นในเบื้องหน้านั้น แทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือภูเขาไฟ เพราะเมื่อมองลงไปมันคือทะเลสาบขนาดย่อมหรือแอ่งน้ำขนาดใหญ่ น้ำในทะเลสาบมีสีเขียวสวยงาม ปานประหนึ่ง “ทะเลสาบมรกต” ที่สะกดให้เรารู้สึกอึ้ง ทึ่งไปกับความน่าตื่นตาตื่นใจของธรรมชาติ
ทะเลสาบแห่งนี้อันที่จริงมันก็คือหลุมของปากปล่องภูเขาไฟ ที่มีน้ำจากธรรมชาติไปท่วมขังอยู่ดูคล้ายทะเลสาบหรือแอ่งขนาดใหญ่ หรือใครจะมองว่าเป็นอ่างเก็บน้ำก็ว่าได้ ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลายาวนานนับพันนับหมื่นปีกว่าที่ธรรมชาติจะจัดสมดุลของมัน จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฟิลิปปินส์ในทุกวันนี้
บนปากปล่องภูเขาแม่มีการทำแท่นไม้ไว้ให้แอกท่าถ่ายรูป ส่วนที่น่ารำคาญคือพวกที่มาเซ้าซี้เสนอขายบริการตีกอล์ฟบนนี้ ซึ่งเมื่อตีแล้วลูกกอล์ฟก็จะไปตกในทะเลสาบ ทำเอาหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันเป็นการทำลายธรรมชาติหรือเปล่า ดูแล้วมันสวนทางกับนโยบายสิ่งแวดล้อมของเมืองอยู่พอตัว
แต่งานนี้เท่าที่สอบถามจากรามิน เขาบอกว่าเมื่อนักท่องเที่ยวตีกอล์ฟลงไปแล้วชาวบ้านก็จะลงไปเก็บลูกกอล์ฟในทะเลสาบขึ้นมาขายนักท่องเที่ยวรุ่นต่อๆ ไปอีก ซึ่งงานนี้มันขึ้นอยู่กับดีมานด์-ซัปพลาย เมื่อมีคนตีก็มีคนจัดเตรียมไม้กับลูกกอล์ฟไว้บริการขายกันถึงที่
อย่างไรก็ดี แม้บนนี้จะดูเหมือนทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ มากกว่าภูเขาไฟ แต่ที่นี่ก็ยังไว้ลายความเป็นภูเขาไฟมีชีวิต เพราะมีบางจุดที่ยังมีควันจากความร้อนใต้ดินพวยพุ่งขึ้นมา ให้คนช่างสังเกตเห็นว่ามันคือภูเขาไฟ ไม่ใช่ปางอุ๋งนะจะบอกให้
5…
หลังใช้เวลาหลบวงสวิงของโปรกอล์ฟบางคนไปพร้อมๆกับการหามุมถ่ายรูปบนนี้เป็นที่หนำใจแล้ว ก็ได้เวลาลาจากปากปล่องภูเขาไฟ โดยในขากลับผมนั่งเจ้าบรันโด้บ้าพลังให้มันค่อยๆ วิ่งห้อแซงตัวอื่นๆ ไปโดยมีรามินเป็นจ๊อกกี้คอยกุมบังเหียนอีกที ส่วนผมที่นั่งอยู่เฉยๆ งานนี้ก็เคยถือโอกาสร้องเพลงประกอบฉากด้วยการงัดเอาเพลงของคาราบาวมาร้อง ทั้ง “เจ้าตาก” ทั้ง “บางระจัน” เรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงจุดสิ้นสุดการนั่งม้า
จากนั้นผมล่ำลารามินแล้วมานั่งเรือต่อเพื่อกลับเข้าฝั่งอีกที ระหว่างทางเห็นภูเขาไปตาอัลตัวลูกค่อยๆ ถอยห่างจากเราไป ซึ่งความจริงแล้วภูเขาไฟนั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่กับที่ เราต่างหากที่ค่อยๆ ถอยห่างจากมันมา ก่อนจะล่ำลาตาอัลจากมาพร้อมๆ กับความทรงจำอันน่าทึ่งของภูเขาไฟลูกนี้ ที่ในยามหลับใหลมันช่างดูทรงเสน่ห์ น่าเที่ยว น่าเพลิดเพลินกระไรปานนั้น
...แต่จะมีสะดุดอารมณ์อยู่บ้างก็ตรงการ “ตีกอล์ฟ” กับ “ควันเหม็นๆ” ของเจ้ารถจิ๊ปนีย์ที่ต้องทนดมมันไปทั้งขาไปและขากลับนี่แหละ...
