หน้าฝนปีนี้ดูจะหนักหนากว่าทุกปี เพราะนอกจากต้องระแวดระวังตัวเองจากการเจ็บป่วยด้วยไข้หวัดตามฤดูกาลแล้ว ยังต้องเพิ่มความปลอดภัยเรื่องไข้หวัดใหญ่ 2009 อีกด้วย “ตะลอนเที่ยว” เองยังยึดถือเคร่งครัดเรื่องของ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยในที่ชุมชน เพราะเกรงว่าหากเจ็บป่วยจะอดเที่ยวเสียเปล่าๆ
แต่เมื่อร่างกายยังแข็งแรง ก็ไม่อยากให้เรื่องโรคภัยใดๆมาเป็นอุปสรรคจนไม่กล้าออกจากบ้านไปไหน งานนี้เลยขอแบกกระเป๋าเดินทางมุ่งหน้าไปจังหวัดจันทบุรี อีกหนึ่งเมืองแห่งชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ที่อยู่ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯมากนัก ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้นก็ถึงแล้ว
ผจญแก่ง ‘คลองโป่งน้ำร้อน’
เมื่อมาถึงเมืองจันท์แล้ว หน้าฝนอย่างนี้กิจกรรมเดินป่าหรือล่องแก่งดูจะเหมาะที่สุด นั่นจึงทำให้เป้าหมายของเราในครั้งนี้อยู่ที่การผจญภัยใน 2 อำเภอที่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในที่สูงกว่าอำเภออื่นๆของเมืองจันท์ นั่นก็คือ อ.โป่งน้ำร้อน และ อ.สอยดาว
จุดหมายแรกของ “ตะลอนเที่ยว”อยู่ที่การล่องแก่งคลองโป่งน้ำร้อน ในเขต อ.โป่งน้ำร้อน คลองโป่งน้ำร้อน มีต้นน้ำมาจากเขาสอยดาว เขาสะพานหิน และเขาปีกกา จากสายธารเล็กๆ ไหลลงมา จากยอดเขานี้มารวมกันเป็นคลองโป่งน้ำร้อนไหลผ่านไปทางบ้านแหลม เข้าสู่ประเทศกัมพูชา
คลองโป่งน้ำร้อนมีเส้นทางล่องแก่งให้เราได้ท้าทายกันประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร(ล่องประมาณ 2-3 ชม.) มีแก่งในระดับตื่นเต้นให้พายเรือยางฝ่าหลายสิบแก่ง มีต้นไม้ให้มุด ให้หมอบ ให้ลอดเยอะ และแถมยังเป็นแก่งที่เคยได้ชื่อว่ามีความคดเคี้ยวมากแห่งหนึ่งในเมืองไทย โดยช่วงฤดูการล่องแก่งคลองโป่งน้ำร้อนอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน - พฤศจิกายน
สำหรับจุดเริ่มต้นล่องแก่งนั้น คณะเราเดินทางมายังริมคลองโป่งน้ำร้อนใน “วังขอน ชาเล่ต์ รีสอร์ท” ที่พักบรรยากาศดี ร่มรื่นเขียวครึ้มด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ราคาย่อมเยา บริการแบบกันเอง
เหตุที่เรามาวังขอนฯ อย่าเพิ่งคิดว่า“ตะลอนเที่ยว” จะมานอนเล่นเพลินๆ เพราะที่นี่ที่มีกิจกรรมล่องแก่ง“คลองโป่งน้ำร้อน”ไว้บริการสำหรับผู้ชื่นชอบความท้าทาย ซึ่งเมื่อชาวคณะเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว พวกเราก็เริ่มลงมือล่องแก่งในทันที
ช่วงแรกๆของการล่องแก่งยังไม่เจอแก่งใหญ่ๆ ทำให้พอมีเวลาสลัดความตื่นเต้น มาเมียงมองดูธรรมชาติของสองฝั่งคลอง ที่มีทั้งบ้านเรือนของชาวบ้านที่ปลูกกระจัดกระจายห่างจากฝั่งไม่ไกล และสวนผลไม้นานาชนิด ทั้งลองกอง เงาะ ลำไย ทุเรียน ลิ้นจี่ เรียกได้ว่าแถบเมืองนี้ดินดี ดินงาม ปลูกอะไรก็งอกเงย
จากสายน้ำที่ไหลเอื่อย ทิ้งช่วงไม่นานนักก็เริ่มเชี่ยวกรากขึ้น เราผ่านแก่งใหญ่บ้าง น้อยบ้าง มีชื่อเสียงเรียงนามบ้าง ไร้นามบ้าง ทั้งแก่งสไลเดอร์ แก่งร้อยเมตร แก่งวังขอน แก่งวังยาว แก่งวังกะทะ แก่งวังวน แก่งหนองบน แก่งปราบเซียน พอได้กรี๊ด จนเสียวไส้ แหม...ก็ใครอยากหกคะมำจากเรือกันบ้างเล่า
