xs
xsm
sm
md
lg

ม่วนซื่น “นครพนม-ลาว-เวียดนาม”...ข้ามโขงไปลงสวรรค์/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 ข้ามโขงเชื่อมนครพนม-คำม่วน
1111111111

เลขหนึ่งสิบตัวนี้ อันที่จริงคือเลข 11 บอกวัน ว. เวลา น. คือ เวลา 11 นาฬิกา 11 นาที วันที่ 11 เดือน 11(พฤศจิกายน) ค.ศ. 2011(พ.ศ.2554)

11/11/11/11/11 เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่ “สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3” ได้ทำการเปิดอย่างเป็นทางการ

สำหรับสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 สร้างข้ามแม่น้ำโขงเชื่อม 2 แผ่นดินไทย-ลาว ในฝั่งไทย ตั้งอยู่ที่บ้านห้อม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม ส่วนฝั่งลาวตั้งอยู่ที่ บ้านเวินใต้ เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน

สะพานแห่งนี้ถือเป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งใหม่ของภาคอีสาน นอกจากนี้ยังทำให้การท่องเที่ยวในจังหวัดนครพนมคึกคักขึ้นมาอักโข เพราะนักท่องเที่ยวสามารถข้ามไปเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้านได้สะดวกสบายมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม จึงชูนครพนมเป็นฮับเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกับจัดกิจกรรมท่องเที่ยว 3 ประเทศ ไทย(นครพนม)-ลาว-เวียดนามขึ้น ภายใต้โครงการ “วันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ”
หลัก กม. แบ่งเขตแดนลาว(นาพ้าว)-เวียดนาม(จอหลอ)
ดร.สมชอบ นิติพจน์ นายก อบจ.นครพนม เปิดเผยว่า เมื่อข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 จะไปเชื่อมกับถนนหมายเลข 12 ของลาว ที่แขวงคำม่วน ถนนสายนี้เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดจากไทยไปเวียดนาม โดยเริ่มต้นที่ชายแดนไทย-ลาว จากนครพนมข้ามสะพานมิตรภาพฯ ไปยังสปป.ลาว แขวงคำม่วน จากนั้นไปตามถนนหมายเลข 12 ระยะทางประมาณ 150 กม. ก็จะถึงยังชายแดนลาว-เวียดนาม ที่ด่านนาพ้าว(ลาว)-ด่านจอหลอ(เวียดนาม)

จากด่านจอหลอเดินทางไปอีกประมาณ 150 กม.ก็จะถึงเมืองดงเหย จ.กวางบินห์ อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวสำคัญของเวียดนามตอนกลาง รวมเบ็ดเสร็จเส้นทางสายนี้มีระยะทางจากชายแดนนครพนมถึงเมืองดงเหยประมาณ 300 กม. ซึ่งเราเราสามารถจัดทริปวันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ กินข้าว 3 แผ่นดินได้อีกด้วย
วิวริมฝั่งโขงนครพนม เมืองสงบงามยามเย็น
นครพนม

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวหลักๆใน 3 ประเทศนั้น เริ่มต้นกันที่นครพนม จังหวัดนี้มี “พระธาตุพนม” เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง อันเป็นที่เคารพศรัทธาอย่างสูงของคนไทยและคนลาว ส่วนในตัวเมืองนครพนมก็น่าเที่ยวไปด้วยความเป็นเมืองเล็กๆน่ารัก สงบงาม เหมาะแก่การปั่นจักรยานชมเมือง มีทิวทัศน์สวยงามริมแม่น้ำโขง มีอาคารเก่าสวยๆงามๆให้ชมกัน ขณะที่ยามเย็นนั้นก็มีการล่องเรือรับลมชมแม่น้ำโขงที่นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมน่าสนใจไม่น้อยเลย (เรื่องเที่ยวในตัวเมืองนครพนมผมได้เขียนนำเสนอไปเมื่อคราวที่แล้วจึงไม่ขอฉายซ้ำ)
พระธาตุศรีโคดตะบองลาว พระธาตุพี่น้องกับพระธาตุพนม
คำม่วน-ลาว

จากนครพนมขึ้นสะพานมิตรภาพฯข้ามโขงไปก็จะเป็นแขวงคำม่วน เมืองที่มีความผูกพันกับนครพนมเป็นอย่างมาก เพราะในอดีตที่นี่คืออาณาจักรศรีโคตรบูรเช่นเดียวกับนครพนม

