โดย : หมวยเกี๊ยะ
“ฟิลิปปินส์” หรือ “สาธารณรัฐฟิลิปปินส์” (Republic of the Philippines) เป็นประเทศหมู่เกาะที่มีเกาะถึง7,107 เกาะ เป็นอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยของเรา ที่มีความน่าสนใจเดินทางไปเที่ยว โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบท่องเที่ยวเชิงศึกษาประวัติศาตร์และวัฒนธรรม
ฟิลิปปินส์มีความโดดเด่นในเรื่องของวัฒนธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดเอาวัฒธรรมหลายอย่างมาจากสเปนและอเมริกาในยุคอาณานิคมมามาก ทำให้ฟิลิปปินส์มีความผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่รวมเอาทั้งความเป็นตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน ซึ่งชวนเชิญให้น่าเดินทางไปสัมผัสและรู้จักกับประเทศฟิลิปปินส์ให้มากขึ้น
โดยถ้าอยากจะมาเที่ยวและสัมผัสให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรมความเป็นมาของฟิลิปปินส์ ก็คงจะต้องเดินทางมายังเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ นั่นคือ “มะนิลา” (Manila) ตั้งอยู่บนเกาะลูซอน เดิมมีชื่อเรียกว่า “ไมนีลัด” เพราะมีต้นนีลัด ออกดอกสีขาวพราวไปหมด
กรุงมะนิลา ถือว่าเป็นเมืองท่าที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำปาซิก (Pasig) เมื่อครั้งตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของประเทศสเปนได้รับสมญานามว่า "ไข่มุกแห่งบูรพา" (Pearl of the Orient) แต่ในปัจจุบันนี้มะนิลา เป็นเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการค้า การอุตสาหกรรม รวมไปถึงการท่องเที่ยวที่สำคัญของฟิลิปปินส์ โดยมีที่สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวมากมาย ซึ่งฉันก็ขอเลือกที่จะพาไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ที่ไม่ควรพลาดไปเที่ยมชมกัน
เริ่มจากขอพาไปเที่ยวย้อนสู่อดีตกาลสัมผัสกับความเป็นฟิลิปปินส์เมื่อสมัยอยู่ในยุคอาณานิคมกันที่ “อินทรามูรอส” (Intramuros) ริมแม่น้ำฟาร์ซิค ไรซัล (RizalPark) ถูกสร้างขึ้น เมื่อปีค.ศ. 1571 โดยกลุ่มชาวสเปนที่จะเข้ายึดครองเม็กซิโกและเปรูที่มีผู้นำคือ Miguel Lopez de Legaz การสร้างนี้ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มโจรสลัดหลายๆกลุ่มทั้ง จีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และโปรตุเกส อินทรามูรอสเคยถูกเปลี่ยนมือไปสู่การดูแลของอังกฤษในช่วงปีค.ศ. 1762 ก่อนที่สเปนจะตีคืนมาได้ในสองปีถัดมา และอินทรามูรอสก็ถูกเปลี่ยนมืออีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 1898 ก่อนที่จะถูกญี่ปุ่นเข้าทำลายและยึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากผ่านทั้งพายุ แผ่นดินไหว ไฟไหม้และสงคราม อินทรามูรอสก็แทบจะไม่เหลืออะไรและกลายเป็นเมืองร้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ทางการจะยื่นมือเข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์จนมีสภาพดีขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
