โดย:มะเมี้ยะ
เมื่อยังเด็กทุกคืนที่แม่เล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง บ่อยครั้ง ที่ในฉากเหล่านั้นจะประกอบด้วยเจ้าชาย และเจ้าหญิง รวมไปถึง ปราสาทแสนสวยหลังใหญ่ ที่เจ้าชาย เจ้าหญิง มีไว้อิงแอบกับความสุขชั่วนิจนิรันดร์
และมาหวนคิดว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ปราสาทแสนสวยเหล่านั้นจะมีอยู่จริงไมหนอ..ก็ค้นพบว่าปราสาทเหล่านั้นมีอยู่จริง และที่สำคัญมันมีอยู่มากมายหลายร้อยแห่ง เอาเฉพาะแค่ในยุโรปก็นับกันไม่หวาดไม่ไหว ครั้งนี้ฉันจึงขอรับอาสาพาท่องปราสาทแสนสวยเหล่านี้ในยุโรกกันพอหอมปากหอมคอ
สถานที่แรกของเราคือ ปราสาทนอยชวานชไตน์ ( Neuschwanstein) เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย เมืองฟุสเซ่น ประเทศเยอรมนี สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845-86 เป็นปราสาทที่ไดเรับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
งดงามจนกลายมาเป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทรา ที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ และโตเกียวดิสนีย์แลนด์ รวมไปถึงที่แดนเนรมิต อดีตสวนสนุกของบ้านเรา
พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย มีพระประสงค์ให้จัดสร้างเพื่อเป็นที่ประทับอย่างสันโดษ ห่างจากผู้คนและเพื่ออุทิศให้แก่กวี ริชาร์ด วากเนอร์ พระสหายคู่พระทัย ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างให้เป็นไปตามบทประพันธ์เรื่อง อัศวินหงษ์ (Swan Knight Lohengrin) ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงได้รับการตกแต่งตามเรื่องราวในบทประพันธ์ดังกล่าว
ปราสาทแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย คริสเตียน แยงค์ (Christian Jank) วัสดุที่ใช้การก่อสร้างประกอบด้วย หินอ่อน 465 ตัน หินทราย 4,550 ตัน อิฐ 400,000 ก้อน ทราย3,600 ลูกบาศก์เมตร ซีเมนต์ 600 ตัน และสิ่งสำคัญคือการใช้ไม้เพื่อแกะสลักทั้งสิ้น 2,050 ลูกบาศก์เมตร ใช้เวลาทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 17 ปี
ภายในตัวปราสาทตกแต่งอย่างอลังการ ชมห้องทรงงาน ห้องบรรทม พระองค์ทรงโปรดดนตรีเป็นอย่างมากจึงสร้างห้องโถงดนตรีขึ้นในชั้นที่ 3 ( Music Hall ) ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องยาวๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า บนเพดานอันวิจิตรมีโคมไฟโลหะห้อยระย้างดงามอยู่สี่พวง ตามช่วงกลางของห้องแต่ละช่วง และปราสาทแห่งนี้ยังมีความพิเศษคือธรรมชาติที่รอบล้อมปราสาทจะแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาลทำให้เกิดความงดงามแตกต่างกันออกไปที่ทุกช่วงฤดู
เหิรฟ้ามายังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสกับบ้างที่ พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661 - 1681ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส แต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านของชาวนา
ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงเป็นนักล่าสัตว์ได้มาพบ มีความพอพระทัย จึงสร้างเป็นสถานที่นัดพบในการล่าสัตว์ และได้มีการขยายออกไปทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งกลายมาเป็นปราสาท พระราชวัง
จุดประสงค์สำคัญ คือ ต้องการให้ชาวโลกเห็นว่า ความมั่งคั่งสมบูรณ์และความงามเลอเลิศที่สุดในโลกมารวมอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งหมด จึงได้สั่งให้รื้อพลับพลาที่สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ทิ้ง และให้สร้างพระราชวังใหญ่ทำด้วยหินอ่อนและตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร โดยใช้เงินในการก่อสร้างไปเป็นเงิน 500 ล้านฟรังค์ ใช้แรงงานคนในการก่อสร้าง30,000 คน และใช้เวลาสร้างนานถึง 30 ปี
ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลัก ซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789
ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ห้องที่มีชื่อที่สุด คือ ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) ที่เคยใช้ลงนาม เซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตร กับเยอรมัน ในคราวมสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ใช้ลงนามเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆสิ่งที่ผู้เข้าชมพระราชวังอดจะชื่นชมไม่ได้ คือ น้ำพุมีน้ำพุมากมายและสวยงาม มีชื่อตามเทพเจ้ากรีกและโรมันต่างๆ เช่น อพอลโล และลาโตน เป็นต้น
อีกหนึ่งแห่งมากันที่ ปราสาทปราก(Prague Castle) ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก สร้างขึ้นในปี 885 โดยเจ้าชายบริโวจ ปัจจุบันเป็นทำเนียบประธานาธิบดี ปราสาทปรากตั้งอยู่บนเนิน มองลงไปจะเห็นตัวเมืองด้านล่าง
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์เช็ก เป็นอีกปราสาทหนึ่งที่ยังคงความงดงามเหนือกาลเวลามาได้ สถิติจากกินเนสส์บุ๊กระบุไว้ว่า ปราสาทปรากเป็นปราสาทโบราณสไตล์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวประมาณ 570 เมตร และความกว้างประมาณ 130 เมตร ภายในประกอบด้วยโบสถ์ พระราชวังโบราณ ที่สร้างด้วยศิลปะแบบต่างๆ ตั้งแต่แบบโรมันในศตวรรษที่ 10 จนถึงตึกแบบสมัยในศตวรรษที่ 20 ความหลากหลายอย่างลงตัวนี้เอง ทำให้ UNESCO's ยกย่องให้ที่นี่เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง
ปัจจุบันอาคารโดยรอบปราสาทเป็นที่เก็บงานศิลปะล้ำค่าในยุคสมัยต่างๆ ไว้มากมาย เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของสาธารณรัฐเช็ก และเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลด้วย ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เป็นสัญลักษณ์ของกรุงปราก
มาที่ประเทศโรมาเนียกันบ้าง กับ 2 ปราสาทอันลือลั่น ปราสาทแรกคือ ปราสาทเปเลส (Peles Castle) ตั้งอยู่ในหุบเขาบูเซกิ กลางป่าสน บนเทือกเขาคาร์เปเทียน ถือเป็นปราสาทที่สวยงามโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปตะวันออก
ตัวอาคารจะมีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมหลากหลายสไตล์ แต่ดูเหมือนปราสาทแห่งนี้จะได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ของประเทศเยอรมนีมากที่สุด ภายในปราสาทตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ มีการใช้ไม้แกะสลักงดงามอยู่มากมาย เป็นปราสาทที่รวบรวมงานศิลปะจากประเทศต่าง ๆ ในยุโรป
สร้างขึ้นโดยเจ้าชายคาลอสที่ 1 กษัตริย์แห่งโรมาเนีย ในสมัยศตวรรษที่ 19 เพื่อใช้เป็นที่ประทับในฤดูร้อน มีการตกแต่งภายในอย่างหรูหรางดงาม อาทิ ห้องตุรกี ที่สร้างไว้เพื่อรับรอง แขกบ้านแขกเมือง ที่มาจาก ตุรกี ในสมัย ออตโตมัน
ภายในปราสาทจะมีห้องต่างๆ มากถึง 168 ห้อง แต่คงมีเพียง 35 ห้องเท่านั้น ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมด้านนอก จะมีรูปปั้น คนสำคัญ วางไว้เป็นระยะ รวมถึงรูปปั้นของเจ้าชายคาลอสผู้สร้างปราสาท
และอีกหนึ่งปราสาท ที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ หากมาถึงประเทศโรมาเนีย คือ ปราสาทบราน (Bran Castle) หรือ ปราสาทแดร็กคิวล่า ปราสาทนี้ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่บนภูเขาเพื่อเป็นที่ป้องกันระหว่างชายแดนแคว้นวอลลัคเทียและทรานซิลวาเนีย
