เอกชนท่องเที่ยวอัดม็อบเสื้อแดงยับ เห็นแค่ประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว ทำประเทศย่อยยับ นายกฯแอตต้าย้ำถ้าเป็นเช่นนี้ผู้ร่วมชุมนุมอาจตกงานได้ แต่คนต้นเหตุไม่สะเทือนเพราะมีเงินกว่าหมื่นล้าน ประธานสทท.ระบุพิษการเมืองและเศรษฐกิจโลกทำรายได้ท่องเที่ยววูบ 25% ภาพเหตุการณ์ทุบรถนายกรัฐมนตรี ถ้าเกิดซ้ำอีกในช่วงประชุมผู้นำอาเซียน มีหวังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยพังทั้งหมด วอนทุกฝ่ายยุติด่วน
นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรณีภาพเหตุการณ์ม็อบเสื้อแดงทุบรถนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เม.ย.52 ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกนั้นย่อมส่งผลกระทบด้านความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยให้ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่รู้จักหรือทราบข้อมูลของประเทศไทยอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างดีที่สุด บนพื้นฐานความเป็นจริง และยังคงเดินหน้าทำภารกิจส่งเสริมให้ชาวต่างชาติและคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน ททท. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฎิบัติการวางแผนการท่องเที่ยวและศูนย์ปฎิบัติการในภาวะวิกฤต กล่าวว่า ขณะนี้ ททท.ยังไม่มีการตั้งวอร์รูม เพราะสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง แต่ก็เฝ้าจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานไปยังสำนักงาน ททท.ในต่างประเทศให้รับทราบ เพื่อนำไปบอกกล่าวแก่นักท่องเที่ยวและบริษัททัวร์ไม่ให้วิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือว่ามีความสำคัญกับคนไทย ที่จะใช้ช่วงเวลานี้เดินทางพบปะญาติพี่น้อง ทำบุญ รื่นเริงต่างๆ ดังนั้นจึงมองว่าการชุมนุมคงไม่ยืดเยื้อ นอกจากนั้นช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์นี้ ททท.ก็จัดทีมคอยให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว รวมถึงเฝ้าระวังหากเกิดสถานการณ์ที่จะกระทบต่อท่องเที่ยวด้วย
ท่องเที่ยวฉะม็อบทำเพื่อคนเพียงคนเดียว
ทางด้านภาคเอกชน นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในฐานะกรรมการสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟตต้า) กล่าวว่า ในวันนี้(9 เม.ย.52) เฟสต้า ซึ่งประกอบด้วย 8 สมาคมด้านการท่องเที่ยวจะเปิดแถลงจุดยืนและผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่กระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะจากภาพการชุมนุมที่เกิดขึ้นมาช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย บางรายยกเลิกแบบไม่มีกำหนด ยิ่งมีภาพการบุกทุบรถผู้ประประเทศออกมาเผยแพร่เช่นนี้ ยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติขาดความเชื่อมั่นประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดชาร์เตอร์ไฟล์จากประเทศจีน ที่จะเดินทางเข้ามาช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ มีบางกลุ่มบอกยกเลิกการเดินทางมาแล้ว ส่วนบริษัทนำเที่ยวในจีนก็ไม่กล้าที่จะขายทัวร์ประเทศไทยในช่วงวันแรงงานที่กำลังจะมาถึงนี้ เพราะไม่ทราบว่าสถานการณ์จะบานปลายหรือไม่ หากรัฐบาลปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อาจมีผลให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องถึงขั้นปิดกิจการ
