xs
xsm
sm
md
lg

ตักบาตรดอกไม้ ไหว้พระพุทธบาท ที่“สระบุรี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มณฑปวัดพระพุทธบาทฯ สระบุรี
ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาอย่างนี้ อยากแนะนำให้มาเที่ยว “สระบุรี” เมืองที่มีคำขวัญว่า “พระพุทธบาทสูงค่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ฐานผลิตอุตสาหกรรม เกษตรนำล้ำแหล่งท่องเที่ยว หนึ่งเดียวกะหรี่ปั๊บนมดี ประเพณีตักบาตรดอกไม้งาม เหลืองอร่ามทุ่งทานตะวัน ลือลั่นเมืองชุมทาง” หนึ่งในคำขวัญที่พูดถึงประเพณีตักบาตรดอกไม้งามก็คือประเพณีขึ้นชื่อของสระบุรีในช่วงเข้าพรรษา คือ “งานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา” ที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ใน อ.พระพุทธบาทนั่นเอง

เมื่อถึงวันเข้าพรรษา หรือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ชาว อ.พระพุทธบาทก็จะพากันไปเก็บดอกเข้าพรรษาที่ขึ้นอยู่ตามไหล่เขาโพธิลังกาหรือเขาสุวรรณบรรพต เทือกเขาวง และเขาพุในเขตมาจัดรวมกับธูปเทียนเพื่อตักบาตรถวายพระ และพระสงฆ์ก็จะนำดอกเข้าพรรษาเหล่านี้ไปสักการะรอยพระพุทธบาท เชื่อกันว่าอานิสงส์นี้จะส่งผลให้ผู้ทำบุญได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ร่วมทำบุญตักบาตรดอกเข้าพรรษา
สำหรับ “ดอกเข้าพรรษา” เรียกอีกชื่อว่า ดอกหงส์เหิน มีลักษณะคล้ายต้นกระชายหรือขมิ้น สูงประมาณ 1 คืบเศษ ส่วนดอกมีขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อ มีหลากหลายสี เช่น สีขาว เหลือง เหลืองแซมม่วง โดยสำหรับคนที่เตรียมจะมาร่วมงานตักบาตรดอกเข้าพรรษาที่สระบุรี ก็สามารถมาได้ตั้งแต่วันที่ 1-3 ส.ค. 55 โดยจะมีพิธีตักบาตรดอกเข้าพรรษาวันละ 2 รอบ คือรอบเช้าและรอบบ่าย

นอกจากจะได้มาร่วมทำบุญแล้ว ก็ยังจะได้มาชมความงดงามและได้มากราบสักการะรอยพระพุทธบาทที่ “วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร” วัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเมืองสระบุรี ที่หลายๆ คนต่างเดินทางมาเยือนเพื่อต้องการมาสักการะรอยพระพุทธบาท มีความเชื่อกันว่า รอยพระพุทธบาทเป็นอุเทสิกเจดีย์ หรือสิ่งที่สร้างขึ้นมาแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเชื่อตามคติชาวลังกาว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับรอยพระพุทธบาทไว้ห้าแห่ง ซึ่งรอยพระพุทธบาทที่สระบุรีเป็นหนึ่งในจำนวนห้าแห่งนั้น โดยรอยพระพุทธบาทนี้ค้นพบเมื่อปี 2149 หรือในสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา และสืบเนื่องความสำคัญต่อมาจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเป็นประเพณีพระราชนิยมที่พระมหากษัตริย์จะต้องเสด็จมานมัสการพระพุทธบาท
ดอกเข้าพรรษาที่ใช้ในการตักบาตร
รอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่ในมณฑปทรงปราสาทงดงามบนเนินเขา มีลักษณะเป็นหลุมลึกคล้ายรอยเท้าคน กว้าง 21 นิ้ว ยาว 5 ฟุต ลึก 11 นิ้ว เป็นรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย รอบรอยพุทธบาทพุทธศาสนิกชนต่างปิดทองกันเหลืองอร่ามไปทั่ว และยังมีความเชื่อว่า หากใครมีโอกาสไปสักการะพระพุทธบาทครบ 7 ครั้ง ผลบุญจะส่งให้ขึ้นสวรรค์

