xs
xsm
sm
md
lg

เสาหลักมึง รัฐไทยแม้ว/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
เสาหลักเมืองกรุงเทพฯพิเศษกว่าที่อื่นเพราะมี 2 เสาด้วยกัน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของคำว่าไพร่(หน้า 807)ไว้ดังนี้

“ไพร่” (โบ) น. ชาวเมือง, พลเมืองสามัญ; คนเลว.

เมื่อขยายความคร่าวๆ “ไพร่” เป็นคำนาม(น.) เป็นคำโบราณ(โบ) มี 3 ความหมายตามข้อความข้างต้น

ไพร่ กลายเป็นคำฮิตขึ้นมาทันทีเมื่อแกนนำคนเสื้อแดงพร้อมใจกันเปลี่ยนสถานะคนเสื้อแดงจากประชาชนคนธรรมดาให้กลายมาเป็นพวก“ไพร่”!!! (แต่ตอนหลังคำว่า“เหวง”ฮิตกว่า) ซึ่ง ณ วันนี้ คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยคงจะรู้เช่นเห็นชาติ เห็นถึงพฤติกรรมการประท้วงของพวก”ไพร่แดง”กันดีแล้วว่า ความเป็นไพร่(ขอเรียกตามเจตนารมย์คนเสื้อแดง)ของพวกเขาน่าจะจัดอยู่ในความหมายใด?

อย่างไรก็ตามไพร่แดงก็ได้สร้างความฮือฮาต่อสังคมด้วยมุก “เลือดไพร่” ที่เจาะเลือด(สูบเลือด)ของพลพรรคไปสาดหน้าทำเนียบ พรรคประชาธิปัตย์ และที่หน้าบ้านนายกฯ

เท่านั้นยังไม่พอไพร่แดงยังนำเลือดไพร่ที่เหลือค้าง บูด เหม็น ไปวาดรูปเขียนบทกวี โดยเจียดเลือดไพร่บางส่วนไปผสมวัสดุสร้างรูปปั้นลุงนวมทอง ไพรวัน และเจียดเลือดไพร่อีกส่วนหนึ่งไปผสมปูนสำหรับหล่อเป็นหลักเมือง และนำไปปักไว้ 4 ภาคทั่วประเทศ เพื่อหวังผลต่อการสร้าง“รัฐไทยใหม่”

หลายคนตั้งคำถามเรื่องการนำเลือดไพร่ไปผสมหล่อเป็นหลักเมืองว่า เหมาะสมหรือไม่? เพราะถ้าพิจารณาความสำคัญ หลักเมืองหรือเสาหลักเมืองถือเป็นศูนย์ยึดเหนี่ยวบ้านเมือง เป็นหลักบ้านหลักเมืองเพื่อความร่วมเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นมิ่งขวัญหลักชัยและเป็นขวัญกำลังใจของประชาชน

การสร้างเสาหลักเมืองไม่ใช่ใครนึกอยากเอามัน สะใจ ก็สร้างขึ้นมาได้อย่างพวกไพร่แดงกล่าวอ้าง แต่การสร้างเสาหลักเมืองนั้น ต้องดูชัยภูมิที่ตั้ง ดูฤกษ์ยามสำคัญ วัสดุที่ใช้ก็ต้องคัดสรรเลือกสรรอย่างดี(ส่วนใหญ่เป็นไม้ชัยพฤกษ์) ต้องออกแบบอย่างสวยงามตามหลักมงคลชัย ส่วนการยก(ตั้ง)เสาหลักเมืองนั้นต้องพิธีอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ซึ่งผู้เป็นประธานในการสมโภชน์หลักเมืองเจิมเสายอดหลักเมือง นับจากอดีตถึงปัจจุบันก็คือ พระมหากษัตริย์ เจ้าเมือง ผู้แทนพระองค์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ พราหมณ์

เพราะฉะนั้นการที่พวกไพร่แดงทั้งหลายคิดจะตั้งเสาหลักเมือง ตั้งรัฐขึ้นมาเอง นอกจากเป็นการไม่บังควรแล้ว ยังเป็นการ“บังอาจ”และ”เหิมเกริม”อย่างร้ายกาจอีกด้วย

1...


หากพูดถึงเสาหลักเมืองที่สำคัญที่สุดในบ้านเราคงจะหนีไม่พ้น “เสาหลักเมืองกรุงเทพฯ” เพราะเป็นทั้งเสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์และเสาหลักเมืองประเทศ แถมยังเป็นเสาหลักเมืองที่ 2 เสาอีกต่างหาก(เรื่องนี้ผมจะกล่าวถึงต่อไปในช่วงหน้า)

สำหรับเสาหลักเมืองกรุงเทพฯมีประวัติความเป็นมาคร่าวๆดังนี้

หลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ท่านทรงสั่งให้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีฝั่งตะวันตกมาฝั่งตะวันออก เพื่อสถาปนาเป็นเมืองหลวงใหม่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งตามประเพณีโบราณการสร้างเมืองสำคัญจำเป็นต้องมีการยกหลักเมืองขึ้น

พระองค์ท่านจึงโปรดเกล้าฯให้ทำพิธียกเสาหลักเมืองสถาปนาพระนครใหม่(กรุงเทพฯ)ขึ้น ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 โดยใช้ไม้ชัยพฤกษ์ทำเป็นเสาหลักเมือง ประกอบด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 75 ซ. สูง 27 ซม. และกำหนดให้ความสูงของเสาหลักเมืองอยู่พ้นดิน 10 นิ้ว ฝังลงในดินลึก 79 นิ้ว มีเม็ดยอดรูปบัวตูม สวมลงบนเสาหลัก ลงรักปิดทอง ล้วงภายในไว้เป็นช่องสำหรับบรรจุดวงชะตาเมือง

ส่วนลักษณะของศาลหลักเมืองในยุคนั้นเป็นเช่นไรไม่มีหลักฐานยืนยัน ซึ่ง ส.พลายน้อย ได้เขียนไว้ว่า เข้าใจกันว่าในชั้นเดิมคงเป็นเพียงศาลาปลูกกันแดดกันฝนแบบธรรมดา เพราะเป็นการรีบด่วนบ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย...