“ความจริงนักท่องเที่ยวต่างชาติยังอยากที่จะมาเที่ยวประเทศไทย เพราะคุ้มค่าเงินแต่เมื่อเกิดความวุ่นวายเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าคงไม่ปลอดภัยถ้าจะเดินทางเข้ามา จึงต้องการเตือนสติผู้ชุมนุมว่าหากเป็นเช่นนี้ คนที่จะเจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ชุมนุม เพราะอาจถึงขั้นตกงานได้ เพียงแค่ออกมาเรียกร้องให้แก่บุคคลเพียงคนเดียว เพราะแม้ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ เขาก็มีเงินเป็น 10,000 ล้านบาท คงไม่เดือดร้อนเท่ากับมนุษย์เงินเดือนหรือผู้ใช้แรงงานอย่างเรา”
ด้านนายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองของไทย ทำให้หลายตลาดที่ซบเซาอยู่ขณะนี้ยิ่งฟื้นตัวช้าออกไปอีก เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ จีน จากที่ สทท.คาดว่าจะฟื้นได้ในไตรมาส 2-3 ปีนี้ ก็อาจจะเลยไปถึงปีหน้าได้ ภาพการรุมทุบรถนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะหากเกิดขึ้นอีกครั้งในการประชุมผู้นำจากประเทศอาเซียนบวก 3 และบวก 6 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยคงพังไป เลยอย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวถึงสิ้นปีนี้ สทท.ยังคงตั้งไว้ที่ 12.8 ล้านคน ลดลง 13 %จากปีก่อน แต่ในส่วนของรายได้น่าจะลดลงไปกว่า 25% หรือเหลือเพียง 440,000 ล้านบาทเท่านั้น โดย หลังสงกรานต์ สทท.นัดประชุมสมาชิกในวันที่ 21 เม.ย. 52 เพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง
ทุบรถนายกทำพัทยาหวั่นนักท่องเที่ยวหาย
นางสาวอลิสา พันธุศักดิ์ ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก เผยถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองพัทยา รวมถึงการก่อเหตุทุบรถยนต์ของนายก รัฐมนตรีเมื่อครั้งเดินทางมาประชุม ครม.สัญจรเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา และการเตรียมป่วนการประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างวันที่ 9-12 เมษายนนี้ว่า นอกจากจะซ้ำเติมการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาที่กำลังจะฟื้นตัวแล้ว ยังถือเป็นการซ้ำเติม เศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ไม่เพียงแต่จะได้รับผลกระทบจากสภาพการเมืองเท่านั้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่มีผลให้การเดินทางเข้าพักของกลุ่มคนต่างชาติลดน้อยลงเรื่อยๆ
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองพัทยา ต่างรอคอยและมีความหวังว่า การท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งในแต่ละปีจะมีกลุ่มคนไทยเดินทางเข้ามาในเมืองพัทยาเป็นจำนวนมากและจะทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานตลอดช่วงโลว์ซีซัน แต่ในปีนี้เมืองพัทยากลับเจอเรื่องชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งอาจทำให้กลุ่มคนไทยที่เคยคิดว่าจะท่องเที่ยวในประเทศ หันไปท่องเที่ยวในต่างประเทศแทนเพราะเบื่อหน่ายการชุมนุมซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ก็เจอหนีมาต่างจังหวัดก็ยังต้องเจอ
“ธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศโดยเฉพาะพัทยา ต่างรอคอยเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีการเดินทางของคนไทยด้วยกัน แต่ปีนี้คนไทยด้วยกันเองกลับเป็นผู้ทำลายเศรษฐกิจในบ้านของตัวเอง ทั้งที่รัฐบาลก็พยายามนำการประชุมระดับโลกเข้ามาและพยายามกระจายเม็ดเงินไปยังภาคส่วนต่างๆ แต่คนไทยด้วยกันกลับไม่กลัวเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ อาจเป็นเพราะตอนนี้เดือนพฤษภาคมยังมาไม่ถึงซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นประเทศไทยจะต้องเจอปัญหาเศรษฐกิจอีกมาก”
