xs
xsm
sm
md
lg

ราคะศิลป์-ช่างซุกซน บนพนมรุ้ง/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ส่องแสงลอดประตู 15 ช่อง(ภาพ : ททท.)
บุรีรัมย์ มีอะไรน่าสนใจมากกว่ายี้ห้อยและเฒ่าสารพัดพิษเยอะเลย โดยเฉพาะปราสาทหิน ที่นี่มีปราสาทหินระดับสุดยอดของเมืองไทยอยู่ถึง 2 แห่งด้วยกัน คือ ปราสาทหินพนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ และปราสาทเมืองต่ำ อ.ประโคนชัย

ปราสาทหินพนมรุ้ง ได้ชื่อว่า “สวยงามที่สุดในเมืองไทย” ส่วนปราสาทเมืองต่ำได้ชื่อว่า เป็นปราสาท“สุดคลาสสิค”

สำหรับช่วงนี้ปราสาทหินพนมรุ้งมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ(นอกจากความน่าสนใจตามปกติที่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว) เพราะที่นี่จะเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ “ขึ้น”ส่องแสงลอดผ่านประตูทั้ง 15 ช่องของปราสาท ซึ่งปีนี้ทางจังหวัดคำนวณว่าจะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้นในวันที่ 2-4 เมษายน ในขณะที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์คำนวณว่าจะเกิดในวันที่ 3-5 เมษายน
ปราสาทหินพนมรุ้ง ความน่าทึ่งของคนโบราณ
ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ส่องแสงลอดผ่านประตูทั้ง 15 ช่องนี้ หนึ่งปีจะเกิดเพียง 4 ครั้ง คือ ขึ้น 2 ครั้ง(อีกครั้งในราวเดือน ก.ย.) ตก 2 ครั้ง(มี.ค.และ ต.ค.) ครั้งนี้นอกจากจะเป็นพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงลอดผ่านประตูครั้งแรกแล้ว ยังเป็นครั้งที่ ก.วิทย์บอกว่าสามารถเห็นได้ชัดที่สุดเนื่องจากท้องฟ้าปลอดโปร่ง

หลายคนมองว่านี่เป็นปรากฏการณ์ “มหัศจรรย์” ในขณะที่อีกหลายคนมองว่านี่คือความ“น่าทึ่ง” ของคนโบราณ เพราะทีมงานผู้สร้างนั้นสามารถใช้ภูมิปัญญาอันชาญฉลาด คำนวณหลักการทางดาราศาสตร์ผสมกับศาสตร์ทางสถาปัตยกรรม ก่อนใช้ความสามารถเชิงช่างสร้างเป็นปราสาทหินพนมรุ้งอันสุดวิจิตรอลังการขึ้นมา โดยสันนิษฐานผู้สร้างน่าจะเป็น “พระเจ้านเรนทราทิตย์” แห่งราชวงศ์มหิทธรปุระ ใน พ.ศ. 15เพื่อให้เป็นดังทิพยวิมานของพระศิวะบนเขาไกรลาสและเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพของพระองค์หลังสิ้นชีวิต
ปราสาทพนมรุ้ง ทิพยวิมานบนปากปล่องภูเขาไฟ
นอกจากความน่าทึ่งด้านโหราศาสตร์แล้ว ปราสาทหินพนมรุ้งยังมีความน่าทึ่งในภูมิปัญญาโบราณปรากฏให้เห็นอีกหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ชัยภูมิที่ตั้งที่ผู้สร้างเลือกสร้างบนยอดเขาปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว เพื่อถวายเป็นกุศลแด่พระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ที่ในศิลาจารึกได้ระบุว่าภูเขาลูกนี้ ชื่อ “วน ํรุง” ที่หมายถึงพนมรุ้ง หรือภูเขาอันกว้างใหญ่ รุ่งเรือง มีแสง ซึ่ง รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ได้ให้ทัศนะไว้ในบทความ“รอบๆภูพนมรุ้ง” ในหนังสือที่เขียนถึงปราสาทหินพนมรุ้งในหลากหลายด้านว่า

