xs
xsm
sm
md
lg

“โป่งเดือด” ปุด ปุด...มหัศจรรย์แห่งพื้นพิภพ/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
โป่งเดือด น้ำพุร้อน อันซีนไทยแลนด์
“เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย”

แม้หนังเรื่องนี้จะฉายมาได้ 5 ปีแล้ว แต่สภาพภูมิอากาศโลกในช่วงนี้ มันทำให้ผมอดนึกถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้งไม่ได้

มีอย่างที่ไหนหน้าร้อนเมืองไทยที่ปกติอากาศเป็นต้องร้อนระยับ ชนิดมีข่าวจากกรมอุตุฯออกมาแทบทุกร้อนว่า ในช่วงต้นเมษาไปจนถึงสงกรานต์จะมีวันที่ร้อนที่สุดในรอบปีให้ติดตามกัน แต่สภาพอากาศของบ้านเราในช่วงนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

หน้าร้อนปกติจะเป็นฤดูทองของการเที่ยวทะเลภาคใต้ แต่หน้าร้อนปีนี้ ภาคใต้โดนฝนถล่มหนัก จมบาดาลไปหลายเมือง อีกทั้งยังมีแผ่นดินถล่ม มีมรสุมคลื่นลมแรง ไม่เหมาะต่อการออกทะเลไกลฝั่งด้วยประการทั้งปวง

ส่วนภาคกลาง เดิมช่วงก่อนสงกรานต์แบบนี้มักจะมีฝนชะช่อมะม่วงตกลงมา แต่อากาศวันนี้ภาคกลางหน้าร้อนกลับกลายเป็นหน้าหนาวไป แถมบางวันฝนยังตกหนักอีกต่างหาก

ในขณะที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน หน้าร้อนก็กลับกลายเป็นหน้าหนาวมาก จนหลายๆพื้นที่ถึงขนาดต้องผิงไฟคลายหนาวกันเลยทีเดียว

สำหรับคนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงนี้ยังไงๆ ควรเช็คสภาพลมฟ้าอากาศก่อนออกเดินทางให้ดีและให้แน่นอน เพื่อจะได้รู้อากาศรู้เรา เวลาเที่ยวจะได้ปลอดภัย ไม่ผิดหวัง ไม่สูญเสีย

เพราะอากาศโลกเราทุกวันนี้มันแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ต่างจากอารมณ์ของคุณเธอส่วนใหญ่เท่าไหร่ ซึ่ง“โก้วเล้ง”มังกรเมรัย ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายที่บอกว่าตัวเองเข้าใจในอิสตรีเพศโดยถ่องแท้ ไม่ต่างอะไรจากตัวโง่งมดีๆนี่เอง

นอกจากสภาพอากาศจะแปรปรวนแล้ว โลกของเราในช่วงหลังมักจะเกิดภัยพิบัติใหญ่ๆบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นถี่ จนคนไทยส่วนหนึ่งเกิดอาการวิตกจริตไปกับคำทำนายของหมอดูคู่กับหมอเดา ตื่นตระหนกไปกับข่าวลือและการปั่นข่าวแบบมันปากของนักเล่าข่าวบางคน รวมถึงการวิตกไปกับฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ใครหนอช่างคิดได้ แต่นี่แหละคือวิถีแห่งสังคมตื่นข่าวแบบไทยๆ ที่บ่อยครั้งข่าวลือ ข่าวโคมลอย ข่าวปล่อย ข่าวเต้า ข่าวมั่ว มีอิทธิพลแรงเหนือกว่าข่าวจริงอยู่มากโข

ไหนๆก็พูดถึงแผ่นดินไหวแล้ว ผมก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจที่เกิดจากความร้อนใต้พื้นดิน มาบอกเล่าสู่กันฟัง นั่นก็คือ“โป่งเดือด” สถานที่ที่เกิดความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติ ซึ่งทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ยกให้เป็นหนึ่งใน“อันซีนไทยแลนด์” อันน่าสนใจยิ่ง
บ้านพักที่พื้นที่โป่งเดือด
“โป่งเดือด” หรือ “โป่งเดือดป่าแป๋” หรือ “น้ำพุร้อนโป่งเดือด” ตั้งอยู่ในเขต“อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง” ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 40 กิโลเมตร สถานที่แห่งนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ 2 ส่วน ด้วยกัน