ในบางคราก็ต้องช่วยกันยกเรือเข้าฝั่ง ข้ามฝายทดน้ำที่มีอยู่ถึง 3 ฝาย ซึ่งหมายความว่า ต้องยกเรือข้ามฝั่งและข้ามฝายถึง 3 หน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความสนุกและเป็นกิจกรรมเรียกความสามัคคีของหมู่คณะได้ดีทีเดียว อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของแก่งโป่งน้ำร้อนที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือ “สะพานวัดใจ”
สะพานแขวนสลิงเล็กๆ มีไม้ซี่โตพาด พอให้เดินผ่านข้ามลำน้ำสูงประมาณ 6 เมตร มีไว้เพื่อให้คนใจกล้าขึ้นไปยืนแล้วทิ้งดิ่งสู่ผิวน้ำ งานนี้ต้องลองนำทีมโดยพี่สตาฟฟ์ที่คัดท้ายเรือ สอนวิธีการกระโดดว่าอย่ากางแขนเพราะกระแทกน้ำแล้วจะเจ็บ แต่ให้เก็บแขนโดยเอาแขนจับที่ส่วนบนของเสื้อชูชีพไว้แล้วโดดโลด ไม่ต้องกลัวหัวกระแทกเพราะสุดพื้นน้ำ คือ ผืนทราย ไร้แก่งหิน
“ตะลอนเที่ยว”กับเพื่อนๆพายเรือหวิดคว่ำ หวิดหงายกับไปหลายหนท่ามกลางอากาศที่ครื้นเย็นมีเม็ดฝนหยอกเย้าเป็นเพื่อนด้วยตลอดทาง ล่องจนมาถึงโค้งสุดท้ายแล้วเข้าเขตวัดคลองใหญ่ เป็นสัญญาณว่าการล่องแก่งคลองโป่งน้ำร้อนได้สิ้นสุดลงถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ซึ่งทางวังขอนฯ ได้เตรียมทีมงานมาช่วยขนเรือขึ้นรถ และมารับเรากลับไปยังที่พักเพื่อชำระล้างร่างกายและนอนหลับพักผ่อนให้หายเหนื่อย “ตะลอนเที่ยว” ออมแรงไว้ตะลุยเที่ยวในวันรุ่งขึ้นต่อไป
แนบเนาสายน้ำที่ “น้ำตกเขาสอยดาว”
จากเขตอ.โป่งน้ำร้อน เช้าวันใหม่ เราเดินทางข้ามอำเภอ สู่ อ.สอยดาว เพื่อไปเที่ยว “น้ำตกเขาสอยดาว” ที่ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 4 กิโลเมตร รถสามารถมาจอดได้จนถึงบริเวณทางขึ้นน้ำตก
น้ำตกเขาสอยดาวมีทั้งหมด 16 ชั้น บริเวณธารน้ำตกมีผีเสื้อจำนวนมาก เป็นอีกหนึ่งแห่งที่เหมาะแก่การดูผีเสื้อสำหรับผู้ชื่นชอบ
สำหรับการเดินชมน้ำตกเขาสอยดาวขอแบ่งเป็น 2 ระดับเพื่อง่ายต่อความเข้าใจ คือ ชั้นที่1-6 เป็นชั้นที่นักท่องเที่ยวสามารถปีนป่ายเดินเท้าขึ้นไปชมเองได้ ชั้นที่ 7-16 ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง ซึ่งเป้าหมายของเราในครั้งนี้ขอแค่ชั้นที่ 9 ก็พอ เนื่องจากฝนตกเส้นทางลื่นและชัน แต่กระนั้นก็ไม่ย่อท้อเพื่อให้ได้ชมความงามของน้ำตกด้วยสองตา จากก้าวแรกของทางขึ้นน้ำตกเขาสอยดาวจนมาถึงชั้นที่ 9 รวมเป็นระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินขึ้นเกือบ 2 ชั่วโมง ส่วนใครที่มุ่งมาดจะไปให้ถึงชั้นที่ 16 ก็บวกเวลาเดินขึ้นเพิ่มอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
การเดินเท้าขึ้นชมน้ำตกเขาสอยดาวขอแนะนำว่าออกกำลังกายก่อนมาจะดีที่สุดเพราะเส้นทางที่มีเดินขึ้น...และ...เดินขึ้น...รอบตัวแวดล้อมด้วยแวดล้อมด้วยป่าเขียวชอุ่มเรื่องเหลือเชื่อคือต้นไม้ที่นี่ใหญ่จนฝนตกแต่พวกเราที่เดินๆอยู่ไม่เปียกเพราะมีร่มธรรมชาติจากไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาเกื้อกูลชีวิตเล็กๆของเราไว้
