ช่วงหนาวๆ แบบนี้ คนส่วนใหญ่มักจะหนีร้อนจากกรุงเทพฯ ไปรับลมหนาวตามป่าตามเขาให้ชื่นใจ แต่สำหรับ “ตะลอนเที่ยว” ขอหนีผู้คนหลบมาพักกายพักใจ พร้อมไหว้พระขอพรรับปีใหม่เสริมสิริมงคล ที่ริมทะเลแบบสงบๆ ดีกว่า
แต่ถ้าจะให้ไปทะเลสุดฮิตอย่างหัวหิน ชะอำ พัทยา หรือบางแสน ก็คงจะมีคนมาเที่ยวเยอะอยู่ดี เลยขอเดินทางมาไกลอีกสักนิด ก็จะได้เจอทะเลสงบๆ อย่างที่ สัตหีบ
อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ทริปนี้ขอมาพักกายพักใจและไหว้พระเสริมมงคลรับขวัญปีใหม่ ฉะนั้นก็เลยขอมาเริ่มต้นกันที่ วัดสัตหีบ หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดหลวงพ่ออี๋ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระครูวรเวทมุนี หรือ หลวงพ่ออี๋ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากรรมฐาน และบริกรรมคาถา ท่านจึงได้ทำวัตถุมงคลแจกจ่ายชาวบ้านจำนวนมาก และที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ ปลัดขิก ที่พ่อค้าแม่ขายพากันพกติดตัวไว้ เพราะเชื่อในอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้ทำมาค้าขายรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา
เมื่อเข้าไปถึงวัดสัตหีบแล้ว ก็ต้องแวะเข้าไปสักการะรูปปั้นหลวงพ่ออี๋ขนาดเท่าตัวจริงภายในวิหาร ที่ชาวบ้านพร้อมใจกันสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่หลวงพ่ออี๋มรณภาพ รวมถึงไปสักการะพระประธานที่อยู่ในวิหาร จากนั้นก็เดินลงบันไดทางด้านขวาของวิหาร เพื่อไปชมเจดีย์ 100 ปีวัดสัตหีบ ที่ภายในมีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่
ออกจากวัดสัตหีบแล้วก็ไม่ต้องไปไหนไกล เลี้ยวขวาเข้าไปในเขตฐานทัพเรือ ทำการแลกบัตรให้เรียบร้อย แล้วก็ขับรถตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึง ศาลพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บนเขาแหลมปู่เจ้า
ถือว่าเป็นธรรมเนียมที่มาถึงสัตหีบ ถิ่นทหารเรือแล้ว ก็ต้องขึ้นมาบนยอดเขาแหลมปู่เจ้า เพื่อถวายสักการะพระรูปกรมหลวงชุมพรฯ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย ซึ่งภายในศาล นอกจากจะมีพระรูปจำลองแล้ว ก็ยังมีรูปหล่อจำลองพระครูวิมลคุณากร หรือ หลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ของพระองค์ท่านประดิษฐานอยู่ด้วย
และที่ด้านบนเขาแหลมปู่เจ้าแห่งนี้ ก็เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสัตหีบอีกจุดหนึ่ง จะได้เห็นเวิ้งอ่าว และน้ำทะเลสีครามไกลสุดลูกหูลูกตา ที่มองแล้วสบายตาเสียเหลือเกิน และถ้าเดินไปอีกด้านหนึ่งที่อยู่ข้างลานจอดรถก็จะเป็นวิวของอ่าวนาวิกโยธิน หาดเตยงาม และผาวชิราลงกรณ์
นอกจากนี้ หากว่าเดินเลยจากศาลเข้าไปด้านในจะเป็นลานจัดแสดงเรือจำลองชนิดต่างๆ ของกองทัพเรือ และที่ปลายสุดจะเป็นหอกระโจมไฟ ที่สามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ แต่ว่าห้ามถ่ายภาพหรือใช้กล้องส่องทางไกลส่องออกไปด้านนอก
ไหนๆ ก็มาถึงสัตหีบแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ขอแวะไปไหว้พระกันอีกสักแห่ง ซึ่งวัดนี้ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน หลายคนอาจจะรู้จักกันในชื่อวัดหลวงพ่อดำ หรือชื่อจริงๆ ก็คือ วัดช่องแสมสาร
ที่วัดช่องแสมสารนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นวิหารหลวงพ่อดำ และส่วนของตัววัด โดยที่เราขอขึ้นไปที่วิหารหลวงพ่อดำกันก่อน
วิหารหลวงพ่อดำตั้งอยู่บนเนินเขาสูงติดทะเล ในชุมชนช่องแสมสาร ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือกันมาช้านานแล้ว เนื่องจากความเลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อดำ หรือ พระสัมพุทธมหามุนีศรีคุณาศุภนิมิต ทุกครั้งที่จะออกทะเลชาวบ้านมักจะไปนมัสการและขอพรให้กลับมาโดยสวัสดิภาพ