*****************************************
เวลาที่ฟิลิปปินส์เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง ฟิลิปปินส์ใช้เงินสกุลเปโซ อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 24 มิ.ย. 54 เงินไทย 100 บาท คิดเป็น 134.82 เปโซ หรือคิดง่ายๆ ในการจับจ่ายซื้อของ เงิน 100 เปโซ ตกประมาณ 80 บาทไทย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
ภูเขาไฟ ยามมันปะทุดูคล้ายกับปีศาจร้ายกำลังตื่นจากการหลับใหลที่พร้อมจะออกอาละวาดได้ทุกเมื่อ
ภูเขาไฟ ยามมันระเบิดดูไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้ายที่มีอำนาจทำลายล้างสูงล้น คร่าได้แทบทุกสรรพชีวิต
แต่ภูเขาไฟยามมันสงบหลับใหล หลายๆ แห่งนับเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามอันน่าตื่นตาตื่นใจและน่าเพริศแพร้วกระไรปานนั้น
สำหรับ “ภูเขาไฟตาอัล” แห่งฟิลิปปินส์ ก็เป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หากใครได้ขึ้นไปพิชิตแล้ว อาจแทบไม่น่าเชื่อว่า...นี่คือภูเขาไฟ!?!
1…
ภูเขาไฟตาอัล (Taal Volcano) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฟิลิปปินส์ที่ทาง “กรมการท่องเที่ยวประเทศฟิลิปปินส์”(Philippines Department of Tourism) และสายการบิน“เซบู แปซิฟิก”(Cebu Pacific Airlines) ร่วมมือกันส่งเสริมประชาสัมพันธ์ผ่าน “สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว”(Thai Travel Agents Association : TTAA) เพื่อให้เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยกว้างขวางขึ้น
ภูเขาไฟตาอัล ตั้งอยู่กลางทะเลสาบตาอัล (Taal) ในเขตจังหวัดบาตังกัส(Batangas) ห่างจากกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ประมาณ 55 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับจากกรุงมะนิลาได้ แต่สำหรับในทริปนี้ผมกับคณะ TTAA เลือกไปพักค้างที่เมือง“ตาไกไต”(Tagaytay) ก่อนที่จะออกไปพิชิตภูเขาไฟตาอัลในวันรุ่งขึ้น
เส้นทางมะนิลา-ตาไกไต-ตาอัล ถือเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เพราะเมืองตาไกไตเป็นเมืองตากอากาศสำคัญของชาวฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่บนที่ราบสูง มีอากาศดีเย็นสบาย คล้ายกับเมืองตากอากาศอย่างปากช่อง วังน้ำเขียว เขาค้อ ในบ้านเรา)
ที่ตาไกไตเต็มไปด้วยบ้านพักตากอากาศ โรงแรม รีสอร์ต ที่พัก อีกทั้งยังมีสวนสนุก กาสิโน ขณะที่แผนบริหารจัดการเมืองตาไกไตนั้นก็ดูน่าสนใจทีเดียว โดย “เรสติจิน จุนเนส วิเวโร”(Restigin Jeunesse F.Vivero) หรือ อาร์.เจ. (R.J.) หนุ่มน้อยชาวฟิลิปปินส์ที่มาเติบโตเรียนหนังสือในเมืองไทย ที่มาช่วยเป็นไกด์ในทริปนี้ ให้ข้อมูลกับผมว่า
ตาไกไตเป็นเมืองท่องเที่ยว สุขภาพ ที่เน้นด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หากจะสร้างที่พักต้องมีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่สำหรับต้นไม้ 40% ไม่มีการสร้างโรงงาน ห้ามสร้างป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่เพื่อไม่ให้เกิดทัศนะอุจาดบดบังทัศนียภาพ ส่วนที่เก๋มากก็เห็นจะเป็นถ้าคู่รัก คู่บ่าวสาว จะแต่งงานที่เมืองนี้ต้องปลูกต้นไม้ 2 ต้น นักศึกษาที่จบมหาวิทยาลัยต้องปลูกต้นไม้ 1 ต้น นักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในเมืองต้องปลูกต้นไม้ 100 ต้น
นอกจากนี้ตาไกไตยังมีกฎหมาย เคอร์ฟิวเด็กและเยาวชน ห้ามออกจากเคหสถานในยามวิกาลในช่วง 5 ทุ่มถึงตี 4 นัยว่าเพื่อกันเด็กไปเที่ยวกลางคืนดึกเกินไป หรือกันเด็กไปมั่วสุมในยามราตรี
2...
จากมะนิลาเราใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่าก็มาถึงยังตาไกไต ในทริปนี้เราเลือกพักที่ โรงแรม “Taal Vista” ที่เป็นที่พักเก่าแก่อายุร่วมร้อยปี แต่มีการปรับปรุงให้ร่วมสมัยอยู่เรื่อยมา นับเป็นที่พักที่ผู้ประกอบการทัวร์ชาวไทยชอบกันไม่น้อย เพราะตั้งอยู่ในเขตชุมชน รอบข้างมีสวนสนุก กาสิโน ที่สำคัญคือ Taal Vista ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงที่มีโลเกชันดีมาก ด้านหลังโรงแรมสามารถมองลงไปเห็นภูเขาไฟตั้งตระหง่านกลางทะเลสาบตาอัล พร้อมๆ กับชุมชนริมน้ำที่อยู่ในละแวกภูเขาไป
ในตาไกไตยังมีจุดชมวิวภูเขาไฟตาอัลสวยๆ ในมุมมหาชนอยู่อีกหนึ่งแห่งอยู่ที่ร้านอาหาร “โจเซฟินส์” (Josephine’s) ซึ่งทัวร์หลายๆ แห่งมักพาลูกทัวร์มากินบุฟเฟต์มื้อเที่ยงที่นี่พร้อมกับชมวิวภูเขาไฟไปในตัว
สำหรับวิวงามๆ แบบนี้เมื่อเห็นแล้วถือเป็นการยั่วให้อยาก ซึ่งในวันรุ่งขึ้นคณะเราจึงรีบมุ่งหน้าไปพิชิตภูเขาไฟตาอัลกันตั้งแต่เช้าตรู่ พร้อมกับการเดินทางไปขึ้นเขาที่ทางบริษัททัวร์ที่นั่นจัดให้แบบเร้าใจสมบุกสมบัน คือ ทั้งนั่งรถ ต่อเรือ ขึ้นม้า ที่ถือว่าได้อรรถรสกันแบบเพลียๆ อยู่พอตัว
โดยจากโรงแรมเรานั่งรถบัสไปประมาณ 5 นาที เพื่อไปต่อรถ“จิ๊ปนีย์”(Jeepney) เพื่อนั่งขึ้นเขา-ลงเขาคดโค้ง สู่ท่าเรือริมทะเลสาบตาอัล
จิ๊ปนีย์ เป็นรถประจำชาติฟิลิปปินส์หนึ่งในสัญลักษณ์อันมีลักษณะเฉพาะของดินแดนตากาล็อก ถือเป็นหนึ่งในวิถีของชาวฟิลิปปินส์ที่เราจะได้เห็นรถแบบนี้มีวิ่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง
จิ๊ปนีย์ เกิดขึ้นจากการที่ทหารอเมริกันที่เข้ามายึดฟิลิปปินส์จนถึงหลังสงครามสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1945 ได้จากไป แต่ได้ทิ้งรถจิ๊ปที่เป็นพาหนะสำคัญไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวฟิลิปปินส์นำรถจิ๊ปเหล่านั้นมาดัดแปลงเป็นรถโดยสาร ซึ่งปัจจุบันมีการทำเป็นอุตสาหกรรม เปิดเป็นโรงงานเป็นเรื่องเป็นราว
คำว่า “จิ๊ปนีย์” มาจากคำว่า “จิ๊ป”(Jeep) ที่หมายถึงรถจิ๊ป ผสมกับคำว่า “นีย์”(Knee) ที่หมายถึงหัวเข่า ซึ่งมาจากการที่สมัยก่อนจะมีคนนั่งรถชนิดนี้กันมากจนแออัด หัวเข่าชนหัวเข่า อันเป็นที่มาของชื่อรถจิ๊ปนีย์ในทุกวันนี้
รถจิ๊ปนีย์ มีลักษณะคล้ายรถสองแถวบ้านเรา แต่มีการตกแต่งอย่างสวยงาม สีสันฉูดฉาด ตามความต้องการของเจ้าของ การนั่งรถจิ๊ปนีย์ให้ความรู้สึกคล้ายนั่งรถโพท้องทางภาคใต้ของเรา หรือรถคอกหมูที่สุโขทัย เพียงแต่ว่าเรื่องระบายลมและระบายกลิ่นน้ำมัน (เหม็นๆ) นั้นบ้านเราทำได้ดีกว่า