ทางขึ้นไปยังมณฑปมีสามด้านคือ ด้านบันไดประตูยักษ์ บันไดพิกุล และบันไดนาคซึ่งเป็นด้านที่สวยงามที่สุดด้วยพญานาค 7 เศียร ที่ลำตัวเลื้อยยาวลงมาจากระเบียงมณฑปด้านบน หลายๆ จึงคนนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันในมุมนี้

นอกจากนั้น ที่วัดแห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระพุทธบาท ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมศิลปวัตถุอันมีค่ายิ่ง อาทิ เช่น เครื่องทรงของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เครื่องลายครามสังคโลก เครื่องทองสำริดโบราณ ศาสตราวุธโบราณ รอยพระพุทธบาทจำลอง ยอดมณฑปพระพุทธบาทเก่า พัดยศของพระสมัยต่างๆ และท่อประปาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รวมถึงข้าวของเครื่องใช้อื่นๆให้ผู้สนใจได้ชมกัน
นมัสการรอยพระพุทธบาทสระบุรี (ภาพ : ททท.)
สักการะรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้ายไปแล้ว มาสักการะรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาที่ “วัดพระพุทธฉาย” แต่ก่อนจะไปสักการะรอยพระพุทธบาท ควรมาชมความโดดเด่นที่เป็นที่มาของชื่อวัด หรือ "รอยพระพุทธฉาย" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเงาของพระพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นรอยสีแดงบนชะง่อนผามีรูปร่างคล้ายพระพุทธรูปในลักษณะยืน ความสูงประมาณ 5 เมตร

สำหรับตำนานของพระพุทธฉาย มีเรื่องเล่าว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่เขาฆาฏกะ (เขาพระพุทธฉาย) เพื่อโปรดนายพรานฆาฏกะจนสำเร็จพระอรหันต์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ พระฆาฏกะได้ทูลขอให้ประทานสิ่งที่เป็นอนุสรณ์เพื่อสักการะกราบไหว้ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพุทธปาฏิหาริย์ให้เงาของพระองค์ติดอยู่ในเนื้อหิน ที่เงื้อมเขาพระพุทธฉายบรรพต จึงทำให้เกิดเงาพระพุทธเจ้าปรากฏให้เห็นมาจนทุกวันนี้
รอยพระพุทธฉายบนแผ่นหิน
ส่วนรอยพระพุทธบาทที่พบที่วัดแห่งนี้เป็นรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาที่ค้นพบเมื่อปี 2537 ขณะที่กรมศิลปากรบูรณะซ่อมแซมพระมณฑป และได้เคลื่อนย้ายรอยพระพุทธบาทจำลองออก จากนั้นเมื่อทุบพื้นซีเมนต์เก่าออกจึงพบรอยพระพุทธบาทเบื้องขวา มีรอยธรรมจักรอยู่ตรงกลาง ทางวัดได้เก็บรักษารอยพระพุทธบาทไว้ด้วยการสร้างกระจกครอบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลงรักปิดทอง เพราะต้องการรักษารอยพระพุทธบาทไว้ให้คงสภาพเดิมมากที่สุด

และหากใครชอบท่องเที่ยวแนววิถีชีวิต ต้องมาเยือน อ.เสาไห้ มาชม “หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน สระบุรี” มารู้จักกับชาวไทยวน (ไท-ยวน) กลุ่มชนชาติซึ่งแต่เดิมเคยอาศัยอยู่ในรัฐโยนก เมืองเชียงแสน และได้อพยพลงมาสู่ที่ราบลุ่มตอนกลางของไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 และแม้ปัจจุบันจะกลายเป็นคนภาคกลาง แต่ชาวไทยวนก็ยังคงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกับชาวล้านนาไว้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยวนที่มีรากมาจากภาษาล้านนา ภาษาเขียนที่ยังคงใช้อักษรธรรมเช่นเดียวกับชาวล้านนา การแต่งกาย การทอผ้า ฯลฯ และยังคงมีงานบุญสลากภัต ที่คล้ายคลึงกับประเพณีตานก๋วยสลาก เป็นต้น
ชมวิถีชีวิตชาวไทยวนที่ อ.เสาไห้ (ภาพ : ททท.)
นอกจากชาวไทยวนแล้ว อ.เสาไห้ ยังมีความน่าสนใจในเรื่องที่มาของชื่ออำเภอ โดยเล่ากันว่าชื่อของ อ.เสาไห้นั้นมาจาก “เสาร้องไห้” มีตำนานเกี่ยวพันกับเจ้าแม่ตะเคียนทองที่ตั้งอยู่ในศาลนางตะเคียนทอง ณ วัดสูง อ.เสาไห้ กล่าวกันว่า เมื่อครั้งสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานี ได้มีการคัดเลือกเสาที่มีลักษณะงดงามจากหัวเมืองต่างๆ เพื่อนำมาใช้เป็นเสาเอก ทางเมืองสระบุรีได้จัดส่งเสาไม้ตะเคียนต้นหนึ่งที่มีลักษณะงดงามล่องลงมาตามลำน้ำป่าสัก แต่มาถึงกรุงเทพฯ ช้าไปจึงไม่ได้รับเลือกให้เป็นเสาเอก เสาต้นนี้จึงเกิดความเสียใจลอยทวนน้ำกลับขึ้นมา และจมลง ณ ตำบลแห่งนี้ ตกกลางคืนชาวบ้านมักได้ยินเสียงร้องไห้ดังลอยมาจากท้องน้ำ บริเวณนี้จึงได้ชื่อว่า “เสาไห้” ต่อมาจนปัจจุบัน