ภายในอินทรามูรอส (Intramuros) มีลักษณะเป็นป้อมปราการและกำแพงคูเมือง เป็นศูนย์กลางในการปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา และการค้าในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึงปลายศตวรรษที่ 19 ถูกสร้างเพื่อให้มีลักษณะเหมือนเมืองในสมัยยุโรปยุคกลางที่มีกำแพงล้อมรอบ มีคูค่ายป้อมยามกั้นมิดชิด และความเจริญทุกอย่างก็กระจุกตัวกันอยู่ภายใน ซึ่งภายในพื้นที่ประมาณ 395 ไร่ จะถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูง ด้านในประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย โบสถ์ โรงเรียน และสถานที่ราชการ รวมทั้งยังมีสถานที่ที่น่าชมอีกมากมากมาย
อย่างที่จะพาไปเที่ยวกันก็คือ “ป้อมซานติเอโก” (Fort Santiago) เป็นป้อมปราการที่ถือว่าเป็นด่านแรกที่ป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ที่เข้ามาทางปากแม่น้ำปาซิกจากอ่าวมะนิลา ป้อมแห่งนี้ถูกทำลายจากการโจมตีของกองทัพสหรัฐ แต่ต่อมาถูกบูรณะซ่อมแซมเพื่อให้เป็นปูชนียสถานแห่งเสรีภาพ ซึ่งบริเวณรอบป้อมจะมีสวนหย่อมให้ได้เดินเที่ยวกันอย่างเพลิดเพลิน หรือถ้าใครกลัวเมื่อยก็มีรถม้าบริการให้นั่ง วิ่งพาชมความสวยงามรอบบริเวณ ซึ่งยังมีสถานที่คุมขังนักโทษ ที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำปากแม่น้ำปาซิกให้ได้ชม
จากป้อมซานติเอโก เดินทางมาชมความงามของ “โบสถ์ซานอากุสติน” (San Agustin Church) ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1599 ตามแบบสถาปัตยกรรมสเปน สร้างด้วยหินทั้งหลังมีความสง่างาม เป็นสิ่งปลูกสร้างหนึ่งเดียวภายในอินทรามูรอสที่ไม่ถูกระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่าได้สูญเสียหนึ่งในหอระฆังแฝดไปในแผ่นดินไหวปีค.ศ. 1863 และปีค.ศ. 1889 และโบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นถึงสามครั้ง ซึ่งสองครั้งแรกถูกไฟไหม้ไป
โบสถ์ซานอากุสติน มีความสวยงามสะดุดตาไม่น้อย ผนังโบสถ์ด้านหน้าชวนมองด้วยสไตล์ที่นำเสาดอริกเกลี้ยงๆ มารองรับหัวเสาแบบโครินเธียน บานประตูใหญ่แกะสลักเป็นรูปนักบุญออกุสตินกับนักบุญโมนีกาผู้มารดาได้งดงามน่าทึ่งด้วยไม้ตีนนกเนื้อแข็งของฟิลิปปินส์ และใกล้ๆ กับโบสถ์ยังมีสำนักสงฆ์และพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสมบัติล้ำค่าไว้ให้ได้ชื่นชมกัน อาทิ โบราณวัตถุของฟิลิปปินส์ งานศาสนศิลป์ และเครื่องปั้นดินเผาของจีน สเปน และเม็กซิกัน
ถัดจากโบสถ์ซานอากุสติน มาเที่ยวอีกหนึ่งโบสถ์เก่าแก่ที่สำคัญของมะนิลา นั่นคือ “โบสถ์มะนิลา” (Manila Cathedral) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปนเมื่อปีค.ศ. 1579 โดยพระประสงค์ของพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 โบสถ์แห่งนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 400 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกเผา ไฟไหม้ แผ่นดินไหว และการทิ้งระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงตั้งตัวอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าคู่กรุงมะนิลาได้อย่างงดงาม เป็นศาสนสถานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาตร์อันน่าชื่นชม
เมื่อได้ชมโบสถ์สวยๆ กันจนอิ่มใจแล้ว มาเที่ยวกันต่อที่ “คาซา มะนิลา” (Casa Manila) ที่นี่เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงชาวสเปนเมื่ออดีต ซึ่งถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หากเดินไปตามถนนสายเล็กๆ สองฝากฝั่งถนนจะมีตึกทรงโบราณแบบสเปนที่สวยงามแปลกตาให้ได้ชม หากได้เดินเข้าไปชมภายในบ้านโบราณจะเห็นความสวยงามของบ้านที่อวดไม้เนื้อแข็งสวยๆ ทั้งหลัง แถมด้วยหน้าต่างบานเลื่อนเปลือกหอยมุก และภายในบ้านมีการจัดแสดงห้องต่างๆ ไว้ มีการจัดเฟอร์นิเจอร์ที่จำลองวีถีชีวิตความเป็นอยู่จริงๆในสมัยนั้นให้ได้ชมกัน ซึ่งเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ดูสวยงามมาก และยังมีห้องใต้ดิน รวมถึงมีลานสวนสวยๆให้ได้ยลกันด้วย