ผมกับเพื่อนๆ นั่งจิ๊ปนีย์กันประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงยังท่าเรือริมทะเลสาบตาอัล ซึ่งลักษณะพิเศษของภูเขาไฟตาอัลก็คือ เป็นภูเขาไฟขนาดเล็กจิ๋ว มีลักษณะเป็นแอ่งภูเขาไฟกระจายอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบตาอัล ที่สำคัญคือตาอัลเป็นภูเขาไฟที่ยังมีชีวิต มีพลัง ยังไม่ดับสนิท
มีบันทึกว่า ภูเขาไฟตาอัลเคยมีการปะทุมาก 30 กว่าครั้ง ปะทุครั้งรุนแรงที่สุดในปี พ.ศ. 2297 และ 2454 ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 1,300 คน และล่าสุดในปี 2554 ตาอัลได้ส่งสัญญาณการปะทุ มีการสั่นสะเทือน น้ำในปล่องร้อนขึ้น มีก๊าซคาร์บอนพวยพุ่งขึ้นมา พร้อมๆ กับแมกม่าที่เอ่อมาจนเกือบถึงยอดปากปล่องภูเขา จนรัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องขอให้ชาวบ้านกว่า 7,000 คน ที่อยู่ในแถบภูเขาไฟอพยพหนี แต่ว่ามีคนอพยพไปแค่ประมาณ 200 คนเท่านั้น
ตาอัลในวันมันปะทุเดือดดาลกราดเกรี้ยว แม้เคยมีประวัติคร่าคนไปนับพัน แต่ในยามหลับใหลมันคือเสน่ห์เชื้อเชิญให้ผู้คนเดินทางมาพิชิต เป็นแหล่งสร้างเงิน สร้างรายได้ให้กับชุมชน ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกรอบๆ ภูเขาไฟ รวมถึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งในการดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาพิชิตภูเขาไฟลูกนี้
นับได้ว่าตาอัลเป็นเทพและอสูรในร่างเดียวกัน เพียงแต่ว่านานๆ (มาก) จะกลายเป็นอสูรที่คร่าชีวิตผู้คนสักที ส่วนในยามปกตินั้นตาอัลคือเทพที่มีความสวยงาม ความน่าทึ่ง และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่รอคอยให้ผู้รักความท้าทายได้เดินทางไปพิสูจน์
3…
หลังนั่งเรือมาถึงเกาะภูเขาไฟ กิจกรรมต่อไปก็คือการ “นั่งม้า” ขึ้นไปพิชิตปากปล่องภูเขาไฟ โดยมีจ็อกกี้หนึ่งคนทำหน้าที่คอยเดินจูงม้าหรือขึ้นนั่งบังคับม้าในเส้นทางยากๆ รวมถึงคอยเป็นไกด์ไปในตัว ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย ซึ่งที่นี่มีม้าที่เลี้ยงในหมู่บ้านตีนภูเขาไฟอยู่ร่วม 500 ตัว
ส่วนใครที่ไม่อยากนั่งม้าจะเลือก “เดินเท้า” ก็ได้ เพียงแต่ที่นี่มีกฎว่า ถ้าจะขึ้นไปพิชิตปากปล่องภูเขาไฟ ต้องมีไกด์นำทางไปด้วย ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่เขาว่ามาว่า เพื่อนำทาง ไม่ให้หลง และเพื่อให้ความรู้ แต่จากที่ผมได้เห็นก็คือเพื่อกระจายรายได้ให้ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนแถวนี้เป็นหลัก
สำหรับการเดินเท้าขึ้นยอดปากปล่องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ส่วนถ้านั่งม้าไปก็ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ตามขนาดและความแข็งแรงของม้า
