โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เพิ่งออกพรรษามาใหม่ๆ และยังอยู่ในช่วง 1 เดือนหลังวันออกพรรษาที่พุทธศาสนิกชนจะชักชวนไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ ซึ่งถือเป็นการทำบุญใหญ่อีกครั้งของปี
และตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการร่วมกันถวายความอาลัย แด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปเมื่อค่ำของวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา
ฉันในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนชาวไทยคนหนึ่ง ก็เลยถือโอกาสนี้เข้าวัดทำบุญ เพื่อน้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน โดยการเดินทางออกนอกเมือง มายัง จ.สมุทรสาคร และ จ.สมุทรสงคราม แวะมาไหว้พระ 3 วัด แห่ง 2 เมืองสมุทรกัน
ซึ่งครั้งนี้ฉันใช้เส้นทางถนนสายพระราม 2 หรือธนบุรี-ปากท่อ มุ่งตรงมายัง “วัดเกตุมดีศรีวราราม” ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนน ใครที่ผ่านไปผ่านมาก็ต้องสังเกตเห็นพระอุโบสดที่ใหญ่โตงดงาม และมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาทำบุญกันอย่างไม่ขาดสาย
วัดนี้เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของสมุทรสาคร ที่ผู้คนมักจะแวะมาทำบุญกัน โดยถือเป็นหนึ่งในเส้นทางไว้พระ 9 วัด สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม ซึ่งพุทธศาสนิกชนก็มักจะเริ่มจากการจุดธูปจุดเทียนไหว้พระที่ด้านหน้าพระอุโบสถก่อน จากนั้นจึงจะเดินขึ้นไปชมความงดงามภายในพระอุโบสถ ซึ่งภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐานพระพุทธชินราช เป็นพระประธาน มีการตกแต่งฝาผนังและเพดานด้วยสีแดงและสีทอง เมื่อมีแสงสว่างส่องมากระทบก็ทำให้ดูเรืองรองงามจับตา
จากนั้นเดินเดินต่อเข้าไปด้านหลังวัด จะเห็นเป็นที่นั่งวิปัสสนา และมีศาลาอเนกประสงค์สำหรับผู้ที่มานั่งวิปัสสนา แต่อีกจุดที่น่าสนใจก็คือ พระบรมธาตุเกตุมวดีย์ ที่ถือเป็นจุดศูนย์กลางของวัดแห่งนี้ ซึ่งก็สามารถเดินเข้าไปภายในพระบรมธาตุ ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ด้วย
ออกจากวัดเกตุมดี ฉันก็นั่งรถต่อไปยังสมุทรสงคราม เนื่องจากออกจากกรุงเทพฯ ช่วงสายมากแล้ว มาถึงสมุทรสงครามก็ใกล้เที่ยงพอดี เลยขอแวะเติมพลังที่ “ตลาดแม่กลอง” เสียหน่อย ที่นี่เขามีของอร่อยเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ข้าวขาหมู ลูกชิ้นปิ้ง หรือจะเป็นขนม-ของหวานอย่าง ทองม้วน ลอดช่องสิงคโปร์ เป็นต้น
แต่นอกจากความอร่อยแล้ว ที่ตลาดแห่งนี้ก็มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ตลาดร่มหุบ” เนื่องด้วยตัวตลาดนั้นตั้งอยู่บนรางรถไฟ พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ก็จะหุบร่มเก็บของในช่วงเวลาที่มีรถไฟวิ่งผ่าน กลายเป็นที่สนใจของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่จะต้องมาดูความแปลกและน่าตื่นเต้นของที่นี่
กินอิ่มท้อง ฉันก็ไปทำบุญต่อที่ “วัดบ้านแหลม” หรือ “วัดเพชรสมุทรวรวิหาร” ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับตลาดแม่กลองนี่เอง
ที่วัดบ้านแหลมแห่งนี้ ถือว่าเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองแม่กลองก็ว่าได้ เพราะภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐาน “หลวงพ่อบ้านแหลม” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของสมุทรสงคราม ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็ต้องแวะมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันเสียก่อน จนมีประโยคที่ว่า หากใครมาถึงสมุทรสงครามแล้วไม่ได้แวะมาไหว้หลวงพ่อบ้านแหลม ก็เหมือนกับมาไม่ถึงที่
ตามตำนานที่เล่ากันต่อๆ มา บอกว่า ชาวประมงบ้านแหลมออกไปลากอวนในอ่าวแม่กลอง ได้พระพุทธรูปติดมา 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่ง อีกองค์เป็นพระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปนั่งได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี ส่วนพระพุทธรูปยืนนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม เรียกกันว่า หลวงพ่อบ้านแหลม ซึ่งตอนที่ชาวประมงพบในอ่าวแม่กลอง บาตรนั้นสูญหายไปในทะเล สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่ได้เคยเสด็จมานมัสการ ได้ถวายบาตรแก้วสีน้ำเงินแก่หลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพุทธบูชา และยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