ใกล้น้ำตกชั้นแรกยังมีต้นไม้ยักษ์ ทั้งต้นตะเคียนที่มีศาลของเจ้าแม่ตะเคียนตั้งอยู่ และเดินไปไม่ไกลจะพบไม้ใหญ่ยืนต้นเด่นอยู่ทางขวามือ เป็นต้นพระเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขึ้นในป่าดงดิบชื้น รอบลำต้นขนาดประมาณ 20 คนโอบ โดยเฉพาะพูพอนหรือรากขนาดใหญ่ของไม้ยึดแน่นแยกแขนงกับดิน แน่นอน...ไม้ใหญ่ต้นนี้ถูกพันด้วยผ้าสามสีและมีธูปปักอยู่ด้านหน้า
น้ำตกที่นี่มีชื่อกันทุกชั้น เช่น ชั้นที่4 ‘วังนารี’ ชั้นที่ 5 ‘ผางาช้าง’ ชั้นที่ 6 มีชื่อว่า ‘ผานางลื่น’ นักท่องเที่ยวบางคนเรียกชั้นนี้ว่า ชั้นสไลเดอร์ เพราะมีลาดหินที่ลื่นมาก ผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมที่ท้าทาย จะปล่อยตัวให้ลื่นมาตามลาดหินกลางน้ำตกที่สูงประมาณ 7 ม. ลงมายังแอ่งน้ำเบื้องล่าง เสียงแว่วจากเจ้าหน้าที่นำทางแผ่วเข้าหูมาว่า “สไลเดอร์นี้แหละ ตายกันมาหลายศพแล้ว” บรื้อ...ฟังแล้วขนลุก เพราะอันตรายมากหากเล่นสไลเดอร์ผิดท่าพุ่งไปกระแทกกับหินก้นแอ่ง
เดินไต่ระดับกันขึ้นมาเรื่อยๆ มีแวะพักถ่ายภาพเก็บไว้บ้าง สาวๆต้องหยุดกรี๊ดๆๆๆเป็นระยะ เพราะเจอ ‘เจ้าทากเข็ม’ ตัวจ้อยเขยิบคืบคลานขึ้นมาตามปลีน่อง ต้องปัดป้องดึงออกเป็นพัลวัน แต่ก็ฝ่าฟันจนนี่สุดได้มาแนบเนากับสายน้ำบริเวณชั้นที่9 ที่มีชื่อว่าวังพญางิ้วดำ ที่เป็นสายน้ำตกขาวไหลลงมายังแอ่งเบื้องล่าง ซึ่งถ้ามองขึ้นไปก็จะเห็นน้ำตกชั้นที่ 10 (ผารากไทร) อยู่แบบใกล้ตา ไกลตีน
หลังอิงแอบกันธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพรเสียนาน ถือเป็นการพักเหนื่อยไปในตัว เหลือบมองนาฬิกาอีกที เป็นเวลาใกล้ 15.00 น.ซึ่งได้เวลากลับลงมาจากน้ำตกกันแล้ว เพราะว่าที่นี่เขามีกฎ คือ นักท่องเที่ยวต้องลงมาจากน้ำตกทุกชั้นในเวลา15.30น.เพื่อป้องกันแสงหมดและอันตรายเวลาค่ำ
ระหว่างเดินลงจากน้ำตกเขาสอยดาว สายฝนก็ยังคงโปรยปรายไม่หยุด เสียน้ำจากฟ้ากระทบน้ำจากดินในลำธารช่วยสร้างความสุขและแลเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้เป็นอย่างมาก “ตะลอนเที่ยว” เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง คือ ดีใจที่ได้มา แต่เสียดายแทนคนที่ไม่ได้มาที่นี่ ‘จันทบุรี’ ลองมาแล้วคุณอาจเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ต้อง“ปันใจ”เมื่อ“ไป(เมือง)จันท์”
*****************************************
ผู้สนใจกิจกรรม“ล่องแก่งคลองโป่งน้ำร้อน” หรือที่พัก ใน อ.โป่งน้ำร้อน สามารถติดต่อได้ที่ “วังขอน ชาเล่ต์ รีสอร์ท” โทร.08-1000-1314,08-1864-1805 ส่วนการเที่ยวชม“น้ำตกเขาสอยดาว” ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อ.เขาสอยดาว จ.จันทบุรี โทร. 0 -3948-6337 และสามารถสอบถามรายละเอียดการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ในเมืองจันท์ได้ที่ สมาคมชาวจันทบุรีฯ โทร.0-2281-5497 โทรสาร.0-2282-1195