“น่าน” เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่เริ่มเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ด้วยวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตอันเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ และบ้านเมืองวัดวาอารามที่งดงามเป็นจุดดึงดูด นอกจากนั้น แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเมืองน่านก็ยังมีทัศนียภาพที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ ทำให้ “ตะลอนเที่ยว” ตัดสินใจเลือกน่านเป็นจุดมุ่งหมายของการเดินทางในครั้งนี้ โดยเราได้ไปชมธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติของเมืองน่านถึง 2 แห่ง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน และยังมีความงดงามแตกต่างที่ไม่ควรพลาดชมอีกด้วย นั่นก็คือ “อุทยานแห่งชาติขุนสถาน” และ “อุทยานแห่งชาติศรีน่าน”
“ตะลอนเที่ยว” ใช้เวลากับอุทยานทั้งสองแห่งเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน และเลือกการเดินทางท่องเที่ยวโดยการเช่ารถยนต์จากจังหวัดน่านขับกินลมชมวิวสบายๆ จากตัว อ.เมืองน่าน ผ่าน อ.เวียงสา ไปยัง อ.นาน้อย แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปยัง “อุทยานแห่งชาติขุนสถาน” เป็นที่แรก ระยะทางจากตัวเมืองน่านถึงอุทยานฯ ประมาณ 90 ก.ม. รถเก๋งขับได้สบายๆ จะมีทางชันทางโค้งมากหน่อยก็ช่วงจากบ้านสันทะมายังอุทยานฯ เพียงขับอย่างระมัดระวัง ไม่ใช้ความเร็วสูง ก็ถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย
สำหรับ “อุทยานแห่งชาติขุนสถาน” มีพื้นที่ครอบคลุม อ.นาน้อยและ อ.นาหมื่น เพิ่งจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อประมาณสิบปีก่อนทำให้อาจยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก แต่ทิวทัศน์ของที่นี่ก็สวยไม่แพ้ที่อื่น โดยมี “ดอยแม่จอก” เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยาน และเป็นจุดชมวิว ชมทะเลหมอก ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก และยังเป็นที่ตั้งของบ้านพักและลานกางเต็นท์ โดยบ้านพักของอุทยานบนดอยแม่จอกได้ชื่อว่ามีทิวทัศน์ที่สวยงามเพราะตั้งอยู่บนยอดเนิน หน้าต่างบานยาวของห้องพักทำให้สามารถชมวิวของทะเลภูเขาได้จากที่นอนเลยทีเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ขุนสถานเป็นที่รู้จักขึ้นมาก็คือ “ซากุระเมืองไทย” หรือดอกนางพญาเสือโคร่ง ที่กำลังบานชมพูสะพรั่งอยู่ในขณะนี้ โดยสถานที่ที่จะชมพญาเสือโคร่งก็คือที่ “สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถาน” ซึ่งอยู่เลยจากที่ทำการอุทยานฯ ไปประมาณ 2 ก.ม. โดยบริเวณนี้เป็นพื้นที่ต้นกำเนิดน้ำแหงก่อนที่จะไหลมารวมกับลำน้ำอื่นๆ ในลุ่มน้ำน่าน ทางสถานีฯ ได้ดูแลพื้นที่และปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่ต้นน้ำให้อุดมสมบูรณ์ และในบริเวณสถานีฯ นี้เองก็ได้ปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งในสถานีและริมถนนด้านนอก
“ตะลอนเที่ยว” เองก็มีจุดมุ่งหมายที่จะมาตามหานางพญาเสือโคร่งด้วยเช่นกัน จึงตื่นเต้นเป็นอันมากเมื่อได้เห็นถนนสายสีชมพูที่อยู่ด้านหน้าสถานีฯ ดอกนางพญาเสือโคร่งที่นี่กำลังบานได้ที่ แต่บานไม่สม่ำเสมอ บางต้นออกดอกชมพูพราวทั้งต้น บางต้นเริ่มมีใบเขียวแทรกให้เห็น และบางต้นก็ยังมีแต่กิ่งก้าน โดยเฉพาะภายในสถานีที่ปลูกต้นพญาเสือโคร่งไว้เป็นดง หากออกดอกพร้อมกันเมื่อไรคงจะงดงามเกินบรรยาย แต่เนื่องจากก่อนวันที่ “ตะลอนเที่ยว” จะเดินทางมาเพิ่งมีฝนตกหนักพอสมควร ทำให้ฝนชะเอาดอกพญาเสือโคร่งร่วงไปเสียเยอะ และอาจทำให้ดอกที่กำลังจะบานเปลี่ยนใจไม่บานแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คาดว่าจะชมซากุระเมืองไทยที่ขุนสถานกันได้อีกไม่เกิน 1 อาทิตย์เท่านั้น