หลังจากได้เดินชมความสวยงามของย่านคาซา มะนิลากันแล้ว มาเดินเที่ยวออกกำลังกายขากันต่อที่ “สวนไรซาล” (Rizal Park) หรือเรียกอีกชื่อว่า “ลูเนตา” (Luneta) เป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ของกรุงมะนิลา และภายในสวนยังเป็นที่ตั้งของ “อนุสาวรีย์ โฮเซ่ ไรซาล” (Jose Rizal) ซึ่งเป็นผู้นำในการปลดแอกฟิลิปปินส์จากสเปนในช่วง ปีค.ศ.1896-1898 และในบริเวณเดียวกันก็เป็นจุดที่ฟิลิปปินส์ประกาศอิสรภาพเหนือสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1941 และอนุสาวรีย์นี้ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นหลักกิโลเมตรสำหรับนับระยะถนนทุกสายในเกาะลูซอนอันใหญ่โตที่สุดของฟิลิปปินส์อีกด้วย
เดินเล่นภายในสวนไรซาลได้สูดอากาศบริสทธิ์จนเต็มปอดแล้ว ขอพาไปเที่ยวพิพิภัณฑ์กันที่ “พิพิธภัณฑ์บาไฮชีนอย” (Bahay Tsinoy) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนท้องถิ่น หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นชนเมืองจีนพื้นเมืองของชาวฟิลิปปินส์ก็ว่าได้ ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ถูกจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ไว้หลายโซน โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านหุ่นจำลองมากมาย ได้อย่างน่าสนใจ เรียกว่ากลับออกไปได้รับความรู้ติดกายกลับไปด้วย
หลังจากที่ได้พาไปเที่ยวยังสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์มาหลายที่แล้ว ขอเปลี่ยนบรรยากาศพาไปเที่ยวยังสถานที่สนุกสนานอย่างโลกใต้ท้องทะเลกันบ้างที่ “โอเชี่ยนปาร์ค” (Manila Ocean Park) เป็นโอเชี่ยนปาร์คขนาดใหญ่ ที่ด้านในจะได้สัมผัสถึงความเป็นอยู่อาศัยของสัตว์ทะเลนานาชนิดหลากหลายสายพันธุ์ มีปลามากมายให้ได้ชมอย่างตื่นตา ตื่นใจ มีสัตว์น้ำแปลกๆ ที่หาชมได้ยาก รวมถึงยังมีแนวปะการังเทียมที่จัดแสดงไว้ได้อย่างเหมือนจริง และภายในโอเชี่ยนปาร์คมีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ มีอุโมงค์ที่มีทางเดินยาวกว่า 25 ม. คล้ายกับที่สยามโอเชี่ยนเวิร์ด ห้างสยามพารากอนของไทยเรา ซึ่งภายในอุโมงค์นี้มีปลาจำนวนมากมายแหวกว่ายไปมาให้ได้ชมกันแบบใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาฉลาม ปลากระเบน
ครั้นได้ชมโลกของท้องทะเลกันอย่างเพลิดเพลินแล้ว ก็ขอเอาใจนักท่องเที่ยวที่ชอบชอปปิ้งกันสักหน่อย โดยขอพามาที่ "มาคาติ" (Makati) แหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงและเป็นย่านธุรกิจชั้นนำของกรุงมะนิลา มีโรงแรมระดับ 5 ดาวมากมาย รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หลายที่ ซึ่งสาวกนักชอปทั้งหลายจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกทั้งสินค้าพื้นเมือง และสินค้าแบรนด์เนมอันหลากหลายกันได้แบบสบายใจ และที่เที่ยวทั้งหลายที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวภายในกรุงมะนิลาที่มีมากมาย ซึ่งหากว่าใครมีเวลาท่องเที่ยวแบบสั้นๆ ไม่กี่วัน ฉันว่ากรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์เพื่อนบ้านของไทยเราก็น่าเดินทางมาเที่ยวไม่น้อยเลย