นางสาวอลิสา ยังเผยอีกว่า ทางออกที่ดีที่สุดของสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ก็คือ การไกล่เกลี่ยเพื่อให้ปัญหายุติลง และวิงวอนให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ควรนำปัญหาของคนๆ เดียวมาสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในประเทศและขอให้ทุกฝ่ายหันมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะทำให้ทุกคนได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
ขณะที่นายนิติ คงกรุต ผู้อำนวยผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคกลาง เขต 3 (พัทยา) เผยถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีจนถึงขั้นปิดทางเข้าออกโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีและรอป่วนการประชุมสุดยอดอาเซียนและประเทศคู่เจรจาว่า แม้จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมประชุมของกลุ่มผู้นำอาเซียนและจากข้อมูลล่าสุดระบุว่าผู้นำจากประเทศต่างๆ ได้ยืนยันการเข้าร่วมประชุมหมดแล้ว เหลือเพียงเช็คเที่ยวบินที่จะเดินทางถึงประเทศไทยเท่านั้นซึ่งหลายผู้นำน่าจะเลือกบินตรงมา ยังสนามบินอู่ตะเภา จังหวัดระยองที่มีความปลอดภัยสูงและเป็นพื้นที่ที่กลุ่มเสื้อแดงจะไม่สามารถเข้าไปชุมนุม หรือปิดล้อมได้
“ภาพการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองพัทยาจะไม่กระทบต่อการประชุมสุดยอดอาเซียน รวมถึงการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของกลุ่มคนไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะนักท่องเที่ยวจะเข้ามาพัทยาหลังวันที่ 12 ไปจนถึงหลังเทศกาลสงกรานต์ ถึงวันนั้นการประชุมก็จบไปแล้วและคิดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงก็คงเลิกชุมนุม แต่ถ้ายังไม่เลิกเราก็คงไปห้ามเขาไม่ได้ เพราะเวลานี้มันไม่มีใครฟังใครแล้ว อย่างไรก็ดี แม้ว่าการปิดล้อมสถานที่ประชุมของกลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวในส่วนตลาดคนไทย แต่ภาพที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกย่อมกระทบต่อการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาในช่วงไฮซีซันที่กำลังจะถึงนี้อย่างแน่นอน”
นายนิติ ยังเผยอีกว่า ขณะนี้สถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม รวมถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเมืองพัทยาเริ่มจัดแพ็กเกจท่องเที่ยวขายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อให้เดินทางเข้ามาในช่วงไฮซีซันแล้ว แต่เมื่อมีข่าวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเผยแพร่ออกไปก็คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไปได้ หากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหันไปท่องเที่ยวในประเทศอื่น ซึ่งเราก็ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาในช่วงไฮซีซันที่จะถึงนี้ย่อมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างแน่นอน
ท่องเที่ยวเชียงใหม่สิ้นหวังโกยรายได้สงกรานต์
ปีนี้สงกรานต์เชียงใหม่ไร้มนต์ขลัง เจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมกุมขมับหมดหวังโกยรายได้เหตุนักท่องเที่ยวจองห้องพักไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ระบุหมดช่วงเทศกาลหากสายป่านไม่ยาวต้องปลดพนักงานก่อนเป็นอันดับแรก หากสถานการณ์บ้านเมืองไม่ดีขึ้นเตรียมขายกิจการกันเป็นแถว ด้านททท.ปั้นตัวเลขบนอากาศหวังรายได้สงกรานต์ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 700 ล้าน เพ้อไตรมาส 3 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะคึกคักขึ้น
