โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ความใฝ่ฝันของฉัน น่าจะเหมือนกับความฝันของหลายๆคน ที่อยากจะทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลก หรือไปเที่ยวในประเทศที่ใฝ่ฝันมานาน ฉันเองฝันอย่างนี้มาหลายปีแล้ว แต่เท่าที่ไปได้ก็แค่นอกเมืองเท่านั้นเอง แต่แม้จะเบี้ยน้อยหอยน้อยฉันก็ไม่แคร์ เพราะมีหลายๆแห่งในบ้านเรา ที่เมื่อได้ย่างเท้าลงไปสัมผัสบรรยากาศแล้ว ก็สามารถหลับตานึกว่ากำลังเดินเล่นอยู่ที่ต่างประเทศได้ไม่ยากเย็นนัก
สำหรับย่านต่างประเทศที่แรกที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็ต้องยกให้ "ไชน่าทาวน์" หรือ "เยาวราช" ย่านคนไทยเชื้อสายจีน ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 1 มีพระราชประสงค์จะสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้น แต่พื้นที่บริเวณนั้นมีชาวจีนตั้งบ้านเรือนอยู่ก่อนแล้ว พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ชาวจีนย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่อยู่บริเวณปากคลองสามเพ็ง หรือสำเพ็งในปัจจุบัน และได้มีการขยายชุมชนใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นย่านคนจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ศูนย์กลางของ "ไชน่าทาวน์" ในปัจจุบันนั้นก็อยู่ที่บริเวณถนนเยาวราช ถนนสายมังกร ซึ่งหากใครได้ไปเดินเล่นแถวๆ นั้นอาจจะเผลอคิดไปว่าไปเดินอยู่ในมุมหนึ่งในเมืองจีน เพราะนอกจากป้ายร้านรวงต่างๆ จะเป็นภาษาจีนละลานตาเต็มไปหมด ก็ยังจะได้ยินเพลงจีน ได้ฟังภาษาจีนจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ได้เห็นภัตตาคารจีนมากมายหลากหลายร้าน ได้เห็นภูมิปัญญาแบบคนจีน เช่น การเขียนตัวอักษรจีน รวมไปถึงวัดจีน ศาลเจ้าจีนที่มีอยู่หลายแห่งในบริเวณนั้น จึงถือเป็นย่านต่างประเทศที่สมบูรณ์แบบย่านหนึ่ง
คราวนี้ไปเที่ยวอินเดียกันบ้างดีกว่า ที่ "ลิตเติ้ล อินเดีย" หรือ "พาหุรัด" นั่นเอง พูดถึงพาหุรัดก็จะนึกถึงย่านที่ขายผ้าผ่อนแพรพรรณ และเมื่อนึกถึงผ้าก็จะนึกถึงแขกขายผ้าตามไปด้วย เพราะที่ย่านพาหุรัดนี้เป็นที่อยู่อาศัยและทำมาค้าขายของชาวซิกข์ ที่เดินทางเข้ามาอยู่ในย่านพาหุรัดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
นอกจากผ้านานาชนิดแล้ว ที่พาหุรัดนี้ก็มีอุปกรณ์สำหรับเย็บผ้าทุกประเภท รวมไปถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่นอกจากจะมีเสื้อผ้าธรรมดาๆ แล้ว ส่วนใหญ่หลายร้านมักจะมีส่าหรีแขวนโชว์ไว้ แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการซื้อขายได้ดีทีเดียว
มาที่พาหุรัดแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปสักการะและไปชมศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาของชุมชนชาวซิกข์ในย่านนี้ ที่ "คุรุดวาราศรีคุรุสิงห์สภา" วัดซิกข์แห่งแรกของไทย เพื่อสักการะพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบ อันเป็นที่เคารพของชาวซิกข์ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมได้ แต่ต้องแต่งกายสุภาพ ผู้หญิงจะต้องสวมผ้าคลุมผม ที่ทางวัดมีจัดเตรียมไว้ให้