อนึ่งในการเลือกนั่งท่องเที่ยวขึ้นนั่งม้านั้น ที่นี่เขาไม่ได้เลือกม้าตามคิวเหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างบ้านเรา แต่เขาเลือกม้าตามน้ำหนัก คือม้าตัวใหญ่ ม้าหนุ่มแข็งแรง รับคนตัวใหญ่ ม้าตัวเล็ก ม้าตัวเมียรับคนตัวเล็กถึงปานกลาง
งานนี้ผมตัวใหญ่จึงได้ม้าหนุ่มคึกคะนอง ชื่อ“บรันโด้” ส่วนจ๊อกกี้นั้นชื่อ “รามิน” ระหว่างทางขึ้นภูเขาที่เส้นทางเต็มไปด้วยฝุ่น ผมก็ถือโอกาสคุยกับรามินไปพรางๆ
รามิน บอกว่าเขาเป็นชาวบ้านที่นี่มีลูกสาว 2 คน จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องอื่นๆ เท่าที่ภาษาของเราจะสื่อสารกันได้ โดยเรื่องที่เป็นประเด็นหลักกลับไม่ใช่เรื่องของภูเขาไฟ แต่กับเป็นเรื่องของ “แมนนี่ ปาเกียว” ซะนี่
อย่างไรก็ดี รามินได้บอกกับผมว่า ภูเขาไฟตาอัลแบ่งเป็น 3 ลูกหลักๆ สำหรับปากปล่องภูเขาไฟที่จะขึ้นไปพิชิตนั้น คนที่นี่เรียกภูเขาแม่ ส่วนเจ้าภูเขาไฟลูกงามที่ผมชินตาจากการมองจากจุดชมวิวมาตั้งแต่เมื่อวานและเมื่อเช้านั้นคือ “ภูเขาลูก” ที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูเขาไฟตาอัล ส่วนภูเขาพ่อนั้นอยู่ไกลออกไปอีก
ในเส้นทางขึ้นเขาที่มีขบวนม้าค่อยๆ เดินไปตามทางนั้น เจ้าม้าบรันโด้ที่กำลังห้าวก็พยายามจะควบแซงม้าตัวอื่นๆ จนผมอดนึกไม่ได้ว่า เออ...มันไปกินยาม้ามาหรือเปล่า
4...
ระหว่างทางนั่งม้า มีจุดพักให้ชื่นชมวิวพร้อมถ่ายรูปคู่กับภูเขาไฟลูก บางช่วงรามินก็ชี้ให้ดูกลุ่มควันจากภูเขาไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน แต่ที่ดูคละคลุ้งไปทั่วนั่นกับเป็นฝุ่นที่เกิดจากฝีเท้าม้าจำนวนมากที่โขยกควบพานักท่องเที่ยวขึ้นสู่ปากปล่อง
และด้วยความคึกห้าวสุดๆ ของเจ้าบรันโด้ มันจึงค่อยๆ ควบแซงม้าตัวอื่นที่เดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ทำให้ผมใช้เวลาแค่เพียง 20 นาทีกว่าๆ ก็มาถึงยังจุดลงม้าใกล้ๆ กับปากปล่อง
จากจุดนี้เดินขึ้นไปอีกนิดเดียวก็จะถึงปากปล่องภูเขาแม่ ซึ่งเดิมใจผมคาดเดาว่ามันคงจะมีควันพวยพุ่งเหมือนกับที่เคยเห็นภาพภูเขาไฟหลายๆ ลูก แต่ว่าภาพที่เห็นในเบื้องหน้านั้น แทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือภูเขาไฟ เพราะเมื่อมองลงไปมันคือทะเลสาบขนาดย่อมหรือแอ่งน้ำขนาดใหญ่ น้ำในทะเลสาบมีสีเขียวสวยงาม ปานประหนึ่ง “ทะเลสาบมรกต” ที่สะกดให้เรารู้สึกอึ้ง ทึ่งไปกับความน่าตื่นตาตื่นใจของธรรมชาติ
ทะเลสาบแห่งนี้อันที่จริงมันก็คือหลุมของปากปล่องภูเขาไฟ ที่มีน้ำจากธรรมชาติไปท่วมขังอยู่ดูคล้ายทะเลสาบหรือแอ่งขนาดใหญ่ หรือใครจะมองว่าเป็นอ่างเก็บน้ำก็ว่าได้ ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลายาวนานนับพันนับหมื่นปีกว่าที่ธรรมชาติจะจัดสมดุลของมัน จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฟิลิปปินส์ในทุกวันนี้