...บริเวณยอดเขาพนมรุ้งคงเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของคนในท้องถิ่นนี้ อาจจะเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าประจำถิ่นก็ได้ แต่เมื่อผู้นำท้องถิ่นเกิดมีความสำคัญจนถึงขนาดเป็นพระญาติผู้ใหญ่ของพระมหากษัตริย์แห่งเมืองพระนคร การเปลี่ยนแปลงฐานะของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าประจำท้องถิ่นก็เกิดขึ้นตามมา...
ทางเดินสู่ปราสาทประธานที่เปรียบดังเดินสู่สรวงสวรรค์
รศ.ศรีศักร ยังให้ความเห็นอีกว่า การที่คนโบราณเลือกทำเลที่ตั้งแหล่งศาสนสถานบนยอดภูเขาไฟนั้น ไม่จำเป็นต้องรู้มาก่อนว่าเคยเป็นภูเขาไปหรือไม่ หากแต่พวกเขาน่าจะคำนึงถึงความเหมาะสมมากกว่า เพราะเป็นบริเวณที่ไม่สูงเกินไป ขึ้น-ลง สะดวก แถมยังมีปล่องที่กลายเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติให้ใช้อุปโภคบริโภค ในขณะที่รอบๆภูเขาไฟก็สามารถทำการเพาะปลูกได้ดีเพราะเป็นที่ราบลุ่ม มีดินภูเขาไฟอันอุดมสมบูรณ์

นอกจากชัยภูมิที่ตั้งอันวิเศษแล้ว การออกแบบวางผังก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน คือเป็นแผนผังแบบตรงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง มีปราสาทประธานเป็นหัวใจสำคัญ

อย่างไรก็ตามในแผนผังการออกแบบนั้นถ้ามองดูแปลนแบบ 2 มิติ หลายคนอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่ว่าเมื่อได้ลงไปเดินในของจริงนี่สิ สุดยอดเลย เพราะเป็นการสร้างศาสนสถานตามลักษณะลดหลั่นกันไปของภูมิประเทศ การเดินขึ้นไปยังปราสาทประธานจะต้องผ่านองค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวโยงกับคติความเชื่อทางศาสนา อาทิ ทางเดิน เสานางเรียง สะพานนาค ชานพัก ซุ้มประตู รูปปั้นเทวรูปต่างๆ ดุจดังการเดินจากโลกมนุษย์สู่สรวงสวรรค์
ภาพศิวะนาฏราช(บน)และภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์(ล่าง)
ความน่าทึ่งอีกอย่างของปราสาทหินพนมรุ้งก็คือ ฝีมือเชิงช่างที่สามารถนำวัสดุอย่างหินทรายและศิลาแลงมาตัดแต่ง สลักเสลาเป็นตัวปราสาทและองค์ประกอบอื่นๆได้อย่างงดงามสมส่วน ซึ่ง รศ.ศรีศักรได้เขียนไว้ในบทความเดียวกับที่กล่าวถึงในข้างต้นว่า...ปราสาทพนมรุ้งสร้างขึ้นด้วยฝีมือช่างหลวง มีความงดงามทัดเทียมกับบรรดาปราสาทที่พบในเมืองพระนครทีเดียว...