และหากจะให้ได้บรรยากาศของความเป็นลิตเติ้ล อินเดีย มากขึ้น ก็ต้องลองเดินเข้ามาในซอยเล็กๆ ข้างห้าง ATM เก่า หรือที่ตอนนี้กลายเป็นห้าง อินเดีย เอ็มโพเรียม ไปแล้ว ในซอยแห่งนี้แม้จะเป็นซอยเล็กๆแต่ก็มีกลิ่นอายของอินเดียด้วยร้านรวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายกำยานและธูปหอมที่ใช้บูชาเทพเจ้ากำลังส่งกลิ่นกำจายออกมาพร้อมกับควันบางๆ ร้านขายซีดีหนัง ละคร และเพลงสไตล์อินเดีย ใครที่นิยม "บอลลีวูด" ก็ลองมาเมียงมองหาหนังที่ต้องการกันได้ นอกจากนั้นก็ยังมีร้านขายเทวรูปสไตล์ฮินดู รวมไปถึงอาหารของชาวอินเดียอย่าง "หมากหวาน" ก็น่าลิ้มลองดูเหมือนกัน
ไปเที่ยวแถบจีนและอินเดียกันมาแล้ว คราวนี้ไปย่ำ "ยุโรป" กันบ้างดีกว่า ใครจะเชื่อว่าแค่นั่งรถเมล์เสียแค่ 7 บาท หรือเผลอๆได้นั่งรถเมล์ฟรีไม่เสียเงิน ก็จะได้มาเดินอยู่ในบรรยากาศคล้ายๆยุโรปแล้ว หากมาเดินที่บริเวณข้างตึกกระทรวงกลาโหม ฝั่งกรมแผนที่ทหาร เราก็จะได้บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในถนนแถบยุโรปได้อย่างง่ายๆ เพราะตัวตึกของกระทรวงกลาโหมนี้งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ตัวอาคารทาด้วยสีเหลืองนวล หากมองทางด้านหน้าตึกก็จะเห็นเป็นหน้าจั่วทรงโรมัน ตกแต่งด้วยปูนปั้น ที่มุขชั้นสองมีระเบียงกว้าง และเสาแบบโรมัน
แต่จะเข้าไปเดินเล่นทางด้านหน้าตึกก็คงจะโดนพี่ทหารสอยเอาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเลี่ยงไปเดินที่ด้านข้างตึกแทนดีกว่า ตรงจุดนี้ก็เป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายโฆษณามาหลายชิ้นแล้ว ก็เนื่องด้วยบรรยากาศที่สวยงามอย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละ ตัวตึกสไตล์ยุโรป มีเสาไฟหน้าตาดูคลาสสิคตั้งอยู่เป็นระยะๆ น่าเกี่ยวก้อยแฟนมาเดินด้วยยิ่งนัก
ส่วนตัวอาคารของกรมแผนที่ทหารที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งสร้างในรัชกาลเดียวกันก็มีกลิ่นอายของตะวันตกไม่น้อยเหมือนกัน ตัวอาคารก่ออิฐฉาบปูน หลังคาทรงปั้นหยา มีจุดเด่นอยู่ตรงโถงทางเข้าด้านหน้า โถงทางเข้ารอง และโถงทางเข้าตอนปลายสุดของอาคาร ที่มีการตกแต่งหน้าจั่วด้วยลวดลายปูนปั้น มีเสาดอริกรับน้ำหนักและเพิ่มความงดงาม และหากจะเดินเลยไปทางกระทรวงมหาดไทยก็ยังได้บรรยากาศของฝั่งตะวันตกอยู่เช่นกัน
แต่ขอแนะนำอย่างหนึ่งว่าหากใครอยากจะมาเดินกินบรรยากาศบริเวณนี้ ก็ขอให้มาในวันเสาร์อาทิตย์เป็นดีที่สุด เพราะในวันธรรมดาสองข้างถนนนี้จะถูกใช้เป็นที่จอดรถ เสียบรรยากาศของความเป็นยุโรปหมดเลย