มาต่อกันกับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ สำหรับคนที่ชอบเที่ยวน้ำตก เมืองสระบุรีมีน้ำตกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “น้ำตกมวกเหล็ก” ตั้งอยู่ในสวนรุกขชาติมวกเหล็ก ที่อยู่ระหว่าง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี กับ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีลำธารซึ่งมาจากต้นน้ำในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ไหลผ่านลงสู่แม่น้ำป่าสัก ในลำธารมีแก่งหินลดหลั่น เป็นน้ำตกชั้นเล็กๆ เป็นสถานที่พักผ่อนได้เป็นอย่างดี ส่วน “น้ำตกเจ็ดสาวน้อย” ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เป็นอีกหนึ่งน้ำตกน่าเที่ยว เป็นน้ำตกชั้นเตี้ยๆ 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงประมาณ 2-5 เมตร ไหลลดหลั่นกันมาตามแนวลำธารเป็นแอ่งน้ำกว้าง บรรยากาศร่มรื่น มีบริเวณสำหรับเล่นน้ำ
น้ำตกเจ็ดสาวน้อย (ภาพ : ททท.)
คนที่ชอบกิจกรรมผจญภัย ที่ อ.มวกเหล็กมีกิจกรรม "ล่องแก่งภูเกาะ" โดยสายน้ำที่ใช้ล่องแก่งภูเกาะเป็นส่วนหนึ่งของน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ชาวบ้านเรียกพื้นที่แถบบริเวณล่องแก่งว่าแก่งภูเกาะเพราะแถบนี้มากไปด้วยภูเขาที่เกาะเกี่ยวกันเป็นเสมือนดังภู(เขา)เกาะ(เกี่ยวกัน) ส่วนเส้นทางการล่องแก่งนั้นมีแก่งในระดับ 1-3 จำนวน 13 แก่ง โดยมีแก่งเด่นๆ อย่างแก่งภูเกาะที่มีสายน้ำคดเลี้ยวให้ต้องใช้ความพยายามในการบังคับเรือล่องผ่าน หรือแก่งสไลเดอร์ที่มีลักษณะเป็นแก่งหลายแก่งลดระดับกันไป ส่วนแก่งวัดใจที่มีความสูงกว่า 3 ม. ก็เป็นอีกหนึ่งแก่งที่สร้างความตื่นเต้นได้เป็นอย่างดี และสองฝั่งเส้นทางก็ยังมีทิวทัศน์สวยงามของธรรมชาติให้ชมกันด้วย
สนุกสนานกับการล่องแก่งภูเกาะ
“น้ำตกโกรกอีดก” ใน อ.แก่งคอย น้ำตกแห่งผืนป่าเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้าที่มีอาณาเขตติดต่อกับเขาใหญ่ และยังเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในแถบภาคกลาง ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแห่งที่คนชอบเดินป่าไม่ควรพลาด น้ำตกแห่งนี้มีทั้งหมด 8 ชั้น สามารถเดินขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 7 ส่วนชั้นที่ 8 นั้น อันตรายเกินไป สำหรับชื่อของน้ำตกโกรกอีดก เป็นภาษาถิ่น โดย “โกรก” แปลว่า น้ำที่ตกลงมาเป็นสาย ส่วน “อีดก” นั้นหมายถึงนกโพระดก ที่ในอดีตมีเป็นจำนวนมาก เส้นทางเดินค่อนข้างโหดแต่ก็ได้เห็นสายน้ำตกอันสดใสและผืนป่าเจ็ดคดอันอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าใครอยากไปก็เตรียมร่างกายให้พร้อม และติดต่อเจ้าหน้าที่ให้นำทางได้เลย