อิ่มท้อง อิ่มบุญไปแล้ว ฉันก็มุ่งหน้าไปหาอาหารตากนที่ “วัดบางกุ้ง” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแปลกตาของโบสถ์เก่าแก่ที่มีต้นต้นโพธิ์ต้นไทรมาปกคลุมจนรอบ นอกจากนั้น บริเวณวัดในอดีตเคยเป็นค่ายของทหารเรือไทย ชื่อว่า ค่ายบางกุ้ง โดยพระเจ้าเอกทัศ (สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์) โปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายที่ค่ายบางกุ้ง โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเคารพบูชาของทหาร
ภายหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ค่ายบางกุ้งก็ร้างไป จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีนจาก ระยอง ชลบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรีรวบ รวมผู้คนมาตั้งกองทหารรักษาค่าย จึงมีชื่อเรียกอีกหนึ่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" ในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรีมาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหามนตรี (บุญมา) เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเหลือทหารจีนขับไล่กองทัพพม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย หลังจากนั้นค่ายบางกุ้งแห่งนี้ก็ถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 200 ปี จนมาถึง พ.ศ.2510 กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น (ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว) และได้สร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในวัดนี้ก็เห็นจะเป็น โบสถ์ปรกโพธิ์ ซึ่งเป็นอุโบสถหลังเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยที่ยังเป็นที่รกร้างนั้น หากมองเข้ามาก็จะเห็นเป็นเพียงกลุ่มต้นไม้ใหญ่ที่เกาะกันไว้หนาแน่นมากกว่า เนื่องจากรากของต้นโพธิ์ ต้นไทร และต้นไม้ใหญ่ต่างๆ ปกคลุมโบสถ์จนทั่ว แต่ก็เพราะรากไม้เหล่านี้ที่ช่วยให้โบสถ์ยังคงรูปร่างอยู่ได้เหมือนเดิม
ภายในโบสถ์ประดิษฐาน หลวงพ่อนิลมณี หรือหลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยอยุธยาตอนปลาย ชาวพุทธทั่วทุกสารทิศนิยมแวะเวียนมากราบสักการะท่านเนื่องจากเชื่อถือในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์
ได้มาไหว้พระถึง 3 วัด ใน 2 จังหวัด ฉันก็ถือว่าวันนี้เป็นวันดีๆ อีกวันหนึ่ง และเป็นวันที่มีสิริมงคลกับตัวเอง ใครที่สนใจก็สามารถมาตามเส้นทางของฉันได้เลย และทั้งสองจังหวัดนี้ก็ยังมีวัดอีกหลายแห่งที่สามารถแวะไปไหว้พระทำบุญกันได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เพิ่งออกพรรษามาใหม่ๆ และยังอยู่ในช่วง 1 เดือนหลังวันออกพรรษาที่พุทธศาสนิกชนจะชักชวนไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ ซึ่งถือเป็นการทำบุญใหญ่อีกครั้งของปี
และตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการร่วมกันถวายความอาลัย แด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปเมื่อค่ำของวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา
ฉันในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนชาวไทยคนหนึ่ง ก็เลยถือโอกาสนี้เข้าวัดทำบุญ เพื่อน้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน โดยการเดินทางออกนอกเมือง มายัง จ.สมุทรสาคร และ จ.สมุทรสงคราม แวะมาไหว้พระ 3 วัด แห่ง 2 เมืองสมุทรกัน
ซึ่งครั้งนี้ฉันใช้เส้นทางถนนสายพระราม 2 หรือธนบุรี-ปากท่อ มุ่งตรงมายัง “วัดเกตุมดีศรีวราราม” ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนน ใครที่ผ่านไปผ่านมาก็ต้องสังเกตเห็นพระอุโบสดที่ใหญ่โตงดงาม และมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาทำบุญกันอย่างไม่ขาดสาย
วัดนี้เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของสมุทรสาคร ที่ผู้คนมักจะแวะมาทำบุญกัน โดยถือเป็นหนึ่งในเส้นทางไว้พระ 9 วัด สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม ซึ่งพุทธศาสนิกชนก็มักจะเริ่มจากการจุดธูปจุดเทียนไหว้พระที่ด้านหน้าพระอุโบสถก่อน จากนั้นจึงจะเดินขึ้นไปชมความงดงามภายในพระอุโบสถ ซึ่งภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐานพระพุทธชินราช เป็นพระประธาน มีการตกแต่งฝาผนังและเพดานด้วยสีแดงและสีทอง เมื่อมีแสงสว่างส่องมากระทบก็ทำให้ดูเรืองรองงามจับตา
จากนั้นเดินเดินต่อเข้าไปด้านหลังวัด จะเห็นเป็นที่นั่งวิปัสสนา และมีศาลาอเนกประสงค์สำหรับผู้ที่มานั่งวิปัสสนา แต่อีกจุดที่น่าสนใจก็คือ พระบรมธาตุเกตุมวดีย์ ที่ถือเป็นจุดศูนย์กลางของวัดแห่งนี้ ซึ่งก็สามารถเดินเข้าไปภายในพระบรมธาตุ ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ด้วย
ออกจากวัดเกตุมดี ฉันก็นั่งรถต่อไปยังสมุทรสงคราม เนื่องจากออกจากกรุงเทพฯ ช่วงสายมากแล้ว มาถึงสมุทรสงครามก็ใกล้เที่ยงพอดี เลยขอแวะเติมพลังที่ “ตลาดแม่กลอง” เสียหน่อย ที่นี่เขามีของอร่อยเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ข้าวขาหมู ลูกชิ้นปิ้ง หรือจะเป็นขนม-ของหวานอย่าง ทองม้วน ลอดช่องสิงคโปร์ เป็นต้น