ส่วนอีกสถานที่หนึ่งที่รับรองได้ว่าต้องได้บรรยากาศของยุโรปแน่ๆ นั่นก็คือบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่สร้างเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 ตัวอาคารนั้นเป็นอาคารแบบโดมคลาสสิคของโรมัน เป็นศิลปะแบบอิตาเลียนเรเนอซองส์ ผสมกับศิลปะแบบนีโอคลาสสิค ซึ่งรูปทรงของพระที่นั่งอนันตสมาคมนี้เป็นแบบเดียวกับวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งโรม และโบสถ์เซนต์ปอล ในกรุงลอนดอน อย่างนี้จะไม่ให้บอกว่ายุโรปได้อย่างไรไหว แม้จะไม่ได้เข้าไปชมด้านใน เพียงแค่เดินเลาะเลียบริมรั้วพระที่นั่ง ก็ได้บรรยากาศอันงดงามประทับใจ
ย่านต่างประเทศที่กล่าวมาล้วนเก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน แต่ย่านต่างประเทศที่ฉันจะพาชมต่อไปนี้เป็นย่านใหม่ เพิ่งจะเกิดมีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ นั่นก็คือย่าน "เจแปนนิส ทาวน์" และ "โคเรียน ทาวน์" นั่นเอง
สำหรับ "เจแปนนิส ทาวน์" นั้น ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท ในซอยสุขุมวิท 33/1 เพราะในแถบนี้เป็นย่านที่คนญี่ปุ่นอาศัยอยู่มากที่สุดในกรุงเทพมหานคร และเมื่อมีคนชาติเดียวกันมาอาศัยอยู่รวมกันมากๆ เข้า จึงมีคนคิดทำธุรกิจที่สนองตอบความต้องการของคนชาตินั้นๆ อย่างเช่นร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ เป็นต้น
เจแปนนิส ทาวน์ในซอยสุขุมวิท 33/1 นี้แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่หากคนญี่ปุ่นมาเดินก็คงจะรู้สึกอุ่นใจบ้างไม่มากก็น้อย เพราะนอกจากจะได้ยินเสียงภาษาญี่ปุ่นโนะๆเนะๆมาจากคนที่เดินผ่านไปมาในซอยนี้แล้ว ก็จะได้พบกับร้านค้าที่สินค้าทุกอย่างราคาเดียว และเป็นสินค้าที่มาจากประเทศญี่ปุ่น เดินเข้าไปลึกอีกนิดก็จะเจอกับร้านอาหารญี่ปุ่น ทั้งราเมน ซูชิ ซุ้มขายทาโกะยากิ รวมไปถึงร้านขนมเบเกอรี่ญี่ปุ่นก็มีเช่นกัน
แต่ที่ทำให้อุ่นใจสุดๆ ก็คือซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่พอสมควร ชื่อว่ายูเอฟเอ็ม ฟูจิซูเปอร์ ที่จะมีของที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบประกอบอาหารทั้งของสดของแห้งอย่างเส้นโซบะ เส้นอุด้ง สาหร่ายแผ่น เครื่องปรุงรสอย่างซอส ซีอิ้วญี่ปุ่น เหล้าญี่ปุ่น ดังนั้นใครที่อยากทำอาหารญี่ปุ่นแต่ยังหาวัตถุดิบได้ไม่ครบก็ลองมาดูที่นี่ได้ แต่หากไม่อยากลงมือทำเองจะมาหาซื้ออาหารสำเร็จรูปในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ก็มีขาย อย่างเช่นข้าวปั้นห่อสาหร่ายชิ้นโต ข้าวกล่องหรือเบนโตะกล่องใหญ่น่ากิน นอกจากนั้นก็ยังมีขนมขบเคี้ยวจากญี่ปุ่นที่มีหีบห่อน่ารักๆ และในซูเปอร์มาเก็ตที่นี่เองที่จะพบคนญี่ปุ่นมากหน้าหลายตายิ่งกว่าที่อื่นๆ พอให้เคลิ้มๆไปได้ว่ากำลังเดินอยู่ในซูเปอร์มาเก็ตที่ญี่ปุ่นไปได้เหมือนกัน