“ฟิลิปปินส์” หรือ “สาธารณรัฐฟิลิปปินส์” (Republic of the Philippines) เป็นประเทศหมู่เกาะที่มีเกาะถึง7,107 เกาะ เป็นอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยของเรา ที่มีความน่าสนใจเดินทางไปเที่ยว โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบท่องเที่ยวเชิงศึกษาประวัติศาตร์และวัฒนธรรม
ฟิลิปปินส์มีความโดดเด่นในเรื่องของวัฒนธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดเอาวัฒธรรมหลายอย่างมาจากสเปนและอเมริกาในยุคอาณานิคมมามาก ทำให้ฟิลิปปินส์มีความผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่รวมเอาทั้งความเป็นตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน ซึ่งชวนเชิญให้น่าเดินทางไปสัมผัสและรู้จักกับประเทศฟิลิปปินส์ให้มากขึ้น
โดยถ้าอยากจะมาเที่ยวและสัมผัสให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรมความเป็นมาของฟิลิปปินส์ ก็คงจะต้องเดินทางมายังเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ นั่นคือ “มะนิลา” (Manila) ตั้งอยู่บนเกาะลูซอน เดิมมีชื่อเรียกว่า “ไมนีลัด” เพราะมีต้นนีลัด ออกดอกสีขาวพราวไปหมด
กรุงมะนิลา ถือว่าเป็นเมืองท่าที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำปาซิก (Pasig) เมื่อครั้งตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของประเทศสเปนได้รับสมญานามว่า "ไข่มุกแห่งบูรพา" (Pearl of the Orient) แต่ในปัจจุบันนี้มะนิลา เป็นเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการค้า การอุตสาหกรรม รวมไปถึงการท่องเที่ยวที่สำคัญของฟิลิปปินส์ โดยมีที่สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวมากมาย ซึ่งฉันก็ขอเลือกที่จะพาไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ที่ไม่ควรพลาดไปเที่ยมชมกัน
เริ่มจากขอพาไปเที่ยวย้อนสู่อดีตกาลสัมผัสกับความเป็นฟิลิปปินส์เมื่อสมัยอยู่ในยุคอาณานิคมกันที่ “อินทรามูรอส” (Intramuros) ริมแม่น้ำฟาร์ซิค ไรซัล (RizalPark) ถูกสร้างขึ้น เมื่อปีค.ศ. 1571 โดยกลุ่มชาวสเปนที่จะเข้ายึดครองเม็กซิโกและเปรูที่มีผู้นำคือ Miguel Lopez de Legaz การสร้างนี้ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มโจรสลัดหลายๆกลุ่มทั้ง จีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และโปรตุเกส อินทรามูรอสเคยถูกเปลี่ยนมือไปสู่การดูแลของอังกฤษในช่วงปีค.ศ. 1762 ก่อนที่สเปนจะตีคืนมาได้ในสองปีถัดมา และอินทรามูรอสก็ถูกเปลี่ยนมืออีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 1898 ก่อนที่จะถูกญี่ปุ่นเข้าทำลายและยึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากผ่านทั้งพายุ แผ่นดินไหว ไฟไหม้และสงคราม อินทรามูรอสก็แทบจะไม่เหลืออะไรและกลายเป็นเมืองร้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ทางการจะยื่นมือเข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์จนมีสภาพดีขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
ภายในอินทรามูรอส (Intramuros) มีลักษณะเป็นป้อมปราการและกำแพงคูเมือง เป็นศูนย์กลางในการปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา และการค้าในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึงปลายศตวรรษที่ 19 ถูกสร้างเพื่อให้มีลักษณะเหมือนเมืองในสมัยยุโรปยุคกลางที่มีกำแพงล้อมรอบ มีคูค่ายป้อมยามกั้นมิดชิด และความเจริญทุกอย่างก็กระจุกตัวกันอยู่ภายใน ซึ่งภายในพื้นที่ประมาณ 395 ไร่ จะถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูง ด้านในประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย โบสถ์ โรงเรียน และสถานที่ราชการ รวมทั้งยังมีสถานที่ที่น่าชมอีกมากมากมาย