หลวงพ่อดำประดิษฐานอยู่ในวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สูง 5 เมตร รูปใบหน้าอิ่มเอิบ ดวงตาทอดต่ำลงแผ่เมตตาให้กับคนที่เข้ามากราบไหว้ ส่วนตัววิหารเป็นวิหารจัตุรมุข ผนังด้านนอกเป็นภาพปูนปั้นเรื่องราวพุทธประวัติที่สวยงาม และทางด้านข้างของวิหารมีเจดีย์เก่าแก่นับร้อยปีตั้งอยู่ ส่วนอีกด้านที่อยู่ติดทะเล มีศาลพระพรหมให้ได้ไปสักการะกัน
ออกจากวิหารหลวงพ่อดำแล้ว ก็ไปกันต่อที่ส่วนของตัววัดช่องแสมสาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ภายในวัดนั้นมีสิ่งสำคัญที่จะต้องทำก็คือ การไปลอดโบสถ์พระราหูที่มีคติความเชื่อกันว่า โบสถ์มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นสถานที่ใช้ประกอบกิจทางศาสนา บวชพระ สวดปาฏิโมกข์ ล้วนแล้วเป็นมงคล ผู้ใดได้ลอดใต้โบสถ์จะพ้นจากภยันตราย ปราศจากสิ่งอัปมงคลทั้งปวง ล้างสิ่งอัปมงคล ถอนคุณไสย์ มนต์ดำ เคยเกิดปาฏิหาริย์คนป่วยรักษาไม่หายลอดโบสถ์หายเป็นปกติ แต่ว่าจะจริงหรือไม่นั้นก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ส่วน “ตะลอนเที่ยว” ก็ขอไปลอดโบสถ์กับเขาบ้าง อย่างน้อยก็ได้ความสบายใจกลับมา
และอีกที่หนึ่งในวัดที่ห้ามพลาดเช่นกันก็คือ ห้องน้ำของวัด ที่ตกแต่งได้อย่างสวยงามท่ามกลางต้นไม้ดอกไม้ ตัวห้องน้ำก็โปร่งโล่งสบาย ไม่เหมือนกับห้องน้ำในวัดที่เคยเห็นทั่วๆ ไป
มาเยือนถิ่นราชนาวีทั้งที ก็ขอไปร่วมชมอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกองทัพเรือ เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือบรรทุกอากาศยานลำแรกและลำเดียวของราชนาวีไทย ที่จอดทอดสมออยู่บริเวณท่าเรือจุกเสม็ด
ภารกิจหลักของเรือในยามสงบคือการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทะเล และภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล และกรณีประสบภัยอื่นๆ เช่น กรณีสึนามิในประเทศไทย หรือแม้แต่น้ำท่วมทางภาคใต้ที่เพิ่งเกิดขึ้น เรือหลวงจักรีนฤเบศรก็ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ ส่วนในยามที่มีศึกสงคราม เรือลำนี้ก็มีหน้าที่ควบคุมและบัญชาการกองเรือในทะเล รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติการทางการทหาร
เรารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเรือลำนี้เมื่อขึ้นมายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ซึ่งเป็นลานบินของอากาศยาน แม้ว่าแดดจะร้อนแรงขนาดไหน แต่ก็ได้เห็นเด็กๆ หลายคนวิ่งไปวิ่งมาอย่างสนุกสนาน ส่วนผู้ใหญ่หลายๆ คนก็ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งได้เคยมายืนอยู่บนเรือรบของไทยลำนี้ ซึ่งถ้าหากว่าอยากจะเข้าไปเยี่ยมชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร ก็ขอแนะนำให้ลองติดต่อไปก่อน เพราะบางครั้งเรืออาจจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจ ไม่ได้จอดอยู่ที่ท่าเรือ จะได้ไปกันไม่เสียเที่ยว
นอกจากภารกิจในการดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศแล้ว เหล่าทหารเรือก็ยังมีอีกหน้าที่สำคัญก็คือ การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ที่ราสามารถเข้าไปศึกษาได้จาก ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาดหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
ภายในศูนย์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ อาคารบรรยายให้ความรู้ เกี่ยวกับวงจรชีวิตของเต่าทะเล ข้อมูลการวางไข่เต่าทะเลในประเทศไทย เต่าทะเลชนิดต่างๆ และสถานการณ์ของเต่าทะเลในประเทศไทย