ส่วน "โคเรียน ทาวน์" นั้น ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท พลาซ่า ปากซอยสุขุมวิท 12 กลายมาเป็นย่านคนเกาหลีได้ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับย่านชาวญี่ปุ่นนั่นเอง โคเรียน ทาวน์นี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นเพียงอาคารสี่ชั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็ได้บรรยากาศของความเป็นเกาหลีอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเดินเข้ามาภายในสุขุมวิทพลาซ่าแห่งนี้แล้ว มองไปทางไหนก็จะเห็นภาษาเกาหลี เกาหลี และเกาหลีอยู่ทุกด้าน บ้างก็มีภาษาไทยกำกับ บ้างก็ไม่มี เช่น ร้านอาหารที่มีอยู่มากถึงสิบกว่าร้าน ถูกใจคออาหารเกาหลีดีนักแล เมื่อลองอ่านชื่อร้านเหล่านั้นดูก็ยิ่งได้บรรยากาศของเกาหลียิ่งขึ้นไปใหญ่ เช่น ร้านกวาน ฮัน รู ร้านยู ริม จอง ร้านโจ บัง นัคจิ ร้านอล มี จอง ฯลฯ
และที่นี่ก็มีฟู้ดมาร์ทหรือคล้ายร้านสะดวกซื้อ สำหรับแม่บ้านชาวเกาหลีหรือใครก็ตามที่อยากทำอาหารเกาหลีกินเองที่บ้าน ก็สามารถมาซื้อหาวัตถุดิบที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีได้จากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป น้ำปลา น้ำตาล ซอสและน้ำจิ้มชนิดต่างๆ สาหร่ายแผ่น พริกเกาหลีที่คล้ายๆ น้ำพริกเผา เส้นก๋วยเตี๋ยวแบบต่างๆ ที่คนเกาหลีเขานิยมกินกันด้วย และที่สำคัญก็คือกิมจิหลากหลายชนิด รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวอีกด้วย
และหากเดินขึ้นไปบนชั้น 2-3 ของโคเรียน ทาวน์ ก็จะได้ยินเสียงเพลงเกาหลีจากร้านคาราโอเกะที่มีอยู่หลายร้านด้วยกัน ซึ่งก็มีเพลงเกาหลีมาอัพเดทให้นัก(อยาก)ร้องได้มาสนุกกัน นอกจากนั้นก็ยังมีร้านเช่าหนังสือ ร้านเช่าวิดีโอ ให้ได้มีกลิ่นอายของความเป็นเกาหลีกันบ้าง
แค่ได้เดินย่ำอยู่ในเมืองกรุงที่เดียว ก็เหมือนได้ไปเยือนมาแล้วถึง 5 ประเทศ เพราะความหลากหลายอย่างนี้นี่เอง ฉันจึงรักกรุงเทพฯเป็นที่สุด
ความใฝ่ฝันของฉัน น่าจะเหมือนกับความฝันของหลายๆคน ที่อยากจะทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลก หรือไปเที่ยวในประเทศที่ใฝ่ฝันมานาน ฉันเองฝันอย่างนี้มาหลายปีแล้ว แต่เท่าที่ไปได้ก็แค่นอกเมืองเท่านั้นเอง แต่แม้จะเบี้ยน้อยหอยน้อยฉันก็ไม่แคร์ เพราะมีหลายๆแห่งในบ้านเรา ที่เมื่อได้ย่างเท้าลงไปสัมผัสบรรยากาศแล้ว ก็สามารถหลับตานึกว่ากำลังเดินเล่นอยู่ที่ต่างประเทศได้ไม่ยากเย็นนัก
สำหรับย่านต่างประเทศที่แรกที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็ต้องยกให้ "ไชน่าทาวน์" หรือ "เยาวราช" ย่านคนไทยเชื้อสายจีน ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 1 มีพระราชประสงค์จะสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้น แต่พื้นที่บริเวณนั้นมีชาวจีนตั้งบ้านเรือนอยู่ก่อนแล้ว พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ชาวจีนย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่อยู่บริเวณปากคลองสามเพ็ง หรือสำเพ็งในปัจจุบัน และได้มีการขยายชุมชนใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นย่านคนจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ศูนย์กลางของ "ไชน่าทาวน์" ในปัจจุบันนั้นก็อยู่ที่บริเวณถนนเยาวราช ถนนสายมังกร ซึ่งหากใครได้ไปเดินเล่นแถวๆ นั้นอาจจะเผลอคิดไปว่าไปเดินอยู่ในมุมหนึ่งในเมืองจีน เพราะนอกจากป้ายร้านรวงต่างๆ จะเป็นภาษาจีนละลานตาเต็มไปหมด ก็ยังจะได้ยินเพลงจีน ได้ฟังภาษาจีนจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ได้เห็นภัตตาคารจีนมากมายหลากหลายร้าน ได้เห็นภูมิปัญญาแบบคนจีน เช่น การเขียนตัวอักษรจีน รวมไปถึงวัดจีน ศาลเจ้าจีนที่มีอยู่หลายแห่งในบริเวณนั้น จึงถือเป็นย่านต่างประเทศที่สมบูรณ์แบบย่านหนึ่ง