ปราสาทบรานเป็นปราสาทหินทาสีขาวหม่นสูง 200 ฟุต ตั้งอยู่บนผาหินสูงจนสามารถมองเห็นเมืองบรานได้ทั้งเมือง มีหอคอย มีห้องหลายห้อง ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก
ส่วนที่ปราสาทแห่งนี้โด่งดังในฐานะที่พักของแดร็กคูล่านั้น ก็เป็นเพราะหนังสือ Dracula ของนักเขียนชาวไอริชที่ชื่อ Bram Stoker ที่ใช้ปราสาทบรานแห่งนี้เป็นฉากของนวนิยาย และต่อมาฮอลลีวู้ดได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ทำให้ชื่อเสียงของแดร็กคูล่า ค้างคาวผีดูดเลือดที่นอนช่วงกลางวันในโลงหิน บนปราสาททรงสูง และเที่ยวออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
แต่เจ้าชาย วแลด เทเปส (Vlad Tepes)ผู้เคยครอบครองปราสาทเห็นนี้ ไม่ได้เป็นค้างคาวผีที่ออกล่ามนุษย์เพื่อดูดเลือด แต่เป็นนักรบที่เก่งกาจ ดุร้าย เหี้ยมโหด และกระหายสงคราม จนเป็นที่เลื่องลือว่ากระหายเลือดกิตติศัพท์ความโหดร้ายของเจ้าชายมาจากพฤติกรรมแปลกๆ ของพระองค์ เช่น เมื่อจับศัตรูได้จะทรมานศัตรูด้วยการจับใส่ลงไปในหม้อน้ำมันที่ตั้งไฟจนเดือดบ้างเผาทั้งเป็นบ้าง
และวิธีทรมานศัตรูที่เหี้ยมโหดที่สุดก็คือ เอาไม้หลาวเสียบที่ก้นของศัตรูทะลุไปจนถึงไหล่ แล้วปักไม้เสียบศัตรูไว้ที่หน้าปราสาทจนกว่าจะตายคาไม้หลาว นอกจากนั้นเจ้าชายยังชอบกินอาหารที่เป็นเนื้อสดๆ และกินต่อหน้าศัตรูที่ดิ้นรน กระเสือกกระสนด้วยความเจ็บปวดทรมานบนไม้หลาวนั้นอีกด้วย
แต่กระนั้นปัจจุบันเพราะชื่อเสียงของแดร๊กคูล่านี่แลหะที่นำเงินมหาศาลจากการเที่ยวชมปราสาทมาให้คนโรมาเนีย และปราสาทบารนก็ยังถือว่าเป็นปราสาทที่สมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง
อ้อ...เห็นกันแล้วใช่ไหมว่า ปราสาทสวยๆ ดุจหลุดอยู่ในโลกเห็นเทพนิยายมีอยู่จริง.
เมื่อยังเด็กทุกคืนที่แม่เล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง บ่อยครั้ง ที่ในฉากเหล่านั้นจะประกอบด้วยเจ้าชาย และเจ้าหญิง รวมไปถึง ปราสาทแสนสวยหลังใหญ่ ที่เจ้าชาย เจ้าหญิง มีไว้อิงแอบกับความสุขชั่วนิจนิรันดร์
และมาหวนคิดว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ปราสาทแสนสวยเหล่านั้นจะมีอยู่จริงไมหนอ..ก็ค้นพบว่าปราสาทเหล่านั้นมีอยู่จริง และที่สำคัญมันมีอยู่มากมายหลายร้อยแห่ง เอาเฉพาะแค่ในยุโรปก็นับกันไม่หวาดไม่ไหว ครั้งนี้ฉันจึงขอรับอาสาพาท่องปราสาทแสนสวยเหล่านี้ในยุโรกกันพอหอมปากหอมคอ
สถานที่แรกของเราคือ ปราสาทนอยชวานชไตน์ ( Neuschwanstein) เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย เมืองฟุสเซ่น ประเทศเยอรมนี สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845-86 เป็นปราสาทที่ไดเรับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
งดงามจนกลายมาเป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทรา ที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ และโตเกียวดิสนีย์แลนด์ รวมไปถึงที่แดนเนรมิต อดีตสวนสนุกของบ้านเรา
พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย มีพระประสงค์ให้จัดสร้างเพื่อเป็นที่ประทับอย่างสันโดษ ห่างจากผู้คนและเพื่ออุทิศให้แก่กวี ริชาร์ด วากเนอร์ พระสหายคู่พระทัย ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างให้เป็นไปตามบทประพันธ์เรื่อง อัศวินหงษ์ (Swan Knight Lohengrin) ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงได้รับการตกแต่งตามเรื่องราวในบทประพันธ์ดังกล่าว
ปราสาทแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย คริสเตียน แยงค์ (Christian Jank) วัสดุที่ใช้การก่อสร้างประกอบด้วย หินอ่อน 465 ตัน หินทราย 4,550 ตัน อิฐ 400,000 ก้อน ทราย3,600 ลูกบาศก์เมตร ซีเมนต์ 600 ตัน และสิ่งสำคัญคือการใช้ไม้เพื่อแกะสลักทั้งสิ้น 2,050 ลูกบาศก์เมตร ใช้เวลาทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 17 ปี
ภายในตัวปราสาทตกแต่งอย่างอลังการ ชมห้องทรงงาน ห้องบรรทม พระองค์ทรงโปรดดนตรีเป็นอย่างมากจึงสร้างห้องโถงดนตรีขึ้นในชั้นที่ 3 ( Music Hall ) ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องยาวๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า บนเพดานอันวิจิตรมีโคมไฟโลหะห้อยระย้างดงามอยู่สี่พวง ตามช่วงกลางของห้องแต่ละช่วง และปราสาทแห่งนี้ยังมีความพิเศษคือธรรมชาติที่รอบล้อมปราสาทจะแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาลทำให้เกิดความงดงามแตกต่างกันออกไปที่ทุกช่วงฤดู
เหิรฟ้ามายังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสกับบ้างที่ พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661 - 1681ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส แต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านของชาวนา
ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงเป็นนักล่าสัตว์ได้มาพบ มีความพอพระทัย จึงสร้างเป็นสถานที่นัดพบในการล่าสัตว์ และได้มีการขยายออกไปทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งกลายมาเป็นปราสาท พระราชวัง
จุดประสงค์สำคัญ คือ ต้องการให้ชาวโลกเห็นว่า ความมั่งคั่งสมบูรณ์และความงามเลอเลิศที่สุดในโลกมารวมอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งหมด จึงได้สั่งให้รื้อพลับพลาที่สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ทิ้ง และให้สร้างพระราชวังใหญ่ทำด้วยหินอ่อนและตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร โดยใช้เงินในการก่อสร้างไปเป็นเงิน 500 ล้านฟรังค์ ใช้แรงงานคนในการก่อสร้าง30,000 คน และใช้เวลาสร้างนานถึง 30 ปี
ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลัก ซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789
ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ห้องที่มีชื่อที่สุด คือ ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) ที่เคยใช้ลงนาม เซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตร กับเยอรมัน ในคราวมสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ใช้ลงนามเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆสิ่งที่ผู้เข้าชมพระราชวังอดจะชื่นชมไม่ได้ คือ น้ำพุมีน้ำพุมากมายและสวยงาม มีชื่อตามเทพเจ้ากรีกและโรมันต่างๆ เช่น อพอลโล และลาโตน เป็นต้น
อีกหนึ่งแห่งมากันที่ ปราสาทปราก(Prague Castle) ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก สร้างขึ้นในปี 885 โดยเจ้าชายบริโวจ ปัจจุบันเป็นทำเนียบประธานาธิบดี ปราสาทปรากตั้งอยู่บนเนิน มองลงไปจะเห็นตัวเมืองด้านล่าง
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์เช็ก เป็นอีกปราสาทหนึ่งที่ยังคงความงดงามเหนือกาลเวลามาได้ สถิติจากกินเนสส์บุ๊กระบุไว้ว่า ปราสาทปรากเป็นปราสาทโบราณสไตล์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวประมาณ 570 เมตร และความกว้างประมาณ 130 เมตร ภายในประกอบด้วยโบสถ์ พระราชวังโบราณ ที่สร้างด้วยศิลปะแบบต่างๆ ตั้งแต่แบบโรมันในศตวรรษที่ 10 จนถึงตึกแบบสมัยในศตวรรษที่ 20 ความหลากหลายอย่างลงตัวนี้เอง ทำให้ UNESCO's ยกย่องให้ที่นี่เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง
ปัจจุบันอาคารโดยรอบปราสาทเป็นที่เก็บงานศิลปะล้ำค่าในยุคสมัยต่างๆ ไว้มากมาย เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของสาธารณรัฐเช็ก และเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลด้วย ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เป็นสัญลักษณ์ของกรุงปราก
มาที่ประเทศโรมาเนียกันบ้าง กับ 2 ปราสาทอันลือลั่น ปราสาทแรกคือ ปราสาทเปเลส (Peles Castle) ตั้งอยู่ในหุบเขาบูเซกิ กลางป่าสน บนเทือกเขาคาร์เปเทียน ถือเป็นปราสาทที่สวยงามโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปตะวันออก
ตัวอาคารจะมีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมหลากหลายสไตล์ แต่ดูเหมือนปราสาทแห่งนี้จะได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ของประเทศเยอรมนีมากที่สุด ภายในปราสาทตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ มีการใช้ไม้แกะสลักงดงามอยู่มากมาย เป็นปราสาทที่รวบรวมงานศิลปะจากประเทศต่าง ๆ ในยุโรป
สร้างขึ้นโดยเจ้าชายคาลอสที่ 1 กษัตริย์แห่งโรมาเนีย ในสมัยศตวรรษที่ 19 เพื่อใช้เป็นที่ประทับในฤดูร้อน มีการตกแต่งภายในอย่างหรูหรางดงาม อาทิ ห้องตุรกี ที่สร้างไว้เพื่อรับรอง แขกบ้านแขกเมือง ที่มาจาก ตุรกี ในสมัย ออตโตมัน
ภายในปราสาทจะมีห้องต่างๆ มากถึง 168 ห้อง แต่คงมีเพียง 35 ห้องเท่านั้น ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมด้านนอก จะมีรูปปั้น คนสำคัญ วางไว้เป็นระยะ รวมถึงรูปปั้นของเจ้าชายคาลอสผู้สร้างปราสาท
และอีกหนึ่งปราสาท ที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ หากมาถึงประเทศโรมาเนีย คือ ปราสาทบราน (Bran Castle) หรือ ปราสาทแดร็กคิวล่า ปราสาทนี้ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่บนภูเขาเพื่อเป็นที่ป้องกันระหว่างชายแดนแคว้นวอลลัคเทียและทรานซิลวาเนีย
ปราสาทบรานเป็นปราสาทหินทาสีขาวหม่นสูง 200 ฟุต ตั้งอยู่บนผาหินสูงจนสามารถมองเห็นเมืองบรานได้ทั้งเมือง มีหอคอย มีห้องหลายห้อง ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก
ส่วนที่ปราสาทแห่งนี้โด่งดังในฐานะที่พักของแดร็กคูล่านั้น ก็เป็นเพราะหนังสือ Dracula ของนักเขียนชาวไอริชที่ชื่อ Bram Stoker ที่ใช้ปราสาทบรานแห่งนี้เป็นฉากของนวนิยาย และต่อมาฮอลลีวู้ดได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ทำให้ชื่อเสียงของแดร็กคูล่า ค้างคาวผีดูดเลือดที่นอนช่วงกลางวันในโลงหิน บนปราสาททรงสูง และเที่ยวออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
แต่เจ้าชาย วแลด เทเปส (Vlad Tepes)ผู้เคยครอบครองปราสาทเห็นนี้ ไม่ได้เป็นค้างคาวผีที่ออกล่ามนุษย์เพื่อดูดเลือด แต่เป็นนักรบที่เก่งกาจ ดุร้าย เหี้ยมโหด และกระหายสงคราม จนเป็นที่เลื่องลือว่ากระหายเลือดกิตติศัพท์ความโหดร้ายของเจ้าชายมาจากพฤติกรรมแปลกๆ ของพระองค์ เช่น เมื่อจับศัตรูได้จะทรมานศัตรูด้วยการจับใส่ลงไปในหม้อน้ำมันที่ตั้งไฟจนเดือดบ้างเผาทั้งเป็นบ้าง
และวิธีทรมานศัตรูที่เหี้ยมโหดที่สุดก็คือ เอาไม้หลาวเสียบที่ก้นของศัตรูทะลุไปจนถึงไหล่ แล้วปักไม้เสียบศัตรูไว้ที่หน้าปราสาทจนกว่าจะตายคาไม้หลาว นอกจากนั้นเจ้าชายยังชอบกินอาหารที่เป็นเนื้อสดๆ และกินต่อหน้าศัตรูที่ดิ้นรน กระเสือกกระสนด้วยความเจ็บปวดทรมานบนไม้หลาวนั้นอีกด้วย
แต่กระนั้นปัจจุบันเพราะชื่อเสียงของแดร๊กคูล่านี่แลหะที่นำเงินมหาศาลจากการเที่ยวชมปราสาทมาให้คนโรมาเนีย และปราสาทบารนก็ยังถือว่าเป็นปราสาทที่สมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง
อ้อ...เห็นกันแล้วใช่ไหมว่า ปราสาทสวยๆ ดุจหลุดอยู่ในโลกเห็นเทพนิยายมีอยู่จริง.