เนื่องจากฝนที่เพิ่งตกเมื่อคืนก่อนทำให้การชมดอกไม้ของเราในวันนี้เป็นการชมซากุระในสายหมอก ซึ่งก็ทำให้ดูโรแมนติกไปอีกแบบ สีชมพูอ่อนหวานเมื่อโดนหมอกปกคลุมทำให้ดูเหมือนอยู่ในความฝัน ไอหมอกยังทำให้เกิดหยดน้ำค้างเกาะอยู่บนปลายกลีบ งดงามไปอีกแบบหนึ่ง
เราใช้เวลาถ่ายรูปและชมดอกพญาเสือโคร่งกลางสายหมอกจนอิ่ม เราก็ขับรถลงจากขุนสถานย้อนกลับมาที่ อ.นาน้อยอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยัง “อุทยานแห่งชาติศรีน่าน” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.นาน้อย อ.นาหมื่น และ อ.เวียงสา เราเดินทางจากจากตัว อ.นาน้อยไปอีกราว 40 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม. ก็มาถึงอุทยานฯ “ตะลอนเที่ยว” เลือกพักกางเต็นท์ที่ “ดอยเสมอดาว” ซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของ อช.ศรีน่าน ใช้บริการเช่าเต็นท์ของทางอุทยานซึ่งมีเครื่องนอนให้ครบทั้งเบาะรองนอน หมอน และถุงนอน มีห้องน้ำบริการสะดวกสบาย แต่เรื่องอาหารการกินนั้นต้องเตรียมกันมาเอง
เก็บข้าวของเข้าเต็นท์แล้วก็เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ “ตะลอนเที่ยว” ออกมาหาทำเลเหมาะๆ ที่จะรอชมพระอาทิตย์ตก สำหรับดอยเสมอดาวนั้นมีพื้นที่เป็นลานกว้างบนสันเขา มียอดเนิน 2 แห่ง ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้รอบตัว เนินทางฝั่งตะวันออกมีชื่อว่า “ลานดูดาว” เป็นลานหญ้ากว้างสามารถชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก และแน่นอนว่าในคืนฟ้าโปร่งก็จะมองเห็นดวงดาวระยิบระยับนับไม่ถ้วนสมชื่อดอยเสมอดาว ด้านหนึ่งของลานดูดาวเป็นหน้าผาสูง มองลงไปเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนของเมืองน่าน ที่มีแม่น้ำน่านไหลลัดเลาะผ่านซอกเขา เป็นทิวทัศน์ที่งดงามจับตา
อีกทั้งบริเวณลานดูดาวนี้ยังมีสัญลักษณ์สำคัญของดอยเสมอดาว นั่นก็คือ “ผาหัวสิงห์” ผาหินปูนที่มีรูปร่างเหมือนสิงโตนอนหมอบชูคอหันไปทางทิศตะวันออก หากใครต้องการขึ้นไปชมวิวบนผาหัวสิงห์ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ให้นำทางขึ้นไป ซึ่งด้านบนก็จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ 360 องศา
ส่วนเนินด้านทิศตะวันตกของดอยเสมอดาวก็สวยงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์ฉาบจับไร่ข้าวโพดและเทือกเขาน้อยใหญ่ทางฝั่งนี้ให้เป็นสีทอง มองเห็นกระท่อมเล็กๆ กลางไร่ข้าวโพดเหมือนบ้านตุ๊กตา “ตะลอนเที่ยว” เลือกนั่งชมพระอาทิตย์ตกตรงฝั่งนี้จนความมืดเข้าปกคลุม และดอยเสมอดาวในค่ำคืนนี้ก็ไม่ทำให้เสียชื่อ เพราะทั้งดาวบนฟ้าและดาวบนดิน (แสงไฟจากบ้านเรือนเบื้องล่าง) ต่างส่องแสงแข่งกันตลอดคืน
ในเช้าตรู่วันต่อมา ดอยเสมอดาวทำให้ “ตะลอนเที่ยว” ประทับใจมากขึ้นไปอีกด้วยทะเลหมอกหนาเป็นปุยมองไปไกลสุดสายตา สายหมอกลอยฟุ้งไปรอบตัวตามแรงลม พระอาทิตย์พยายามฉายแสงผ่านเมฆหมอกมาให้เราเห็นเป็นระยะ
ด้วยสภาพอากาศที่เป็นใจทำให้ทะเลหมอกยังคงมีให้เห็นเป็นปุยแม้ว่าเวลานั้นจะสายมากแล้ว แม้ “ตะลอนเที่ยว” จะอาลัยอาวรณ์หมอกเพียงใดแต่ก็ต้องเดินทางต่อ โดยจุดมุ่งหมายต่อไปก็คือ “ดอยผาชู้” อีกหนึ่งจุดชมวิวของ อช.ศรีน่าน ที่อยู่ห่างจากดอยเสมอดาวไปอีกประมาณ 4 ก.ม.