คราวนี้ไปเที่ยวอินเดียกันบ้างดีกว่า ที่ "ลิตเติ้ล อินเดีย" หรือ "พาหุรัด" นั่นเอง พูดถึงพาหุรัดก็จะนึกถึงย่านที่ขายผ้าผ่อนแพรพรรณ และเมื่อนึกถึงผ้าก็จะนึกถึงแขกขายผ้าตามไปด้วย เพราะที่ย่านพาหุรัดนี้เป็นที่อยู่อาศัยและทำมาค้าขายของชาวซิกข์ ที่เดินทางเข้ามาอยู่ในย่านพาหุรัดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
นอกจากผ้านานาชนิดแล้ว ที่พาหุรัดนี้ก็มีอุปกรณ์สำหรับเย็บผ้าทุกประเภท รวมไปถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่นอกจากจะมีเสื้อผ้าธรรมดาๆ แล้ว ส่วนใหญ่หลายร้านมักจะมีส่าหรีแขวนโชว์ไว้ แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการซื้อขายได้ดีทีเดียว
มาที่พาหุรัดแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปสักการะและไปชมศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาของชุมชนชาวซิกข์ในย่านนี้ ที่ "คุรุดวาราศรีคุรุสิงห์สภา" วัดซิกข์แห่งแรกของไทย เพื่อสักการะพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบ อันเป็นที่เคารพของชาวซิกข์ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมได้ แต่ต้องแต่งกายสุภาพ ผู้หญิงจะต้องสวมผ้าคลุมผม ที่ทางวัดมีจัดเตรียมไว้ให้
และหากจะให้ได้บรรยากาศของความเป็นลิตเติ้ล อินเดีย มากขึ้น ก็ต้องลองเดินเข้ามาในซอยเล็กๆ ข้างห้าง ATM เก่า หรือที่ตอนนี้กลายเป็นห้าง อินเดีย เอ็มโพเรียม ไปแล้ว ในซอยแห่งนี้แม้จะเป็นซอยเล็กๆแต่ก็มีกลิ่นอายของอินเดียด้วยร้านรวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายกำยานและธูปหอมที่ใช้บูชาเทพเจ้ากำลังส่งกลิ่นกำจายออกมาพร้อมกับควันบางๆ ร้านขายซีดีหนัง ละคร และเพลงสไตล์อินเดีย ใครที่นิยม "บอลลีวูด" ก็ลองมาเมียงมองหาหนังที่ต้องการกันได้ นอกจากนั้นก็ยังมีร้านขายเทวรูปสไตล์ฮินดู รวมไปถึงอาหารของชาวอินเดียอย่าง "หมากหวาน" ก็น่าลิ้มลองดูเหมือนกัน
ไปเที่ยวแถบจีนและอินเดียกันมาแล้ว คราวนี้ไปย่ำ "ยุโรป" กันบ้างดีกว่า ใครจะเชื่อว่าแค่นั่งรถเมล์เสียแค่ 7 บาท หรือเผลอๆได้นั่งรถเมล์ฟรีไม่เสียเงิน ก็จะได้มาเดินอยู่ในบรรยากาศคล้ายๆยุโรปแล้ว หากมาเดินที่บริเวณข้างตึกกระทรวงกลาโหม ฝั่งกรมแผนที่ทหาร เราก็จะได้บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในถนนแถบยุโรปได้อย่างง่ายๆ เพราะตัวตึกของกระทรวงกลาโหมนี้งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ตัวอาคารทาด้วยสีเหลืองนวล หากมองทางด้านหน้าตึกก็จะเห็นเป็นหน้าจั่วทรงโรมัน ตกแต่งด้วยปูนปั้น ที่มุขชั้นสองมีระเบียงกว้าง และเสาแบบโรมัน