แขวงคำม่วนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญเชื่อมโยงกับนครพนมคือ “พระธาตุศรีโคดตะบอง”(หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่าพระธาตุศรีโคตรบูร) ที่ประดิษฐานอยู่ใน “วัดพระธาตุศรีโคดตะบอง”(วัดพระธาตุศรีโคตรบูร) วัดคู่บ้านคู่เมืองคำม่วน

พระธาตุศรีโคดตะบอง ถือเป็นพระธาตุพี่น้องกับพระธาตุพนมของไทย สร้างขึ้นในยุคเดียวกับพระธาตุพนม เมื่อครั้งที่ยังเป็นอาณาจักรศรีโคตรบูร พระธาตุองค์นี้เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้านันทเสนแห่งเมืองศรีโคตรบูร ภายในวัดยังมีอนุสาวรีย์ของพระยาศรีโคดตะบอง กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของอาณาจักรศรีโคตรบูรที่สุดท้ายแล้วต้องสิ้นชีพเพราะโดนพระชายาหักหลัง ด้วยเหตุนี้ชาวลาวจึงไม่ขอพรเรื่องความรักจากองค์พระธาตุ แต่มักจะบนบานเรื่องการงานและเรื่องของหายได้คืนกัน
กำแพงหินยักษ์
ในแขวงคำม่วนยังมีสิ่งอันน่าทึ่งนั่นก็คือ “กำแพงหินยักษ์” หรือชื่อเดิม“ภูคันนา”ที่เป็นแนวแผงหินขนาดใหญ่สูงนับ 10 เมตร ตั้งตระหง่านเป็นแนวเสมือนกำแพงเมืองขึ้นอยู่เป็นๆช่วงยาวหลายสิบเมตรบนเส้นทางจากท่าแขกไปทางเวียงจันทน์ ซึ่งวันนี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่ากำแพงยักษ์นี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่อาจจะเกิดจากการยกตัว ยุบตัวของเปลือกโลก หรือเป็นฝีมือมนุษย์สร้างขึ้น เพราะเท่าที่ผมคุยกับชาวลาวเขาเชื่อว่าเป็นผลงานที่สร้างจากน้ำมือมนุษย์ยุคโบราณ ตั้งแต่สมัยที่คนสูงเราสูง 8 ศอกโน่น

ส่วนที่ฟังน่าสนุกเกี่ยวกับกำแพงหินยักษ์นี้ก็คือ ตำนานเกี่ยวกับยักษ์“สะลึคึ”ของชาวลาว ซึ่งเจ้ายักษ์ตนนี้มีความเชื่อมโยงไปถึงตำนานการเกิดแม่น้ำโขง เพราะสะลึคึเป็นยักษ์ที่ไม่ได้ใหญ่แต่ตัว แต่ยังมีอวัยวะเพศใหญ่มโหฬาร เมื่อยักษ์สะลึคึออกหาอาหาร(บ้างก็ว่าออกตามหาเมีย-นางยักษา) ที่เป็นเส้นทางเดิมๆ อวัยวะเพศของมันได้ลากแผ่นดินจนเกิดเป็นร่องลึกยาวไปตลอดแนว อันเป็นเส้นทางแม่น้ำโขง เพราะเมื่อถึงฤดูฝนน้ำฝนจากเทือกเขาต่างๆ ได้ไหลมารวมจนเกิดเป็นแม่น้ำโขงขึ้น
แม่น้ำโขงกับตำนานสนุกๆของยักษ์สะลึคึและทิวทัศน์กุ้ยหลินริมฝั่งโขงแห่งแขวงคำม่วน
นอกจากจะทำให้เกิดแม่น้ำโขงแล้ว ยามที่เจ้ายักษ์ตนนี้เดินผ่านมายังแขวงคำม่วน มันยังทำให้ภูเขาหินแยกไปเป็นแถบๆเกิดเป็นกำแพงหินยักษ์ขึ้นมา หรือบ้างก็ว่าเจ้ายักษ์สะลึคึเป็นผู้หยิบหินมาวางเรียงซ้อนกันเพื่อสร้างกำแพงขึ้น

ครับนี่คือตำนานที่ฟังกันสนุกๆส่วนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำแพงหินยักษ์คงเป็นเรื่องที่ให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์กันต่อไป

