อันซีน “พบพระ” แหล่งปลูกกุหลาบใหญ่ที่สุดในเมืองไทย

ในช่วงวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ หรือวัน “วาเลนไทน์” คงเป็นช่วงเวลาที่ใครหลายๆคน ต่างก็อยากสร้างความประทับใจให้แก่คนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ คู่รักแม่-ลูก หรือแม้กระทั่งคู่รักหนุ่มสาว

ในวันวาเลนไทน์หลายๆคนมักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนมากไม่ลืมที่จะทำก็คือ... การมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่กัน

“กุหลาบ” เปรียบเสมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ผู้คนนิยอมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบแดง ชมพู ขาว หรือสีอื่นๆ และการให้กุหลาบสีต่างๆก็ให้ความหมายที่แตกต่างกันออกไป

ว่ากันว่ากุหลาบสีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ และสีส้ม สื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม

กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่รู้จักและปลูกในเมืองไทยมานานแล้ว จากหลักฐานพบว่า ได้มีการปลูกกันอย่างจริงจัง ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า (รัชกาลที่ 5) แต่การปลูกกุหลาบในสมัยนั้นเป็นการปลูกแบบประดับมากกว่าปลูกเพื่อตัดดอกจำหน่าย แต่ปัจจุบันดอกกุหลาบเป็นดอกไม้นิยมกันอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแค่วันวาเลนไทน์เท่านั้น คนส่วนมากมักใช้กุหลาบไว้พระ หรือใช้ในโอกาสอื่นๆอีกด้วย

ปัจจัยสำคัญในการปลูกกุหลาบนั่นก็คือดิน สภาพอากาศ และสภาพภูมิประเทศ คือดินจะต้องมีสภาพดินร่วนหรือดินปนทราย และต้องอาศัยพื้นที่ที่มีอุณหภูมิที่ต่ำ หรือที่ที่มีอากาศค่อนข้างเย็นเพราะจะทำให้ดอกกุหลาบโต มีกลีบดอกที่แข็ง ก้านยาว และสีของดอกสวยสด

ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกุหลาบกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยแหล่งปลูกกุหลาบที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี และกาญจนบุรี

สำหรับที่ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ถือเป็นแหล่งปลูกกุหลาบที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย เนื่องจากมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่ไม่สูงชัน สภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ อ.พบพระ มีการปลูกกุหลาบสายพันธุ์ต่างๆมากมาย โดยเฉพาะกุหลาบไร้หนาม

ทั้งนี้ได้มีผู้นำกุหลาบเข้ามาปลูกที่อำเภอพบพระ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และมีการขยายพื้นที่ปลูกไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก อ.พบพระ มีสภาพดิน ภาพอากาศ และสภาพภูมิประเทศเอื้ออำนวยต่อการปลูกกุหลาบ ส่งผลให้ปัจจุบัน อ.พบพระ กลายเป็นแหล่งปลูกกุหลาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 7,000 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทุกตำบล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะไปเที่ยวชมไร่กุหลาบได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้อำเภอพบพระยังเป็นแหล่งปลูกพืชผักทางการเกษตรและแหล่งปลูกดอกดาวเรืองแหล่งใหญ่ของเมืองไทย

นายภราดร กานดา เจ้าของไร่กุหลาบปฐมเพชร อ.พบพระ จ.ตาก กล่าวว่า กุหลาบที่นิยมใช้ในวันวาเลนไทน์จะเป็นดอกกุหลาบ สีแดง ขาว ชมพู เหลือง เป็นหลัก ที่ไร่ปฐมเพชรจะตัดดอกกุหลาบส่งขายทุกวัน และกุหลาบที่ตัดออกไป จะแตกดอกขึ้นมาใหม่ภายในระยะเวลาประมาณ 40 วัน ทำให้ที่นี่มีกุหลาบส่งไปขายได้ตลอดทั้งปี

ในแต่ละวัน จะมีพ่อค้า แม่ค้า มารับดอกกุหลาบที่ตัดแล้วไปส่งตามสถานที่ต่างๆ ที่หลักในการส่งคือ ปากคลองตลาด นอกจากที่ปากคลองตลาดแล้วที่ไร่ปฐมเพชรยังส่งดอกกุหลาบไปขายที่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ และที่อื่นๆอีกด้วย ส่วนกุหลาบพันธุ์ที่ขายดีในวันวาเลนไทน์ ก็จะเป็นพันธุ์ธรรมดาสีแดง ขาว ชมพู เป็นต้น

และในช่วงวันวาเลนไทน์ ราคาของดอกกุหลาบจะแพงขึ้นกว่าปกติมาก เนื่องจากในทุกๆวัน ดอกกุหลาบจะขายส่งในราคาไม่ถึงบาท หรือในบางช่วงขายส่งในราคาดอกละ 20 สตางค์ก็มี ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่น้อย ในหนึ่งปีจะมีวันวาเลนไทน์แค่วันเดียว และผู้คนส่วนมากนิยมมอบดอกกุหลาบให้กันในวันวาเลนไทน์ ทำให้ราคาของดอกกุหลาบพุ่งสูงขึ้นมากอีกหลายเท่าตัว

สำหรับดอกกุหลาบกับวันแห่งความรักแม้จะเป็นของคู่กัน แต่ไม่ว่าจะวันวาเลนไทน์ หรือวันไหนๆ ทุกคนก็สามารถมอบความรักให้แก่กันได้ บางทีอาจไม่ต้องมีของขวัญล้ำค่าใดๆ แค่ดอกไม้ซักดอก หรือเพียงคำพูดบางคำก็สามารถสื่อความหมายว่า “รัก” ได้เป็นอย่างดี

หมายเหตุ : ภาพประกอบจากไร่ปฐมเพชร