อย่างที่จะพาไปเที่ยวกันก็คือ “ป้อมซานติเอโก” (Fort Santiago) เป็นป้อมปราการที่ถือว่าเป็นด่านแรกที่ป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ที่เข้ามาทางปากแม่น้ำปาซิกจากอ่าวมะนิลา ป้อมแห่งนี้ถูกทำลายจากการโจมตีของกองทัพสหรัฐ แต่ต่อมาถูกบูรณะซ่อมแซมเพื่อให้เป็นปูชนียสถานแห่งเสรีภาพ ซึ่งบริเวณรอบป้อมจะมีสวนหย่อมให้ได้เดินเที่ยวกันอย่างเพลิดเพลิน หรือถ้าใครกลัวเมื่อยก็มีรถม้าบริการให้นั่ง วิ่งพาชมความสวยงามรอบบริเวณ ซึ่งยังมีสถานที่คุมขังนักโทษ ที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำปากแม่น้ำปาซิกให้ได้ชม
จากป้อมซานติเอโก เดินทางมาชมความงามของ “โบสถ์ซานอากุสติน” (San Agustin Church) ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1599 ตามแบบสถาปัตยกรรมสเปน สร้างด้วยหินทั้งหลังมีความสง่างาม เป็นสิ่งปลูกสร้างหนึ่งเดียวภายในอินทรามูรอสที่ไม่ถูกระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่าได้สูญเสียหนึ่งในหอระฆังแฝดไปในแผ่นดินไหวปีค.ศ. 1863 และปีค.ศ. 1889 และโบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นถึงสามครั้ง ซึ่งสองครั้งแรกถูกไฟไหม้ไป
โบสถ์ซานอากุสติน มีความสวยงามสะดุดตาไม่น้อย ผนังโบสถ์ด้านหน้าชวนมองด้วยสไตล์ที่นำเสาดอริกเกลี้ยงๆ มารองรับหัวเสาแบบโครินเธียน บานประตูใหญ่แกะสลักเป็นรูปนักบุญออกุสตินกับนักบุญโมนีกาผู้มารดาได้งดงามน่าทึ่งด้วยไม้ตีนนกเนื้อแข็งของฟิลิปปินส์ และใกล้ๆ กับโบสถ์ยังมีสำนักสงฆ์และพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสมบัติล้ำค่าไว้ให้ได้ชื่นชมกัน อาทิ โบราณวัตถุของฟิลิปปินส์ งานศาสนศิลป์ และเครื่องปั้นดินเผาของจีน สเปน และเม็กซิกัน
ถัดจากโบสถ์ซานอากุสติน มาเที่ยวอีกหนึ่งโบสถ์เก่าแก่ที่สำคัญของมะนิลา นั่นคือ “โบสถ์มะนิลา” (Manila Cathedral) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปนเมื่อปีค.ศ. 1579 โดยพระประสงค์ของพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 โบสถ์แห่งนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 400 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกเผา ไฟไหม้ แผ่นดินไหว และการทิ้งระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงตั้งตัวอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าคู่กรุงมะนิลาได้อย่างงดงาม เป็นศาสนสถานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาตร์อันน่าชื่นชม
เมื่อได้ชมโบสถ์สวยๆ กันจนอิ่มใจแล้ว มาเที่ยวกันต่อที่ “คาซา มะนิลา” (Casa Manila) ที่นี่เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงชาวสเปนเมื่ออดีต ซึ่งถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หากเดินไปตามถนนสายเล็กๆ สองฝากฝั่งถนนจะมีตึกทรงโบราณแบบสเปนที่สวยงามแปลกตาให้ได้ชม หากได้เดินเข้าไปชมภายในบ้านโบราณจะเห็นความสวยงามของบ้านที่อวดไม้เนื้อแข็งสวยๆ ทั้งหลัง แถมด้วยหน้าต่างบานเลื่อนเปลือกหอยมุก และภายในบ้านมีการจัดแสดงห้องต่างๆ ไว้ มีการจัดเฟอร์นิเจอร์ที่จำลองวีถีชีวิตความเป็นอยู่จริงๆในสมัยนั้นให้ได้ชมกัน ซึ่งเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ดูสวยงามมาก และยังมีห้องใต้ดิน รวมถึงมีลานสวนสวยๆให้ได้ยลกันด้วย
