โดย : แมวลาย
และแล้วในที่สุดวันนี้คณะเราก็ได้มาเยือนเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง หรือเมือง "กวางเจา" กันเสียที หลังจากที่ได้ไปตระเวนชมเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รอบเมืองกวางเจามาหลายแห่งแล้ว
เมืองกวางเจานี้ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแพะ" เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันต่อมาว่า ในสมัยราชวงศ์โจว (11-771B.C.) เทพห้าองค์มองเห็นเมืองกวางเจาแห้งแล้งอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง จึงทรงประทับแพะซึ่งคาบรวงข้าวลงมาจากสวรรค์มาให้ชาวบ้าน และได้ดลบันดาลให้เมืองกวางเจามีความเจริญและอุดมสมบูรณ์ จากนั้นเทพทั้งห้าก็หายไป คงเหลือไว้แต่เพียงแพะทั้ง 5 ตัวที่กลายเป็นหิน ดังนั้นชาวเมืองจึงถือว่าแพะเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำเมืองจนทุกวันนี้ กวางเจาจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "เมืองแพะ" หรือ "หยางเฉิน" และมีอนุสาวรีย์ 5 แพะ ให้ชมกันอยู่ในสวนสาธารณะเยี่ยว์ซิ่ว ใจกลางเมืองกวางเจานั่นเอง
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองกวางเจานั้น ก็มีอยู่หลายที่ด้วยกัน สำหรับที่แรกที่ฉันจะพาไปเยี่ยมชมนั้นก็คือ "บ้านตระกูลเฉิน" หรือบ้านของเหล่าคนแซ่เฉิน ซึ่งเป็นแซ่ใหญ่ 1 ใน 5 ของคนกวางเจา "บ้าน" หรือที่ควรจะเรียกว่า "คฤหาสน์" หลังนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ประมาณปี ค.ศ.1890 โดยคนตระกูลเฉินร่วมกันออกเงินสร้างเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูลของตัวเอง และเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมและพร้อมทั้งเป็นสถานที่อบรมลูกหลานก่อนที่จะไปสอบจอหงวน และได้กลายเป็นโรงเรียนตระกูลเฉิน ต่อมารัฐบาลจีนได้บูรณะซ่อมแซมเป็นครั้งใหญ่ และประกาศให้เป็นสถานที่อนุรักษ์ เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมีคุณค่า
ในตอนนี้คฤหาสน์ตระกูลเฉินก็ยังจัดทำเป็น Guangdong Museum of Folk Art หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของกวางตุ้งอีกด้วย โดยได้รวบรวมเอาข้าวของต่างๆที่สะท้อนถึงความเป็นศิลปะพื้นบ้านของกวางตุ้งมาให้ชมกัน ทั้งงานเครื่องกระเบื้องของสือวาน เมืองฝอซาน งานแกะสลักไม้ของกวางโจว ฯลฯ
แต่จุดเด่นของคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่แจ่มชัดที่สุดก็คงเป็นศิลปะและสถาปัตยกรรมของตัวบ้านนั่นเอง ลวดลายอันเป็นมงคลที่ประดับอยู่บนหลังคานั้นทำด้วยเซรามิคที่ปั้นเป็นรูปคนและรูปสัตว์ต่างๆด้วยความประณีต เมื่อผ่านประตูใหญ่เข้าไปยังด้านในก็จะเห็นฉากไม้ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายอันละเอียดและงดงาม
ภายในก็มีการจัดแสดงข้าวของอย่างพวกเครื่องกระเบื้อง งานไม้ งานแกะสลักต่างๆ และยังแบ่งเป็นห้องๆเพื่อจัดแสดงสภาพบ้านเรือนของคนกวางเจาในอดีต ซึ่งมีเครื่องเรือนไม้แบบจีน ตามประตูและหน้าต่างมีกระจกสีเขียนเป็นลวดลายต่างๆงดงามน่าอยู่ไม่น้อย บางห้องจัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินในปัจจุบันอีกด้วย
ไม่ไกลกันนักก็คือ "อนุสรณ์สถาน ดร.ซุน ยัตเซ็น" (Dr.Sun Yat-Sen’s Memorial Hall) ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง ดร.ซุนยัตเซ็น ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของชาวจีน เป็นผู้ปลดปล่อยชาวจีนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ปกครองประเทศจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยบ้านเกิดของเขานั้นก็อยู่ที่เมืองเซียงซัน ในกวางเจานี้เอง