นั่นจึงทำให้เราได้เห็นบรรดาช่างหลวง(ตามทัศนะของรศ.ศรีศักร)ฝากฝีไม้ลายมืออันเป็นเอกอุไว้ในผลงานการสลักเสลามากมายทั้งรูปปั้นต่างๆ และงานสลักหินตามทับหลัง หน้าบัน และส่วนต่างๆ ถือเป็นงานฝีมือชั้นเทพที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ทำให้ปราสาทหินพนมรุ้งมีเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและมนต์เสน่ห์อยู่มิรู้เบื่อ ทั้งเรื่องราวความเชื่อในศาสนา เรื่องราวในรามายณะและมหาภารตะ 2 มหากาพย์อันยิ่งใหญ่ของอินเดีย
นี่ก็เป็นอีกภาพที่ชวนให้ผู้พบเห็นฉงน
โดยผลงานสลักหินที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งปราสาทหินก็คือ 2 ภาพที่อยู่เคียงคู่กัน อย่าง “ภาพศิวะนาฏราช” (บนหน้าบัน)กำลังร่ายรำเพื่อบันดาลให้เกิดผลดีหรือร้ายต่อโลกตามอารมณ์ของพระศิวะ และ“ภาพ(ทับหลัง)นารายณ์บรรทมสินธุ์”กำลังบรรทม(นอน)ตะแคงขวาบนพระยาอนันตนาคราชพร้อมด้วยองค์ประกอบอื่นๆ อย่าง หน้ากาล ครุฑ นกแก้ว ลิง

ในขณะที่ภาพสลักหินน่าสนใจอื่นๆก็มีอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ภาพอุมามเหศวร ภาพศิวะมหาเทพ ภาพพระศิวะและพระอุมาประทานพรแก่อสูร ภาพพระนารายณ์ทรงสุบรรณ เป็นต้น นอกจากนี้ปราสาทแห่งนี้ ยังมีงานสลักหินชวนมอง อย่าง ภาพวิถี-กิจวัตร ของพราหมณ์ นักบวช ฤาษี และผลงานภาพอันเกิดจากความขี้เล่น ซุกซน ปนอารมณ์ขันของช่างกับภาพแนว “ราคะศิลป์” ที่ชวนค้นหาไม่น้อย เพราะภาพเหล่านี้จะแอบแฝงอยู่ตามซอกมุมต่างๆ
ภาพฤาษี ราคะศิลป์
โดยภาพแนวนี้ที่ต้องใช้สายตาสังเกตค้นหาให้ดีๆก็มี ภาพฤาษี 2 ตน นั่งไขว่ห้างหันหลังชนกันแบบมีภาพสิ่งบางอย่างโผล่มาใต้ขาของฤาษีตนซ้ายชนิดที่ทำสาวๆเห็นแล้วหน้าแดง ภาพคู่ของนก กระรอก และภาพลิง 2 ตัวโชว์ลีลาขี่กันบนต้นไม้ ชนิดที่ใครเห็นก็เดาได้ไม่ยากว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ซึ่งสำหรับภาพแนวราคะศิลป์นั้น ถือเป็นการสร้างสรรค์ที่แตกต่างระหว่างช่างในเขตแดนไทยกับทางฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน กัมพูชา เพราะในฝั่งกัมพูชานั้นงานจะเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ส่วนฝั่งไทยจะมีลูกเล่นทางเชิงช่างปรากฏมาในภาพเหล่านี้พอเป็นสีสัน ชนิดที่เจ้าหน้าที่กรมศิลป์คนหนึ่งบอกกับผมว่า

“ช่างโบราณบ้านเราสมัยก่อนเปรี้ยวไม่เบาเลย”
หนู 2 ตัวนี้ทำอะไรกัน
แต่ถึงจะเปรี้ยวอย่างไร แต่กับผลงานโดยรวมของปราสาทหินพนมรุ้งแล้วถือว่าทีมช่างผู้สร้างสามารถสร้างสรรค์ผลงานในระดับมาสเตอร์พีชให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าในยุคนั้นจะไม่มีเทคโนโลยีทันสมัย ไม่มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือไฮเทค ทว่าพวกเขากับเนรมิตปราสาทหินพนมรุ้งที่เป็นดังทิพวิมานบนปากปล่องภูเขาไปออกมาได้อย่างอลังการ สวยงาม น่าทึ่ง

ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนเกิดจาก “ศรัทธา” นั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น