สำหรับเสน่ห์อันโดดเด่นของแขวงคำม่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือที่นี่เป็นเมืองที่มีภูเขาหินปูนลูกน้อยใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย ซึ่งหากมองจากฝั่งไทยเข้ามาจะดูคล้ายเป็นดัง “กุ้ยหลินริมฝั่งโขง” แต่ถ้าได้นั่งรถผ่านบนถนนหมายเลข 12 สู่เวียดนามเหมือนอย่างในทริปนี้ ก็ได้สัมผัสกับ “กุ้ยหลินบนดิน” ที่มีเสน่ห์น่ายลจนหลับไม่ลง

เมื่อมีภูเขาหินปูนมากก็ย่อมจะมีถ้ำมากตามไปด้วย จนคำม่วนได้รับฉายาว่าเป็นเมืองพันถ้ำ เพราะมีถ้ำอยู่มากมาย ซึ่งในแขวงคำม่วนมีถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามอันขึ้นชื่อทำการสำรวจแล้ว คือ “ถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ” กับ “ถ้ำนางแอ่น” ที่นับเป็น 2 ถ้ำไฮไลท์ของเมืองนี้ให้ผู้สนใจได้เข้าถ้ำไปพิสูจน์ในความงามกัน
บรรยากาศตลาดริมน้ำเมืองดงเหย
ดงเหย-เวียดนาม

จากแขวงคำม่วน-ลาว เดินทางต่อไปก็จะข้ามไปยังประเทศเวียดนาม โดยจากด่านชายแดนนาพ้าว(ลาว)-จอหลอ(เวียดนาม)

จากด่านชายแดนนี้ไปอีกประมาณ 150 กม. ก็จะถึงยังเมือง“ดงเหย” หรือ“โด่งเหย” (Dong Hoi) เมืองเอกของจังหวัดกวางบินห์ เมืองนี้เป็นเมืองท่าชายทะเล มีตลาดสด-สะพานปลา ริม“แม่น้ำเนียตเล่” หรือ “แม่น้ำหยดน้ำตา” ไหลเชื่อมต่อจากปากอ่าวเข้ามา

ที่ตลาดสด-สะพานปลา มีภาพวิถีสีสันของชาวเมืองดงเหยให้ชมกันมากมาย โดยเฉพาะคนชอบถ่ายรูปนั้น ต่างกระหน่ำรัวชัตเตอร์กันไม่ยั้ง
ป้อมโบราณ สัญลักษณ์ประจำเมืองดงเหย
ในเมืองดงเหยยังมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองให้ชมกันคือ“ป้อมโบราณ” ส่วนที่ชมแล้วสะเทือนใจนิดๆก็คือ “โบสถ์เก่า” ที่เป็นอาคารหลังเดียวที่แม้จะถูกทหารมะกันบอมบ์แต่ยังคงหลงรอดมาเพียงหนึ่งเดียวของเมืองในยุคสงครามเวียดนาม
แนวชายหาดเมืองดงเหย
เมืองดงเหยถือเป็นเมืองชายทะเลติดอ่าวตังเกี๋ยทะเลจีนใต้ ซึ่งปัจจุบันทางเวียดนามได้มีการพัฒนาพื้นที่ชายหาด ชายฝั่งบางส่วนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในระดับไฮเอนด์(ของเวียดนาม) โดยเฉพาะที่ “ซัน สปา รีสอร์ท”นั้น ถือเป็นที่พักชั้นดีทั้งของคนไทยและเวียดนาม เป็นรีสอร์ทติดทะเลมีชายหาดขาวทอดยาว ยามเช้าที่นี่ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมาก
ยามเช้าที่หาดหน้าซัน สปา รีสอร์ท
สำหรับใครที่มาเมืองกวางบินห์แล้วพลาดการเที่ยวถ้ำ ผมถือว่าทริปยังไม่สมบูรณ์ เพราะที่นี่มีถ้ำขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามมากให้ชมกันไม่น้อย โดยเฉพาะ 2 ถ้ำสำคัญ คือ “ถ้ำฟองยา”(ถ้ำฟองญา) และ “ถ้ำสวรรค์” ที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติฟองยา - แกะบ่าง

ถ้ำฟองยาเป็นถ้ำงามที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของเวียดนามในปี ค.ศ. 2003 ภายในถ้ำมีแม่น้ำไหลผ่านยาวประมาณ 30 กม. นับเป็นถ้ำที่มีแม่น้ำไหลผ่านยาวที่สุดในโลก