ต่อมาใน พ.ศ. 2379สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงตรวจดวงพระชะตาของพระองค์พบว่าเป็นอริแก่ลัคนาดวงเมือง จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างเสาหลักเมืองขึ้นใหม่อีก 1 ต้น เพื่อแก้เคล็ด พร้อมบรรจุดวงชะตาเมืองขึ้นมาใหม่

หลังจากนั้นศาลหลักเมืองก็ได้มีการปรับปรุงบูรณะตามความเหมาะสมเรื่อยมา จนกลายเป็นศาลหลักเมืองอันสวยงามดังเช่นในปัจจุบัน ซึ่งแต่ละวันมีผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมากราบไหว้ขอพรพระหลักเมืองอยู่ไม่ได้ขาด เพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นหลักชัยในการดำรงชีวิต

2...

การสร้างเสาหลักเมืองตามโบราณพิธีนอกจากจะมีความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งมงคลต่างๆแล้ว ยังมีความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์อาถรรพ์ลี้ลับอีกด้วย โดยเฉพาะเรื่องการนำคนเป็นๆฝังลงไปในหลุมหลักเมือง ดังตัวอย่าง การยกหลักเมืองใหม่ถลาง(ภูเก็ต)ที่มีเรื่องเล่าว่า ได้มีการให้แม่หลักเมือง(ผู้จะเป็นแม่หลักเมืองได้ต้องเป็นคนสี่หูสี่ตาซึ่งก็คือคนมีครรภ์นั่นเอง)คือนางนาค ท้อง 8 เดือน ไปกระโดดหลุมก่อนฝังกลบเสาหลักเมืองตาม

หรืออย่างเรื่องเล่าที่นิยมกันแพร่หลายก็คือ การสร้างเมืองต้องฝังอาถรรพ์ 4 ประตูเมือง ด้วยการนำ
คนเป็นๆ ที่ชื่อว่า อิน จัน มั่น คงฝังในหลุมเพื่อให้เป็นผู้ดูแลรักษาบ้านเมือง ซึ่งจะมีการปล่าวประกาศร้อง ใครขานรับก็ถูกจับลงหลุม

อย่างไรก็ดี สำหรับเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ แม้ไม่มีเรื่องเล่าเหล่านี้แต่ว่าก็มีเรื่องเล่าชวนพิศวงว่า ตอนทำพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงหลุม ได้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ขึ้นเมื่อจู่ๆก็มีงูเล็ก 4 ตัวมาจากไหนไม่รู้เลื้อยลงไปในหลุม ซึ่งเมื่อหางูดังกล่าวในก้นหลุมปรากฏว่าหาไม่พบ ทำให้ต้องเลยตามเลยนำเสาลงหลุมและฝังกลบดินโดยปล่อยให้งูทั้ง 4 อยู่ในหลุมอย่างไม่รู้ชะตากรรม

สำหรับเรื่องเล่าเหล่านี้แม้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ความเชื่อในเรื่องอาถรรพ์สิ่งลี้ลับที่พิสูจน์ไม่ได้นั้นอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านานแล้ว

3...

การนำเลือดค้างเก่าไปผสมปูนสร้างหลักเมืองตามนโยบายรัฐไทยใหม่ของพวกไพร่แดง นอกจากจะเป็นการบังอาจเหิมเกริมแล้ว คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับอีกด้วย(มีเห็นด้วยก็พวกเสื้อแดงเพียงหยิบมือเท่านั้น)เพราะเสาหลักเมืองนั้นมีความศักด์สิทธิ์และสำคัญเกินกว่าพวกไพร่แดงจะหยิบมาใช้ปั่นอีเวนต์

ถึงพวกเขาจะสร้างจริง เสาที่สร้างคงเป็นได้แค่“เสาหลักมึง” เท่านั้น

ส่วนเรื่องการตั้ง“รัฐไทยใหม่”นั้น ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าใครหน้าไหนมิอาจมาแบ่งแยก แต่ถ้าใครคิดจะแบ่งแยกมันผู้นั้นย่อมเป็น“กบฏ”สถานเดียว

อย่างไรก็ตามถ้าพวกไพร่แดงส่วนคนไหนไม่พอใจการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศนี้ พวกเขาก็สามารถย้ายก้นตัวเองไปอยู่กับ“พ่อแม้ว” แล้วจึงค่อยตั้ง“รัฐไทยแม้ว”ขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ว่าท้ายที่สุดแล้ว อาจจะต้องเดินทางไปสร้างรัฐใหม่กันในนอกโลก เพราะบนโลกนี้เหลือพื้นที่ยืนให้กับพ่อแม้วน้อยเต็มที

ต่อจากนั้นใครอยากจะสร้างเสาหลักมึงขึ้นมาสักกี่เสาก็เชิญตามสบาย ซึ่งทางที่ดีควรสร้างตามความเชื่อแบบโบราณด้วยการให้บรรดาแกนนำไพร่แดงตัวเป็นๆทั้งหลาย กระโดดลงไปในหลุมแล้วยกเสาหลักมึงฝังกลบ เพื่อที่จะได้แก้ข้อครหาว่าพวกเขาคือนักสู้เพื่ออุดมการณ์(แดง)ไม่ใช่พวกสู้แล้วรวยที่เก่งแต่ปลุกระดมหลอกใช้มวลชนไปวันๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น