หรือถ้าใครไม่อยากเดินมาก แต่อยากไปกางเต็นท์นอนเล่นสบายๆ ก็สามารถมาที่ “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า” ในอำเภอเดียวกัน ที่นี่มีลานกางเต็นท์บรรยากาศดีเหมาะแก่การพักผ่อน นอนชมธรรมชาติได้ที่ริมอ่างเก็บน้ำซับป่าว่าน ทั้งยังมีการจัดการที่ดี มีบ้านพัก ห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้บริการพร้อม และที่นี่ยังมีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติแบบสั้นๆ ให้ทั้งครอบครัวได้มาพักผ่อนและเรียนรู้ร่วมกันอีกด้วย
ลานกางเต็นท์บรรยากาศดีที่เจ็ดคด
“เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้ง อ.วังม่วง จ.สระบุรี และ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เป็นเขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริให้สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ในเขตลุ่มน้ำป่าสัก และลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

นักท่องเที่ยวที่มาเยือน ทางเขื่อนมีรถไฟบริการพาชมเขื่อนโดยรอบพร้อมมีมัคคุเทศก์น้อยบรรยายประวัติของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และแนะนำแหล่งท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีศูนย์กีฬาทางน้ำ สวนรุกขชาติ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และหาดทรายริมเขื่อนเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนหย่อนใจ แต่ช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมามากที่สุดก็คือช่วงฤดูหนาว เดือน พ.ย.-ม.ค. โดยทริปยอดนิยมก็คือทริปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่จะพานั่งรถไฟชมทุ่งดอกทานตะวันนับพันๆ ไร่ แถบอำเภอวังม่วงที่กำลังบานมองเห็นท้องทุ่งเป็นสีเหลืองไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนจะวิ่งผ่านเขื่อนป่าสักฯ ท่ามกลางผืนทะเลสาบอันกว้างไกลสุดสายตา ทำให้ดูคล้ายขบวนรถไฟวิ่งอยู่บนผิวน้ำ จนได้ชื่อว่าเป็นรถไฟลอยน้ำ
ทุ่งทานตะวันบานรับแสงตะวันสดใส (ภาพ : ททท.)
สระบุรียังมีของอร่อยหลากหลาย ทั้งกะหรี่ปั๊บที่เป็นของขึ้นชื่อที่หลายๆ คนนิยมซื้อเป็นของฝาก มะม่วงหนองแซง มะม่วงพันธุ์พื้นเมืองปลูกมากที่อําเภอหนองแซง มีรสชาติหวานอร่อย นมสดจากอำเภอมวกเหล็กก็ได้ชื่อว่าเป็นของดีของเมืองสระบุรี เพราะเป็นแหล่งผลิตโคนมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยเป็นที่ตั้งของ "องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย" (อ.ส.ค.) ที่ปัจจุบันเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอีกด้วย
ป้อนนมน้องวัวที่ อ.ส.ค.
การเดินทางมาเที่ยวสระบุรีก็แสนง่ายดาย แถมจากสระบุรีจะเดินทางไปจังหวัดอื่นๆ ก็ง่ายเช่นกัน เพราะสระบุรีถือเป็นเมืองชุมทางที่มีเส้นทางแยกไปภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาคอีสานที่ไปง่ายๆ แค่ “สระบุรีเลี้ยวขวา” ภาคเหนือขึ้นไปทางเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกไปถึงชายแดน จ.สระแก้ว ก็สะดวก ส่วนทางรถไฟก็มีสถานีชุมทางแก่งคอยเป็นสถานีใหญ่ ผู้คนมาใช้บริการมากมายเช่นกัน ดังนั้น หากจะมาเที่ยวสระบุรีก็ไม่ต้องคิดมาก แค่เก็บกระเป๋าแล้วมุ่งหน้ามาได้เลย

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!!

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น