แต่จะเข้าไปเดินเล่นทางด้านหน้าตึกก็คงจะโดนพี่ทหารสอยเอาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเลี่ยงไปเดินที่ด้านข้างตึกแทนดีกว่า ตรงจุดนี้ก็เป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายโฆษณามาหลายชิ้นแล้ว ก็เนื่องด้วยบรรยากาศที่สวยงามอย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละ ตัวตึกสไตล์ยุโรป มีเสาไฟหน้าตาดูคลาสสิคตั้งอยู่เป็นระยะๆ น่าเกี่ยวก้อยแฟนมาเดินด้วยยิ่งนัก
ส่วนตัวอาคารของกรมแผนที่ทหารที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งสร้างในรัชกาลเดียวกันก็มีกลิ่นอายของตะวันตกไม่น้อยเหมือนกัน ตัวอาคารก่ออิฐฉาบปูน หลังคาทรงปั้นหยา มีจุดเด่นอยู่ตรงโถงทางเข้าด้านหน้า โถงทางเข้ารอง และโถงทางเข้าตอนปลายสุดของอาคาร ที่มีการตกแต่งหน้าจั่วด้วยลวดลายปูนปั้น มีเสาดอริกรับน้ำหนักและเพิ่มความงดงาม และหากจะเดินเลยไปทางกระทรวงมหาดไทยก็ยังได้บรรยากาศของฝั่งตะวันตกอยู่เช่นกัน
แต่ขอแนะนำอย่างหนึ่งว่าหากใครอยากจะมาเดินกินบรรยากาศบริเวณนี้ ก็ขอให้มาในวันเสาร์อาทิตย์เป็นดีที่สุด เพราะในวันธรรมดาสองข้างถนนนี้จะถูกใช้เป็นที่จอดรถ เสียบรรยากาศของความเป็นยุโรปหมดเลย
ส่วนอีกสถานที่หนึ่งที่รับรองได้ว่าต้องได้บรรยากาศของยุโรปแน่ๆ นั่นก็คือบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่สร้างเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 ตัวอาคารนั้นเป็นอาคารแบบโดมคลาสสิคของโรมัน เป็นศิลปะแบบอิตาเลียนเรเนอซองส์ ผสมกับศิลปะแบบนีโอคลาสสิค ซึ่งรูปทรงของพระที่นั่งอนันตสมาคมนี้เป็นแบบเดียวกับวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งโรม และโบสถ์เซนต์ปอล ในกรุงลอนดอน อย่างนี้จะไม่ให้บอกว่ายุโรปได้อย่างไรไหว แม้จะไม่ได้เข้าไปชมด้านใน เพียงแค่เดินเลาะเลียบริมรั้วพระที่นั่ง ก็ได้บรรยากาศอันงดงามประทับใจ
ย่านต่างประเทศที่กล่าวมาล้วนเก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน แต่ย่านต่างประเทศที่ฉันจะพาชมต่อไปนี้เป็นย่านใหม่ เพิ่งจะเกิดมีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ นั่นก็คือย่าน "เจแปนนิส ทาวน์" และ "โคเรียน ทาวน์" นั่นเอง
สำหรับ "เจแปนนิส ทาวน์" นั้น ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท ในซอยสุขุมวิท 33/1 เพราะในแถบนี้เป็นย่านที่คนญี่ปุ่นอาศัยอยู่มากที่สุดในกรุงเทพมหานคร และเมื่อมีคนชาติเดียวกันมาอาศัยอยู่รวมกันมากๆ เข้า จึงมีคนคิดทำธุรกิจที่สนองตอบความต้องการของคนชาตินั้นๆ อย่างเช่นร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ เป็นต้น
เจแปนนิส ทาวน์ในซอยสุขุมวิท 33/1 นี้แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่หากคนญี่ปุ่นมาเดินก็คงจะรู้สึกอุ่นใจบ้างไม่มากก็น้อย เพราะนอกจากจะได้ยินเสียงภาษาญี่ปุ่นโนะๆเนะๆมาจากคนที่เดินผ่านไปมาในซอยนี้แล้ว ก็จะได้พบกับร้านค้าที่สินค้าทุกอย่างราคาเดียว และเป็นสินค้าที่มาจากประเทศญี่ปุ่น เดินเข้าไปลึกอีกนิดก็จะเจอกับร้านอาหารญี่ปุ่น ทั้งราเมน ซูชิ ซุ้มขายทาโกะยากิ รวมไปถึงร้านขนมเบเกอรี่ญี่ปุ่นก็มีเช่นกัน