ผาชู้เป็นโขดหินและหน้าผาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา ชื่อของผาชู้ได้มาจากตำนานรักสามเส้าของเจ้าจ๋วง เจ้าจันทร์ และนางเอื้อง ที่ต้องจบชีวิตลงที่หน้าผาแห่งนี้ ปัจจุบันผาชู้เป็นที่ตั้งของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร บ้านพักและจุดกางเต็นท์ จุดชมวิวบริเวณผาชู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของขุนเขาและสายน้ำน่านทอดตัวไหลคดเคี้ยว และยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่งดงามเช่นกัน นอกจากนั้นผาชู้ยังมีชื่อเสียงตรงที่มีธงชาติที่มีสายชักธงยาวที่สุดในประเทศ มีความยาวถึง 200 ม. เวลาเชิญธงต้องร้องเพลงชาติถึง 12 จบ กว่าธงจะขึ้นถึงยอดเสา “ตะลอนเที่ยว” แหงนคอตั้งบ่าจึงมองเห็นธงชาติปลิวไสวอยู่ลิบๆ บนยอดผาชู้
ได้เวลาต้องลงจากดอยบอกลาผาชู้และดอยเสมอดาว แต่ “ตะลอนเที่ยว” ยังมีอีกหนึ่งสถานที่น่าสนใจของ อช.ศรีน่าน ที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาด นั่นก็คือ “เสาดินนาน้อย-คอกเสือ” ที่อยู่บนพื้นราบไม่ไกลจากตัว อ.นาน้อย
เสาดินนาน้อยและคอกเสือ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะพังทลายของดินเป็นบริเวณกว้างกว่า 20 ไร่ ทำให้มีภูมิประเทศเป็นเหมือนภูเขาขนาดเล็กมีความสูงต่ำสลับกันไปบนลานโล่ง เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณเสาดินจะเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่มีทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ และบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ พบเครื่องมือหินปะปนอยู่กับเศษหิน และกรวดที่สะสมตัวอยู่ในบริเวณนี้ นอกจากนั้น ยังมีเรื่องเล่าขานถึงความลี้ลับของพื้นที่บริเวณนี้ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเสาดินนาน้อยเป็นที่สถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในตอนกลางคืนโดยเฉพาะช่วงวันสงกรานต์มีผู้เห็นดวงไฟสว่างสุกใสลอยอยู่เหนือเสาดิน เชื่อว่าเป็นที่ที่เทวดานางฟ้ามาเล่นสงกรานต์กัน
ที่เสาดินนาน้อยยังมี “ต้นดิกเดียม” และ “หญ้าเข็มนาฬิกา” เป็นอีกหนึ่งสีสันให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกัน ต้นดิกเดียมนั้นหากลูบที่ลำต้นเบาๆ ต้นไม้จะสั่นไหวไปทั้งต้นคล้ายมีอาการจั๊กจี้ ส่วนหญ้าเข็มนาฬิกาเป็นพืชท้องถิ่นที่ขึ้นตามพื้นดิน ดอกของมันที่มีลักษณะเป็นฝอยเมื่อโดนน้ำจะหมุนเป็นวง ใครอยากชมลองสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลดูได้
ส่วนคอกเสือตั้งอยู่ห่างจากเสาดินนาน้อยประมาณ 800 ม. บริเวณไม่กว้างเท่าเสาดิน แต่มีลักษณะเป็นหลุมลึก หากเดินลงไปด้านล่างจะเห็นถึงความอลังการของภูมิประเทศ เหตุที่เรียกว่าคอกเสือเนื่องจากเมื่อก่อนบริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่จำนวนมาก และมักจะมากินวัว ควาย และหมูของชาวบ้านในละแวกนี้ ชาวบ้านจึงช่วยกันไล่ต้อนเสือให้ลงไปในหลุมดินแล้วช่วยกันปาก้อนหินและไม้แหลมขว้างใส่เสือจนตาย
“ตะลอนเที่ยว” ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติของเมืองน่านจนเต็มอิ่ม ทั้งซากุระเมืองไทย ทะเลหมอก และภูมิประเทศอันน่าอัศจรรย์ของเสาดินนาน้อย และนำมาบอกเล่าเพื่อให้คนที่รักธรรมชาติได้ร่วมเดินทางไปบนเส้นทางท่องเที่ยวนี้ด้วยกัน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติขุนสถาน โทร.0 5470 1121 สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถาน โทร.08 7286 3672, 08 4707 6056 อุทยานแห่งชาติศรีน่าน โทร.0 5473 1714 และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแพร่ (พื้นที่รับผิดชอบจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์) โทร.0 5452 1118-9, 0 5452 1127 และ 0 5452 1119
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com