ส่วนแรกคือ ส่วนบ้านพัก ที่มีการสร้างบ้านพักเป็นหลังๆลดหลั่นกันไปตามเนินเขา โดยมีน้ำร้อนจากโป่งเดือดให้แช่ พร้อมการจัดตกแต่งสวนอย่างสวยงาม ดูไม่ต่างอะไรจากรีสอร์ทชั้นดี ซึ่งถือเป็นภาพลักษณ์ใหม่ของอุทยานแห่งชาติ ที่ผมเห็นแล้วอยากจะนอนเล่นที่นี่สัก 2-3 คืน เพียงแต่ว่าเมื่อไม่ได้จองมาก่อน เต็นท์ของทางอุทยานฯจึงเป็นทางเลือกที่ดี่ที่สุดในการพักค้างที่นี่
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ
ส่วนที่สองเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติโป่งเดือด ซึ่งทางอุทยานก็ทำดีอีกนั่นแหละ เขาทำเป็นทางเดินสะพานไม้กลมกลืนกับธรรมชาติทอดผ่านพื้นที่ที่มีการจัดแต่งภูมิทัศน์อย่างเป็นระเบียบสวยงาม และทำเป็นทางเดินปูนทอดลึกเข้าไปในผืนป่าอันร่มรื่นเขียวครึ้ม

ใครที่มาที่นี่แล้วคิดจะนำไข่ไปต้มจิ้มน้ำปลาพริกเหมือนกับน้ำพุร้อนหลายๆแห่ง บอกคำเดียวว่า “ไม่ได้” เพราะทางอุทยานฯเขาห้ามนำไข่และอาหารเขาไปในบริเวณน้ำพุร้อน ทั้งนี้เพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวนำขยะไปทิ้งเรี่ยราดในบริเวณน้ำพุร้อน

สำหรับเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติโป่งเดือดมีระยะทางประมาณ 800 เมตร สุดทางที่บ่ออาบน้ำแร่ร้อนที่มีการจัดทำเป็นเรื่องเป็นราวอย่างดี


อนึ่งในส่วนที่สองนี้ แม้เพียงแค่มาเดินชิลล์สูดโอโซน ชื่นชมธรรมชาติ สัมผัสความร่มรื่นของต้นไม้ใบหญ้า ผมว่ามันก็น่าสนใจไม่น้อยแล้ว แต่ใครที่มาที่นี่แล้วพลาดการยลโป่งเดือดไฮไลท์ของที่นี่ ก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงโป่งเดือดโดยสมบูรณ์
ไอความร้อนที่ส่งขึ้นมาจากใต้ผิวดิน
หลังเดินเรื่อยๆเอื่อยๆจากจุดเริ่มต้นชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางโชคดีที่ได้พบกับ“ขนุนดิน” ลูกกลมแดงขึ้นอวดโฉมอยู่จำนวนหนึ่ง

จากนั้นผมได้พบสัญญาณเตือนของโป่งเดือด เป็นกลุ่มไอน้ำสีขาวลอยคละคลุ้งอยู่ในดงต้นไม้ ส่วนเมื่อเดินลึกเข้าไปก็จะผ่านพื้นที่ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เคยเสด็จฯ ประพาสป่าโป่งเดือดและประทับแรม(เต็นท์)ในระหว่างวันที่ 25-26 ก.พ. 40 ซึ่งทางอุทยานฯได้ทำป้ายไม้เขียนบอกไว้ชัดเจน

แล้วอีกเพียงไม่กี่อึดใจผมก็เดินมาถึงยังบริเวณ“โป่งเดือด”ไฮไลท์ของสถานที่ ซึ่งมีกลิ่นกำมะถันเหม็นๆลอยมาเตะจมูก มีควันขาวจากไอน้ำลอยขโมงขึ้นมาทั่วบริเวณ ในขณะที่บนพื้นดินที่เป็นแอ่งน้ำตื้นๆ แทรกแซมด้วยก้อนหินน้อย-ใหญ่นั้น น่ายลไปด้วยน้ำพุร้อนเดือดปุด ปุด แถมบางจุดยิ่งน่าทึ่งเข้าไปใหญ่ เพราะมีน้ำร้อนฉ่าพวยพุ่งซู่ขึ้นมาเหนือพื้นดินเป็นจังหวะอยู่ตลอดเวลา
น้ำพุร้อนเดือดปุดๆที่พวยพุ่งขึ้นมาเหนือผิวดิน
บริเวณนี้มีอุณหภูมิร้อนมาก แค่ไปยืนใกล้ๆนี่หน้าร้อนฉ่าแล้ว ดังนั้นทางอุทยานฯจึงตีไม้กั้นไว้ให้เรายืนดูกันเฉพาะในพื้นที่ที่จัดให้ด้านนอก