หลังจากได้เดินชมความสวยงามของย่านคาซา มะนิลากันแล้ว มาเดินเที่ยวออกกำลังกายขากันต่อที่ “สวนไรซาล” (Rizal Park) หรือเรียกอีกชื่อว่า “ลูเนตา” (Luneta) เป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ของกรุงมะนิลา และภายในสวนยังเป็นที่ตั้งของ “อนุสาวรีย์ โฮเซ่ ไรซาล” (Jose Rizal) ซึ่งเป็นผู้นำในการปลดแอกฟิลิปปินส์จากสเปนในช่วง ปีค.ศ.1896-1898 และในบริเวณเดียวกันก็เป็นจุดที่ฟิลิปปินส์ประกาศอิสรภาพเหนือสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1941 และอนุสาวรีย์นี้ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นหลักกิโลเมตรสำหรับนับระยะถนนทุกสายในเกาะลูซอนอันใหญ่โตที่สุดของฟิลิปปินส์อีกด้วย
เดินเล่นภายในสวนไรซาลได้สูดอากาศบริสทธิ์จนเต็มปอดแล้ว ขอพาไปเที่ยวพิพิภัณฑ์กันที่ “พิพิธภัณฑ์บาไฮชีนอย” (Bahay Tsinoy) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนท้องถิ่น หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นชนเมืองจีนพื้นเมืองของชาวฟิลิปปินส์ก็ว่าได้ ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ถูกจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ไว้หลายโซน โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านหุ่นจำลองมากมาย ได้อย่างน่าสนใจ เรียกว่ากลับออกไปได้รับความรู้ติดกายกลับไปด้วย
หลังจากที่ได้พาไปเที่ยวยังสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์มาหลายที่แล้ว ขอเปลี่ยนบรรยากาศพาไปเที่ยวยังสถานที่สนุกสนานอย่างโลกใต้ท้องทะเลกันบ้างที่ “โอเชี่ยนปาร์ค” (Manila Ocean Park) เป็นโอเชี่ยนปาร์คขนาดใหญ่ ที่ด้านในจะได้สัมผัสถึงความเป็นอยู่อาศัยของสัตว์ทะเลนานาชนิดหลากหลายสายพันธุ์ มีปลามากมายให้ได้ชมอย่างตื่นตา ตื่นใจ มีสัตว์น้ำแปลกๆ ที่หาชมได้ยาก รวมถึงยังมีแนวปะการังเทียมที่จัดแสดงไว้ได้อย่างเหมือนจริง และภายในโอเชี่ยนปาร์คมีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ มีอุโมงค์ที่มีทางเดินยาวกว่า 25 ม. คล้ายกับที่สยามโอเชี่ยนเวิร์ด ห้างสยามพารากอนของไทยเรา ซึ่งภายในอุโมงค์นี้มีปลาจำนวนมากมายแหวกว่ายไปมาให้ได้ชมกันแบบใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาฉลาม ปลากระเบน
ครั้นได้ชมโลกของท้องทะเลกันอย่างเพลิดเพลินแล้ว ก็ขอเอาใจนักท่องเที่ยวที่ชอบชอปปิ้งกันสักหน่อย โดยขอพามาที่ "มาคาติ" (Makati) แหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงและเป็นย่านธุรกิจชั้นนำของกรุงมะนิลา มีโรงแรมระดับ 5 ดาวมากมาย รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หลายที่ ซึ่งสาวกนักชอปทั้งหลายจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกทั้งสินค้าพื้นเมือง และสินค้าแบรนด์เนมอันหลากหลายกันได้แบบสบายใจ และที่เที่ยวทั้งหลายที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวภายในกรุงมะนิลาที่มีมากมาย ซึ่งหากว่าใครมีเวลาท่องเที่ยวแบบสั้นๆ ไม่กี่วัน ฉันว่ากรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์เพื่อนบ้านของไทยเราก็น่าเดินทางมาเที่ยวไม่น้อยเลย