บนปากปล่องภูเขาแม่มีการทำแท่นไม้ไว้ให้แอกท่าถ่ายรูป ส่วนที่น่ารำคาญคือพวกที่มาเซ้าซี้เสนอขายบริการตีกอล์ฟบนนี้ ซึ่งเมื่อตีแล้วลูกกอล์ฟก็จะไปตกในทะเลสาบ ทำเอาหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันเป็นการทำลายธรรมชาติหรือเปล่า ดูแล้วมันสวนทางกับนโยบายสิ่งแวดล้อมของเมืองอยู่พอตัว
แต่งานนี้เท่าที่สอบถามจากรามิน เขาบอกว่าเมื่อนักท่องเที่ยวตีกอล์ฟลงไปแล้วชาวบ้านก็จะลงไปเก็บลูกกอล์ฟในทะเลสาบขึ้นมาขายนักท่องเที่ยวรุ่นต่อๆ ไปอีก ซึ่งงานนี้มันขึ้นอยู่กับดีมานด์-ซัปพลาย เมื่อมีคนตีก็มีคนจัดเตรียมไม้กับลูกกอล์ฟไว้บริการขายกันถึงที่
อย่างไรก็ดี แม้บนนี้จะดูเหมือนทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ มากกว่าภูเขาไฟ แต่ที่นี่ก็ยังไว้ลายความเป็นภูเขาไฟมีชีวิต เพราะมีบางจุดที่ยังมีควันจากความร้อนใต้ดินพวยพุ่งขึ้นมา ให้คนช่างสังเกตเห็นว่ามันคือภูเขาไฟ ไม่ใช่ปางอุ๋งนะจะบอกให้
5…
หลังใช้เวลาหลบวงสวิงของโปรกอล์ฟบางคนไปพร้อมๆกับการหามุมถ่ายรูปบนนี้เป็นที่หนำใจแล้ว ก็ได้เวลาลาจากปากปล่องภูเขาไฟ โดยในขากลับผมนั่งเจ้าบรันโด้บ้าพลังให้มันค่อยๆ วิ่งห้อแซงตัวอื่นๆ ไปโดยมีรามินเป็นจ๊อกกี้คอยกุมบังเหียนอีกที ส่วนผมที่นั่งอยู่เฉยๆ งานนี้ก็เคยถือโอกาสร้องเพลงประกอบฉากด้วยการงัดเอาเพลงของคาราบาวมาร้อง ทั้ง “เจ้าตาก” ทั้ง “บางระจัน” เรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงจุดสิ้นสุดการนั่งม้า
จากนั้นผมล่ำลารามินแล้วมานั่งเรือต่อเพื่อกลับเข้าฝั่งอีกที ระหว่างทางเห็นภูเขาไปตาอัลตัวลูกค่อยๆ ถอยห่างจากเราไป ซึ่งความจริงแล้วภูเขาไฟนั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่กับที่ เราต่างหากที่ค่อยๆ ถอยห่างจากมันมา ก่อนจะล่ำลาตาอัลจากมาพร้อมๆ กับความทรงจำอันน่าทึ่งของภูเขาไฟลูกนี้ ที่ในยามหลับใหลมันช่างดูทรงเสน่ห์ น่าเที่ยว น่าเพลิดเพลินกระไรปานนั้น
...แต่จะมีสะดุดอารมณ์อยู่บ้างก็ตรงการ “ตีกอล์ฟ” กับ “ควันเหม็นๆ” ของเจ้ารถจิ๊ปนีย์ที่ต้องทนดมมันไปทั้งขาไปและขากลับนี่แหละ...
*****************************************
เวลาที่ฟิลิปปินส์เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง ฟิลิปปินส์ใช้เงินสกุลเปโซ อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 24 มิ.ย. 54 เงินไทย 100 บาท คิดเป็น 134.82 เปโซ หรือคิดง่ายๆ ในการจับจ่ายซื้อของ เงิน 100 เปโซ ตกประมาณ 80 บาทไทย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com