ประเทศญี่ปุ่นเพิ่งประกาศข่าวดียกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไทยได้เฮไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2556 ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกประกาศอนุมัติการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทยที่มีจุดประสงค์เพื่อจะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นในระยะสั้น ซึ่งจะสามารถพำนักในประเทศญี่ปุ่นได้ 15 วัน
การประกาศข่าวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความดีใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและไม่ต้องเสียเวลาในการขอวีซ่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน แต่อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงแสดงความคิดเห็นในทำนองว่า การยกเว้นวีซ่านี้เป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ตั้งใจจะไป “ขุดทอง” หรือลักลอบแอบแฝงเข้ามาทำงานและค้าประเวณี ซึ่งเป็นผลเสียที่มาพร้อมกันอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
ขณะนี้ผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้วที่ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศให้กับคนไทย และปัญหาเรื่องการหลบหนีเข้าประเทศเพื่อทำงานในประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มเกิดขึ้นจริงๆ โดยนายธนาธิป อุปัติศฤงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดเผยว่า มีคนใช้ช่องทางการยกเว้นวีซ่าในทางที่ผิดเข้าประเทศญี่ปุ่น เพื่อทำงานแทนการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีกระบวนการหลอกลวงจากประเทศไทยเองว่าจะพาเข้ามาทำงาน ซึ่งจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและอาจทำให้ญี่ปุ่นทบทวนมาตรการยกเว้นวีซ่าก็เป็นได้
นอกจากนั้น ในเว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวเองก็ยังมีการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการยกเว้นวีซ่ากับปัญหาการลักลอบทำงานในญี่ปุ่นของคนไทย เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยกล่าวถึงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นว่ามีผู้ที่พยายามลักลอบทำงานในประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ไม่สามารถหางานทำได้จนต้องมาขอความช่วยเหลือที่สถานทูตไทย
นายเจสดา นันชัยพร กงสุลประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงปัญหาดังกล่าวว่า
“ก่อนนี้ที่ยังต้องขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นก็มีปัญหาเรื่องคนไทยที่หลบหนีเข้าเมืองหรืออยู่เกินกำหนดอยู่แล้ว แต่หากดูจากสถิติของญี่ปุ่นเองในช่วง 10 ปี มานี้ถือว่ามีจำนวนที่ลดลงตามลำดับ โดยอาจมีสาเหตุจากที่เศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่นเองไม่ค่อยดีนักและหยุดนิ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นญี่ปุ่นไม่ได้เป็นเป้าหมายสำคัญของคนไทยที่จะหลบหนีเข้ามาทำงานเหมือนประเทศอื่นๆ อีกทั้งญี่ปุ่นเองมีกฎหมายด้านตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด หากจับได้จะมีการเนรเทศจริง ทำให้จำนวนคนไทยที่อยู่เกินกำหนดลดน้อยลง โดยจากข้อมูลของ ตม.ญี่ปุ่นก่อนที่จะมีการยกเว้นวีซ่าพบว่า คนไทยที่อยู่เกินกำหนดมีอยู่ประมาณ 3,000 คน จำนวนที่ลดลงนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นพิจารณาการยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทย” นายเจสดา กล่าว
เมื่อถามถึงจำนวนผู้ที่อยู่เกินกำหนดหลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นประกาศยกเว้นวีซ่าว่ามีเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายเจสดา กล่าวว่า ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด เพราะทาง ตม.ญี่ปุ่นเองไม่ได้เปิดเผย แต่คาดว่าน่าจะมีจำนวนผู้ที่อยู่เกินกำหนดเป็นจำนวนหลักร้อย
“ตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นมา มีคนไทยที่ตั้งใจหลบหนีเข้ามาทำงานในประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่สามารถหางานได้ และได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานทูตไทยในญี่ปุ่นประมาณ 4-5 ราย บ้างก็เดินทางมาที่สถานทูตให้ช่วยหางานทำ แต่เราทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นการทำผิดกฎหมาย สิ่งเดียวที่ทำได้คือส่งตัวกลับ”
“สิ่งหนึ่งที่เห็นสำหรับคนที่จงใจหลบหนีคือคิดว่าถ้าเกิดหางานทำไม่ได้ก็กลับ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะต้องไปมอบตัวกับทาง ตม. ญี่ปุ่นก่อน จากนั้นก็ต้องผ่านกระบวนการสอบสวนสืบสวน ทางญี่ปุ่นเองจะต้องให้มารายงานตัวทุกวัน จะยังไม่ปล่อยตัวกลับประเทศ เช่นกรณีเมื่อเร็วๆ นี้มีคนไทยมาขอความช่วยเหลือที่สถานทูต อ้างว่าหางานทำไม่ได้ เขาก็คิดว่าจะกลับประเทศได้เลยแต่เราต้องให้ไปมอบตัวก่อน ปรากฏว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบ 3 อาทิตย์แล้วยังไม่ได้กลับประเทศ” เจสดา กล่าว
ในด้านของการป้องกันปัญหาการอยู่เกินกำหนดหรือตั้งใจหลบหนีเพื่อเข้ามาทำงานในประเทศญี่ปุ่นนั้น เจสดากล่าวว่า ทางสถานทูตไทยได้มีโครงการเพื่อเตรียมรับปัญหาดังกล่าว โดยได้มีการพูดคุยกับทาง ตม.ญี่ปุ่นเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เค้าเห็นว่าเราก็มีความเคลื่อนไหวในการป้องปราม ในส่วนของสถานทูตเองมีการประชาสัมพันธ์ในเว็บไซต์ ประชาสัมพันธ์ผ่านอาสาสมัครคนไทยในญี่ปุ่นให้ทราบว่าการรับคนเข้ามาทำงานโดยที่ไม่มีวีซ่าทำงานนั้นมีความผิด ขณะนี้กฎหมายญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มงวดและรุนแรง แต่เดิมจะเอาผิดเฉพาะคนอยู่เกินกำหนดแต่ไม่ปรับนายจ้าง แต่ขณะนี้นายจ้างจะถูกปรับ 3 ล้านเยน และปรับผู้หลบหนีอีก 1 ล้านเยน และห้ามเข้าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็จะมีระเบียบว่ากี่ปีถึงกี่ปี
ปัญหาที่หลายคนหวั่นเกรงก็คือ หากมีผู้หลบหนีเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายมากขึ้น ทางประเทศญี่ปุ่นอาจยกเลิกการยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทย ในข้อนี้นายเจสดากล่าวว่า ทางฝ่ายญี่ปุ่นเมื่อตั้งใจดำเนินนโยบายนี้ก็ต้องคาดผลเสียไว้บ้างอยู่แล้ว แต่หากถามว่าจะมีการยกเลิกการยกเว้นวีซ่าหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ แต่จากที่ได้คุยกับทางฝ่ายญี่ปุ่นเขาก็ยืนยันว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องที่ดีระหว่างสองประเทศ เป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น และเขาก็หวังว่าคนไทยก็จะโอกาสนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โดยไม่มีสิ่งอื่นแอบแฝง
“ต้องเรียนให้ทราบว่าญี่ปุ่นไม่เปิดรับแรงงานไร้ฝีมือ คนที่เข้ามาทำงานต้องเป็นแรงงานที่มีฝีมือ การเข้ามาทำงานในประเทศญี่ปุ่นมีช่องทางให้ทำงานถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว โดยผ่านโครงการจัดหางานตามจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ในเมืองไทย และที่ญี่ปุ่นจะมีระบบผู้ฝึกงาน ถ้าอยากจะทำงานก็ต้องผ่านระบบนี้เข้ามา เพราะจะได้รับการคุ้มครองทางกฏหมาย อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่น ผู้ฝึกงานก็จะได้รับประโยชน์ทุกอย่าง ทั้งเบี้ยเลี้ยง การประกันสุขภาพ ฯลฯ แต่มีเงื่อนไขว่าคุณจะต้องไปฝึกอบรมกับเขาก่อน ฉะนั้นถ้าเกิดมีคนบอกว่าวีซ่านี่ไปทำงานได้ ก็ต้องอยากจะเตือนคนไทยว่ามันไม่มีหรอกครับ ถ้ามีอย่างเดียวคือผ่านระบบผู้ฝึกงาน หรือติดต่อบริษัทญี่ปุ่นโดยตรงที่เค้ารับคนไทย” นายเจสดา กล่าวปิดท้าย