ในอดีตยุคสงครามเวียดนามถ้ำฟองถูกใช้เป็นที่หลบภัย หลบระเบิดที่อเมริกาทิ้งบอมบ์ลงมา ส่วนปัจจุบันถ้ำฟองยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองดงเหยที่นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือไปชมความงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำกันได้
ถ้ำสวรรค์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ มาแรงแห่งเมืองดงเหย
เดิมถ้ำฟองยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวพระเอกเบอร์หนึ่งของเมืองดงเหย แต่มาวันนี้โดนแซงดเยถ้ำพระเอกน้องใหม่คือ“ถ้ำสวรรค์” เปรียบดัง“ณเดช” ที่วันนี้กำลังถูก“เจมส์ จิ” แซง

ถ้ำสวรรค์ หรือ ถ้ำวิมานสวรรค์ (Paradise Cave : Dong Thien Duong) เพิ่งค้นพบได้ไม่นาน และเปิดให้เที่ยวชมได้ประมาณ 2 ปี
บันไดขึ้น-ลง จากปากทางเข้าถ้ำ
ถ้ำแห่งนี้มีการบริหารจัดการที่ดีทีเดียว เมื่อนักท่องเที่ยวไปถึงจะต้องเปลี่ยนมานั่งรถกอล์ฟเดินทางไปยังทางขึ้นสู่ปากถ้ำ จากนั้นก็เดินเท้าผ่านสภาพธรรมชาติอันร่มรื่นขึ้นไปอีก 570 เมตร ก็จะถึงยังปากทางเข้าถ้ำ ที่เป็นช่องเล็กๆมีทางเดินลงไป
สะพานไม้ทอดยาวนำชมความงามภายในถ้ำ
ภายในถ้ำมีการทำเป็นทางเดินไม้ที่ไม่ดูแปลกแยกให้นักท่องเที่ยวเดินเที่ยวชมไปตามเส้นทางที่กำหนด เพื่อไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทาง เอามือไปจับ สัมผัส ทำถ้ำเสียหาย เพราะแค่แตะนิดเดียว หินงอกหินย้อยที่กำลังเจริญเติบโตจะสิ้นอายุขัยทันที
ถ้ำสวรรค์ สุดอลังการและงดงามไปด้วยหินงอกหินย้อย
ถ้ำสวรรค์เป็นถ้ำเป็นที่หินมีชีวิตยังคงงอกและย้อยอยู่ตลอดเวลา ภายในถ้ำโอ่โถงกว้างใหญ่ หน้าร้อนมีอากาศเย็นฉ่ำเหมือนดังติดแอร์ ส่วนหน้าหนาวก็มีอากาศอุ่นสบายกว่าด้านนอก บางช่วงในถ้ำมีน้ำจากหินปูนตกลงมา ซึ่งตลอดเส้นทางเดินมีหินงอกหินย้อยที่ธรรมชาติสรรค์สร้างให้ชมกันไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นหินรูปช้าง เจ้าแม่กวนอิม พระ ฤาษี หินรูปม่าน เสาหิน จานบิน เห็ด ฯลฯ
หินงอกหินย้อยมากมายในถ้ำสวรรค์
ถ้ำสวรรค์มีความยาวประมาณ 40 กม. แต่วันนี้มีการเปิดให้เที่ยวชมเพียงจิ๊บๆ ประมาณ 1 กม. เท่านั้น แต่แค่ 1 กม.นี่ก็ทำเอาผมกับคณะต่างตะลึงพรึงเพริศในความงามที่เห็น ซึ่งแม้ปากทางเข้าถ้ำจะเล็ก แต่ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อมุดเข้าไปแล้ว ภายในถ้ำจะมีความงามปานเนรมิตสมกับชื่อถ้ำสวรรค์โดยแท้

นับได้ว่านี่คือทริปเที่ยว 3 แผ่นดิน นครพนม-ไทย-ลาว ที่ให้ผมได้ม่วนซื่นข้ามโขงมาลงสวรรค์ก็ไม่ผิดนัก
หินงอกหินย้อยงดงามจนได้ชื่อว่าถ้ำสวรรค์
*****************************************

ผู้สนใจสอบถามเรื่องการข้ามแดน โปรแกรมท่องเที่ยวภายใต้โครงการวันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัดนครพนม ได้ที่ อบจ.นครพนม 0-4251-6293 ต่อฝ่ายการท่องเที่ยว,สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม 0-4251-2551,0-4251-1933,การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานนครพนม 0-4251-3490-1
******************************************************************************

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น