นายกนก สุวรรณวิสูตร์ นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมในภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าอยู่ในสภาวะที่ซบเซาที่สุดโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง โดยดูจากอัตราการเข้าพักโรงแรมระดับ 3, 4 และ 5 ดาว ช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมาเฉลี่ยที่ 57%, 73% และ 40% ตามลำดับ ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตราเข้าพักที่ 81%, 84% และ 72% ตามลำดับ โดยเฉพาะอัตราการเข้าพักของโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ลดลงต่ำสุดจาก 72% เหลือเพียง 40% เท่านั้น
สำหรับเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งจังหวัดอยู่ที่ 38% จากปีก่อนเฉลี่ยที่ 60% ส่วนเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ คาดว่าอัตราเข้าพักโรงแรมในเชียงใหม่จะเฉลี่ยที่ 50-55% จากทุกปีจะอยู่ที่ 90-95%
นายกนกกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการโรงแรมระดับ 4-5 ดาวกำลังวิเคราะห์กันว่า หากสถานการณ์หลังจากนี้ไปไม่ดีขึ้น อาจจะต้องมีการปรับลดพนักงานลงอย่างน้อย 15% หรือประมาณ 4,000 คน และหากยังไม่ดีขึ้นอีกก่อนสิ้นปีหรือไตรมาส 3 อาจจะมีการปรับลดพนักงานอีกครั้งราว 25% หรือ 6,000 คน และเมื่อถึงที่สุดแล้วเจ้าของโรงแรมรายใดสายป่านทางการเงินไม่ยาวพอก็อาจจะต้องถึงกับขายกิจการก็เป็นได้
“ตอนนี้แต่ละโรงแรมได้มีการลดราคาห้องพักลงกว่า 70% ของราคาปกติแล้ว ซึ่งไม่สามารถลดลงกว่านี้ได้อีก อย่างโรงแรม 3 ดาวปัจจุบันราคาเหลือคืนละ 900-1,000 บาท หากต่ำกว่านี้กิจการก็อยู่ไม่ได้”
ด้าน นายสมฤทธิ์ ไหคำ ประธานชมรมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ กล่าวว่า ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาเทศกาลสงกรานต์ของเชียงใหม่ถือว่าเป็นที่นิยมอันดับหนึ่งของประเทศ ที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเล่นน้ำสงกรานต์ที่นี่ แต่สำหรับปีนี้น่าจะถือเป็นปีที่ภาวะท่องเที่ยวต่ำสุดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจหรือการเมือง ที่ทำให้ประเทศวุ่นวายยังหาจุดจบไม่เจอ ปีที่ผ่านมาแม้ภาวะเศรษฐกิจส่อแววว่าจะมีปัญหาแต่ตัวเลขของนักท่องเที่ยวก็ยังดีกว่าปีนี้มาก ซึ่งถือว่าเมื่อเทียบกันกับปีที่แล้วปี 52 นี้ตัวเลขตกลงไปกว่า 50 % ในส่วนมัคคุเทศก์เองแทบจะไม่มีลูกค้าเข้ามาเลย
“ก็ไม่รู้ว่าตลอดทั้งปีนี้ภาวการณ์ท่องเที่ยวจะดีขึ้นหรือไม่ ถ้าดีไม่เท่าปีที่แล้วก็ขอแค่สามารถประคองกันไปให้พ้นปีนี้ก็แล้วกันและหวังว่าทั้งภาวะเศรษฐกิจและการเมืองน่าจะสดใสและเข้าใจกันมากกว่านี้”
ททท.ฝันตัวเลขรายได้สงกรานต์ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 700 ล.
นายเฉลิมศักดิ์ สุรนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวภาคเหนือ เขต 1 (ททท.) เปิดเผยว่า เทศกาลสงกรานต์เชียงใหม่ปีนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเล่นน้ำสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยร้อยละ 70 ซึ่งเดินทางมาเป็นครอบครัวโดยรถยนต์ส่วนตัว ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะเริ่มคึกคักในไตรมาส 3 เป็นต้นไป โดยขณะนี้อัตราการจองห้องพักนักท่องเที่ยวจองมาแล้ว 50% ดังนั้น นักท่องเที่ยวไม่ต้องเกรงว่า มาเที่ยวสงกรานต์ที่เชียงใหม่แล้ว จะไม่มีที่พักเพราะยังมีห้องพักเหลืออีกอย่างเพียงพอ
นายเฉลิมศักดิ์เชื่อว่า ช่วงวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันในช่วงสงกรานต์ จะมีเงินสะพัดมายังภาคเหนือทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายวันละประมาณ 3,500 บาทต่อหัวต่อคน แต่ทั้งนี้สงกรานต์ เชียงใหม่ จะต้องชูจุดขายด้านวัฒนธรรม ประเพณีล้านนาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวหรือ กระตุ้นไทยเที่ยวไทยเป็นหลัก