แต่นอกจากความอร่อยแล้ว ที่ตลาดแห่งนี้ก็มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ตลาดร่มหุบ” เนื่องด้วยตัวตลาดนั้นตั้งอยู่บนรางรถไฟ พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ก็จะหุบร่มเก็บของในช่วงเวลาที่มีรถไฟวิ่งผ่าน กลายเป็นที่สนใจของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่จะต้องมาดูความแปลกและน่าตื่นเต้นของที่นี่
กินอิ่มท้อง ฉันก็ไปทำบุญต่อที่ “วัดบ้านแหลม” หรือ “วัดเพชรสมุทรวรวิหาร” ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับตลาดแม่กลองนี่เอง
ที่วัดบ้านแหลมแห่งนี้ ถือว่าเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองแม่กลองก็ว่าได้ เพราะภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐาน “หลวงพ่อบ้านแหลม” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของสมุทรสงคราม ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็ต้องแวะมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันเสียก่อน จนมีประโยคที่ว่า หากใครมาถึงสมุทรสงครามแล้วไม่ได้แวะมาไหว้หลวงพ่อบ้านแหลม ก็เหมือนกับมาไม่ถึงที่
ตามตำนานที่เล่ากันต่อๆ มา บอกว่า ชาวประมงบ้านแหลมออกไปลากอวนในอ่าวแม่กลอง ได้พระพุทธรูปติดมา 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่ง อีกองค์เป็นพระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปนั่งได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี ส่วนพระพุทธรูปยืนนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม เรียกกันว่า หลวงพ่อบ้านแหลม ซึ่งตอนที่ชาวประมงพบในอ่าวแม่กลอง บาตรนั้นสูญหายไปในทะเล สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่ได้เคยเสด็จมานมัสการ ได้ถวายบาตรแก้วสีน้ำเงินแก่หลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพุทธบูชา และยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
อิ่มท้อง อิ่มบุญไปแล้ว ฉันก็มุ่งหน้าไปหาอาหารตากนที่ “วัดบางกุ้ง” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแปลกตาของโบสถ์เก่าแก่ที่มีต้นต้นโพธิ์ต้นไทรมาปกคลุมจนรอบ นอกจากนั้น บริเวณวัดในอดีตเคยเป็นค่ายของทหารเรือไทย ชื่อว่า ค่ายบางกุ้ง โดยพระเจ้าเอกทัศ (สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์) โปรดให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายที่ค่ายบางกุ้ง โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเคารพบูชาของทหาร
ภายหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ค่ายบางกุ้งก็ร้างไป จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีนจาก ระยอง ชลบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรีรวบ รวมผู้คนมาตั้งกองทหารรักษาค่าย จึงมีชื่อเรียกอีกหนึ่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" ในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรีมาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหามนตรี (บุญมา) เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเหลือทหารจีนขับไล่กองทัพพม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย หลังจากนั้นค่ายบางกุ้งแห่งนี้ก็ถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 200 ปี จนมาถึง พ.ศ.2510 กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น (ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว) และได้สร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในวัดนี้ก็เห็นจะเป็น โบสถ์ปรกโพธิ์ ซึ่งเป็นอุโบสถหลังเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยที่ยังเป็นที่รกร้างนั้น หากมองเข้ามาก็จะเห็นเป็นเพียงกลุ่มต้นไม้ใหญ่ที่เกาะกันไว้หนาแน่นมากกว่า เนื่องจากรากของต้นโพธิ์ ต้นไทร และต้นไม้ใหญ่ต่างๆ ปกคลุมโบสถ์จนทั่ว แต่ก็เพราะรากไม้เหล่านี้ที่ช่วยให้โบสถ์ยังคงรูปร่างอยู่ได้เหมือนเดิม
ภายในโบสถ์ประดิษฐาน หลวงพ่อนิลมณี หรือหลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยอยุธยาตอนปลาย ชาวพุทธทั่วทุกสารทิศนิยมแวะเวียนมากราบสักการะท่านเนื่องจากเชื่อถือในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์
ได้มาไหว้พระถึง 3 วัด ใน 2 จังหวัด ฉันก็ถือว่าวันนี้เป็นวันดีๆ อีกวันหนึ่ง และเป็นวันที่มีสิริมงคลกับตัวเอง ใครที่สนใจก็สามารถมาตามเส้นทางของฉันได้เลย และทั้งสองจังหวัดนี้ก็ยังมีวัดอีกหลายแห่งที่สามารถแวะไปไหว้พระทำบุญกันได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