แต่ที่ทำให้อุ่นใจสุดๆ ก็คือซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่พอสมควร ชื่อว่ายูเอฟเอ็ม ฟูจิซูเปอร์ ที่จะมีของที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบประกอบอาหารทั้งของสดของแห้งอย่างเส้นโซบะ เส้นอุด้ง สาหร่ายแผ่น เครื่องปรุงรสอย่างซอส ซีอิ้วญี่ปุ่น เหล้าญี่ปุ่น ดังนั้นใครที่อยากทำอาหารญี่ปุ่นแต่ยังหาวัตถุดิบได้ไม่ครบก็ลองมาดูที่นี่ได้ แต่หากไม่อยากลงมือทำเองจะมาหาซื้ออาหารสำเร็จรูปในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ก็มีขาย อย่างเช่นข้าวปั้นห่อสาหร่ายชิ้นโต ข้าวกล่องหรือเบนโตะกล่องใหญ่น่ากิน นอกจากนั้นก็ยังมีขนมขบเคี้ยวจากญี่ปุ่นที่มีหีบห่อน่ารักๆ และในซูเปอร์มาเก็ตที่นี่เองที่จะพบคนญี่ปุ่นมากหน้าหลายตายิ่งกว่าที่อื่นๆ พอให้เคลิ้มๆไปได้ว่ากำลังเดินอยู่ในซูเปอร์มาเก็ตที่ญี่ปุ่นไปได้เหมือนกัน
ส่วน "โคเรียน ทาวน์" นั้น ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท พลาซ่า ปากซอยสุขุมวิท 12 กลายมาเป็นย่านคนเกาหลีได้ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับย่านชาวญี่ปุ่นนั่นเอง โคเรียน ทาวน์นี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นเพียงอาคารสี่ชั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็ได้บรรยากาศของความเป็นเกาหลีอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเดินเข้ามาภายในสุขุมวิทพลาซ่าแห่งนี้แล้ว มองไปทางไหนก็จะเห็นภาษาเกาหลี เกาหลี และเกาหลีอยู่ทุกด้าน บ้างก็มีภาษาไทยกำกับ บ้างก็ไม่มี เช่น ร้านอาหารที่มีอยู่มากถึงสิบกว่าร้าน ถูกใจคออาหารเกาหลีดีนักแล เมื่อลองอ่านชื่อร้านเหล่านั้นดูก็ยิ่งได้บรรยากาศของเกาหลียิ่งขึ้นไปใหญ่ เช่น ร้านกวาน ฮัน รู ร้านยู ริม จอง ร้านโจ บัง นัคจิ ร้านอล มี จอง ฯลฯ
และที่นี่ก็มีฟู้ดมาร์ทหรือคล้ายร้านสะดวกซื้อ สำหรับแม่บ้านชาวเกาหลีหรือใครก็ตามที่อยากทำอาหารเกาหลีกินเองที่บ้าน ก็สามารถมาซื้อหาวัตถุดิบที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีได้จากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป น้ำปลา น้ำตาล ซอสและน้ำจิ้มชนิดต่างๆ สาหร่ายแผ่น พริกเกาหลีที่คล้ายๆ น้ำพริกเผา เส้นก๋วยเตี๋ยวแบบต่างๆ ที่คนเกาหลีเขานิยมกินกันด้วย และที่สำคัญก็คือกิมจิหลากหลายชนิด รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวอีกด้วย
และหากเดินขึ้นไปบนชั้น 2-3 ของโคเรียน ทาวน์ ก็จะได้ยินเสียงเพลงเกาหลีจากร้านคาราโอเกะที่มีอยู่หลายร้านด้วยกัน ซึ่งก็มีเพลงเกาหลีมาอัพเดทให้นัก(อยาก)ร้องได้มาสนุกกัน นอกจากนั้นก็ยังมีร้านเช่าหนังสือ ร้านเช่าวิดีโอ ให้ได้มีกลิ่นอายของความเป็นเกาหลีกันบ้าง
แค่ได้เดินย่ำอยู่ในเมืองกรุงที่เดียว ก็เหมือนได้ไปเยือนมาแล้วถึง 5 ประเทศ เพราะความหลากหลายอย่างนี้นี่เอง ฉันจึงรักกรุงเทพฯเป็นที่สุด