บรรยากาศสงกรานต์ปีนี้ของเชียงใหม่ยังเชื่อว่า เป็นมนต์เสน่ห์สำคัญที่คนจะมาเที่ยว โดยภายใต้แนวคิดแบบวัฒนธรรมล้านนานั้น ยังสร้างความประทับใจได้มากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวคนไทยเอง และมั่นใจว่ารายได้ที่จะตกในเชียงใหม่น่าจะอยู่ราวๆ วันละ 120-150 ล้าน ส่วนเรื่องหมอกควันก็ไม่น่าจะมีผลกระทบใดๆ แต่ที่ห่วงคือเรื่องการใช้จ่ายต่อหัวของประชาชนที่อาจจะมีน้อยลงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้
สมุย-พะงัน อ่วม ยอดจองห้องพักสงกรานต์เพียง 60%
ผอ.ททท.ระบุพิษความวุ่นวายทางการเมือง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเกาะดังฝั่งอ่าวไทย “สมุย –พะงัน-เกาะเต่า” ลดฮวบ ช่วงเทศกาลสงกรานต์มียอดจองเพียง 60 % ขณะที่พิษเศรษฐกิจที่ถดถอยทั่วโลกนั้น ทำให้ลูกค้าเลือกที่พักราคาถูกมากยิ่งขึ้น ขณะที่โรงแรม รีสอร์ต สุดหรูระดับห้าดาว ต่างหั่นราคาลงมา รองรับนักท่องเที่ยว
นายภาณุ วรมิตร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสาขา จ.สุราษฏร์ธานี เปิดเผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยว 3 เกาะดังฝั่งอ่าวไทย ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ว่า แม้ว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะมีวันหยุดติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน แต่ยอดจองห้องพักของ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า นั้น มียอดจองเพียง 60-65% เท่านั้น จากจำนวนห้องพักของเกาะสมุยซึ่งมีจำนวนประมาณ 16,900 ห้องเกาะพะงันจำนวนประมาณ 6,700 ห้องและเกาะเต่าจำนวนประมาณ 2,500 ห้องซึ่งถือว่ามีอัตราการจองในช่วงเวลาเดียวกันน้อยกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ สาเหตุเนื่องมาจากปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง
ขณะที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า นั้นปัจจุบันเริ่มนิยมเข้าพักตามโรงแรม หรือรีสอร์ท ในระดับล่าง- ถึงระดับกลาง มากยิ่งขึ้น ขณะที่โรงแรม หรือรีสอร์ท สุดหรู ระดับห้าดาวที่มีราคาค่อนข้างสูงนั้นก็ต่างหั่นราคาลดลงมาเพื่อให้อยู่ในราคาที่เหมาะสมทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันกำลังถดถอยทั่วโลก
นายภาณุ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 (ม.ค.-มี.ค.) นี้ว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวลดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ในอัตราร้อยละ 15-20โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนั้นยังอยู่ในระดับทรงตัว
อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าเกาะสมุย ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เป็นกลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงาน หรือนักธุรกิจ กิจกรรมหลักคือพักผ่อนตามชายหาด ดำน้ำดูปะการัง ตีกอล์ฟ ใช้สปาเพื่อสุขภาพและนวดเพื่อเสริมสวย ขณะที่เกาะพะงัน นั้นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น หรือฝรั่งสะพายเป้ นิยมงานปาร์ตี้
ส่วนเกาะเต่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจะเป็นกลุ่มที่ผสมผสานระหว่างนักท่องเที่ยวเกาะสมุย และเกาะพะงัน โดยจองผ่านบริษัทนำเที่ยวแบบเพ็กเกจไปเช้า-เย็นกลับ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางในเส้นทาง จ.ชุมพร-เกาะเต่า ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาเพื่อดำน้ำ ดูปะการัง รวมถึงสัตว์น้ำใต้ท้องทะเล เพราะเกาะเต่าเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์สวยงาม จึงมีนักท่องเที่ยวสนใจเข้าคอร์สดำน้ำ โดยใช้เวลาเรียน 1 สัปดาห์ขึ้นไป