น้ำพุร้อนโป่งเดือด ถือเป็นความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติ เกิดจากน้ำใต้ผิวดินที่เป็นน้ำซับจากน้ำฝนไหลผ่านช่องว่างใต้ดินที่มีความร้อนส่งผ่านขึ้นมาจากหินหลอมเหลวที่อยู่ลึกลงไปในชั้นดิน ทำให้ใต้ผิวดินบริเวณนี้มีอุณหภูมิและแรงดันสูงมาก มันจึงดันส่งน้ำ(ร้อน)ใต้ผิวดินให้พวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา

ทั้งนี้จากข้อมูลของอุทยานฯระบุว่า น้ำพุร้อนโป่งเดือดเป็นน้ำพุร้อนที่มีชื่อทางธรณีวิทยาว่า “ไกเซอร์”(Geyser) ในขณะที่น้ำพุร้อนทั่วไปมีลักษณะเป็น“บ่อน้ำร้อน”(Hot Pool)

น้ำพุร้อนไกเซอร์มีอุณหภูมิและแรงดันสูงมาก ทำให้โป่งเดือดมีน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินสูงกว่าน้ำพุร้อนทั่วไป สำหรับน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมามีอุณภูมิอยู่ที่ประมาณ 90-99 องศาเซลเซียส ส่วนน้ำพุร้อนที่อยู่ใต้ดินร้อนกว่ามากมีอุณภูมิอยู่ที่ประมาณ 170-203 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

ในอดีตน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาเคยสูงถึง 5 เมตร แต่ปัจจุบันเหลือแค่ประมาณ 1-2 เมตร เพราะธรรมชาติเปลี่ยนไปมาก น้ำซับใต้ดินจึงลดน้อยลงไป
นักท่องเที่ยวบันทึกภาพโป่งเดือดเป็นที่ระลึก
โป่งเดือดมีบ่อน้ำพุร้อนหลักๆอยู่ 3 บ่อ บ่อใหญ่มีน้ำพุพ่นสูงประมาณเกือบ 2 เมตร ในเวลาเฉลี่ยประมาณทุกๆ 30 วินาที ว่ากันว่าถ้าไปปรบมือหรือตะโกนเสียงดังใกล้ๆบ่อน้ำพุ น้ำที่พุ่งขึ้นมาจะแรงกว่าปกติ แต่เท่าที่ผมลองไปปรบมือเรียกน้ำ ดูจะไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติสักเท่าไหร่ สงสัยเราคงปรบมือไกลไปหรือไม่ก็อาจจะปรบมือผิดคีย์ก็เป็นได้ แต่ปรบมือข้างเดียวนี่ยังไงก็ไม่ทำแน่นอน

สำหรับน้ำพุร้อนโป่งเดือดที่พวยพุ่งขึ้นมาดุจดังโชว์อันมหัศจรรย์ของธรรมชาตินั้น นอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินแล้ว ว่ากันว่ามันยังมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยรักษาโรคปวดข้อปวดเข่าอีกด้วย

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติ ซึ่งตั้งแต่มีมวลมนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นมา แม้ธรรมชาติจะให้คุณจะประเคนสารพัดประโยชน์ต่างๆนานา ให้กับมวลมนุษยชาติอย่างมากมาย แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มหนึ่งนอกจากจะไม่สำนึกในบุญคุณแล้ว พวกเขายังทำร้าย ทำลาย ตักตวง กอบโกย เอากับธรรมชาติแบบไม่บันยะบันยัง

นั่นจึงทำให้ใครหลายคนเชื่อว่า มหัตภัยจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงหลังๆนั้น เป็นการเอาคืนจากธรรมชาติ

เพราะที่ผ่านมามนุษย์เราได้กระทำกับธรรมชาติอย่างหนักหนาสาหัส มากจนเกินไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น