และอีกส่วนหนึ่งคือบ่ออนุบาลเต่าทะเลในช่วงอายุต่างๆ ซึ่งทางกองทัพเรือจะจัดเจ้าหน้าที่ เฝ้าตรวจประจำตามหาดต่าง ๆ บนเกาะคราม เกาะอีร้า และเกาะจาน เพื่อเฝ้าตรวจการลักลอบเก็บไข่เต่าทะเล การทำลายแหล่งขยายพันธุ์เต่าทะเล รวมทั้งการเก็บรวบรวมไข่เต่าทะเลจากหาดต่างๆ นำไปเพาะฟักในพื้นที่ ที่เตรียมไว้จนกระทั่งเกิดเป็นลูกเต่า หลังจากนั้นจึงจะอนุบาลลูกเต่าก่อนปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติต่อไป
ในส่วนที่เป็นบ่ออนุบาลนี้จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากผู้ที่เข้าชม ด้วยความน่ารักของลูกเต่าอายุเพียงไม่กี่วันที่ลอยอยู่นิ่งๆ ในบ่อ ส่วนบ่อถัดไปก็จะเป็นลูกเต่าที่โตขึ้นอีกเล็กน้อย และบ่อที่มีคนยืนล้อมรอบมากที่สุดก็คือบ่อที่มีเต่าอายุหลายสิบปี บางครั้งเต่าก็จะโผล่หน้าชูคอขึ้นมาอวดโฉมให้ได้ยลกันใกล้ๆ เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นระยะๆ
แต่ถ้าอยากจะถ่ายรูปกับเต่าแบบใกล้ชิด ก็ขอแนะนำให้เดินมาที่ชายหาดด้านหน้า จะเป็นรูปปั้นเต่าตัวโตสีสันสดใสอยู่ริมทะเล รอให้ได้เข้าไปถ่ายรูปกัน
และเมื่อมาถึงทะเลสัตหีบแล้ว จะไม่ไปเหยียบน้ำทะเลเสียหน่อยก็จะกระไรอยู่ “ตะลอนเที่ยว” เลยจะพาไปกันที่ หาดนางรำ ที่มีบรรยากาศร่มรื่นด้วยทิวสนยาวไปตามหาดประมาณ 200 เมตร ช่วงเย็นๆ หรือวันหยุดต่างๆ จะมีนักท่องเที่ยวและชาวบ้านในละแวกนี้มานั่งพักผ่อนรับลมทะเลเย็นสบาย แถมด้วยกิจกรรมที่มีให้เลือกทำอย่างหลากหลาย อีกทั้งอาหารการกินที่มีไว้บริการทั้งในส่วนของร้านค้าเอกชน และร้านอาหารของสโมสร ที่ล้วนแต่อร่อยไม่แพ้กัน
แต่ถ้าเดินเลาะชายหาดเข้าไปทางทิศใต้อีกนิด ก็จะรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในดินแดนวรรณคดีไทย เรื่องพระอภัยมณี เพราะมีทั้งรูปปั้นของพระอภัยมณี นางเงือก สินสมุทร สุดสาคร และผีเสื้อสมุทร อยู่บริเวณริมทะเล
อีกชายหาดที่อยากจะแนะนำให้ได้รู้จักกันก็คือ อ่าวดงตาล หาดที่เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ที่มีต้นตาลสูงเรียงรายริมหาดเหมือนกับชื่อของหาด มีสะพานท่าเทียบเรือยื่นลงไปในทะเล กิจกรรมที่มีให้ทำที่นี่นอกจากจะมาเล่นน้ำ เล่นบอลชายหาดแล้ว ก็ยังมีนวดตัว วาดภาพระบายสี และอาจจะได้มานั่งดูเรือใบที่แล่นอยู่กลางทะเล เพราะที่บริเวณอ่าวดงตาลแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสโมสรเรือใบ
อ้อ... แต่ก่อนจะกลับจากสัตหีบ ขอแวะส่งท้ายด้วยความเป็นสิริมงคลกันที่ เขาชีจรรย์ ซึ่งมีพระพุทธรูปแกะสลักในลักษณะพระพุทธฉายประดิษฐานอยู่ โดยสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
พระพุทธรูปองค์นี้ได้รับพระราชทานนามว่า “พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา” ซึ่งมีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรื่องสว่างประเสริฐ ดุจดังมหาวชิระ” เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตร ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา ขนาดความสูง 109 เมตร สร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคการยิงเลเซอร์ลงบนหน้าผา ที่เมื่อแสงแดดสาดส่องมาแล้วจะเห็นเป็นสีทองระยิบระยับไปทั่วทั้งองค์
พื้นที่รอบๆ จัดตกแต่งเป็นสวนหย่อมไว้ให้พักผ่อนคลายร้อนกันใต้ร่มไม้ใหญ่ มีที่ให้นั่งเล่นสบายๆ ชื่นชมกับความงดงามของพระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันให้เต็มตา
มาเที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพฯ แบบนี้ “ตะลอนเที่ยว” ก็ได้พักผ่อนทั้งกายทั้งใจ เหมือนได้ชาร์ตแบตเตอรี่ให้กับตัวเอง แถมยังได้เที่ยวในถิ่นราชนาวีไทยที่ทั้งปลอดภัยและสนุกสนานกันได้อย่างเต็มที่