ภายในอนุสรณ์สถานนั้นเป็นหอประชุมขนาดใหญ่รูปทรงแปดเหลี่ยม ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเยี่ยม เพราะสร้างขึ้นโดยไม่มีเสากลางห้องที่จะบดบังสายตาของผู้ชมที่มองไปยังเวที ภายในหอประชุมนั้นมีประวัติของ ดร.ซุน ยัตเซ็นให้อ่านกัน และบริเวณด้านหน้าหอประชุมก็มีอนุสาวรีย์ของ ดร.ซุน ยัตเซ็น ยืนเด่นเป็นสง่า เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องเก็บรูปไปเป็นที่ระลึก อีกทั้งบริเวณรอบๆหอประชุมยังจัดทำเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนเข้ามาพักผ่อนกันได้ด้วย
ที่ต่อมาเราไปกันที่ "พิพิธภัณฑ์สุสานกษัตริย์หนานเยว่" (Nanyue King Museum) สุสานกษัตริย์โบราณสมัยสมัยซีฮั่น (206 ปี ก่อนคริสตกาล) เป็นสุสานของราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด และยังถือเป็น 1 ใน 80 พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของโลกอีกด้วย
ดูจากตัวตึกภายนอกแล้วคงไม่มีใครคิดว่าที่นี่คือสุสาน เพราะตัวตึกภายนอกดูเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ดูทันสมัยสุดๆ แต่เมื่อเข้าไปชมภายในแล้วก็พบว่ายังคงรักษาสภาพโบราณของสุสานนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี โดยหลังจากที่เข้าไปชมวีดิทัศน์แนะนำสถานที่แห่งนี้แล้ว เราก็เริ่มต้นชมภายในสุสานนี้กันต่อ
สุสานแห่งนี้เป็นของฮ่องเต้องค์ที่สองแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตัวสุสานนั้นต้องขุดลึกลงไปใต้ดินถึง 20 เมตร ซึ่งเราสามารถเดินลงไปชมกันได้ ภายในสุสานแบ่งเป็นห้องๆ ซึ่งเป็นห้องสำหรับฝังพระศพของกษัตริย์และมเหสีของพระองค์ โดยในแต่ละห้องนั้นก็มีสมบัติพัสถานอีกมากมายที่ถูกฝังไปด้วยกันตามความเชื่อ แต่ปัจจุบันนี้ตัวสุสานก็เหลือเพียงห้องเปล่าๆ ส่วนสมบัติต่างๆ ที่ขุดขึ้นมาได้นั้นก็ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดภายในพิพิธภัณฑ์นี้ก็คือชุดหยกที่เอาไว้ห่อหุ้มพระศพของกษัตริย์ โดยชาวฮั่นเชื่อกันว่า หยกนั้นมีพลังที่จะช่วยไม่ให้ศพเน่าเปื่อย จึงมักจะพบหยกอยู่ในหลุมศพด้วยเสมอ โดยชุดหยกที่ห่อหุ้มพระศพของกษัตริย์ฮั่นองค์นี้นั้นทำด้วยหยกกว่า 2,291 ชิ้น แต่ละชิ้นจะร้อยโยงกันด้วยทอง เงิน และทองแดง โดยเมื่อมีการขุดพบและทำความสะอาดแล้ว ก็พบว่าพระศพในชุดหยกนี้ถูกย่อยสลายด้วยกาลเวลาจนเหลือเพียงเศษกระดูก ชุดหยกชุดนี้จึงนับเป็นสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมหนานเยว่อันมีค่ายิ่ง
ข้าวของอื่นๆที่นำออกมาจากสุสานนั้นก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ อาวุธ มีด ดาบ ตราประทับทำด้วยทอง แจกันทองเหลือง เชิงเทียน ภาชนะต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีค่าประเมินมิได้ทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงขอแนะนำว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง
คราวนี้ไปเพลิดเพลินกับบรรดาสิงสาราสัตว์กันที่ "Xiangjiang Safari Park" กันบ้างดีกว่า สวนสัตว์แห่งนี้อยู่นอกเมืองไปสักหน่อย แต่ยังคงอยู่ในเมืองกวางเจานี่เอง ที่นี่มีสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่กว่า 20,000 ตัว และกว่า 450 สายพันธุ์ ซึ่งก็มีทั้งโซนที่ให้เราขับรถส่วนตัว หรือนั่งรถรางของทางสวนสัตว์เพื่อเข้าไปชมสัตว์ต่างๆ ซึ่งก็ได้แก่สัตว์ในแถบโซนแอฟริกา เช่น สิงโตแอฟริกา แรดขาว ฮิปโปโปเตมัส เสือชีตา ม้าลาย ยีราฟ นกกระจอกเทศ สัตว์นักกล่าอย่างพวก เสือขาว สิงโต เสือดาว เสือเบงกอล หรือสัตว์จำพวกกวาง เก้ง นกยูง และอูฐ ก็มีให้ชมด้วยเช่นกัน
ส่วนในโซนของการเดินเท้าชมสัตว์ ก็ต้องไม่พลาดชมเจ้าหมีแพนด้าที่มีอยู่เป็นสิบตัว หมีโคอาล่าจากออสเตรเลียก็กำลังมีลูกตัวเล็กๆ เกาะหลังแม่ก็น่ารักไม่น้อย และสัตว์ชนิดอื่นๆอีกมากมาย เรียกว่าหากจะชมกันจริงๆ จังๆแล้วก็หมดวันเลยทีเดียว
แต่ความบันเทิงภายในบริเวณสวนสัตว์ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งรวมความสนุกสนานแบบครบครัน มีทั้งสวนสนุก สวนน้ำ สวนจระเข้ คณะละครสัตว์นานาชาติ สนามกอล์ฟ แล้วก็โรงแรมอยู่ในบริเวณเดียวกันอย่างพร้อมสรรพเลยทีเดียว และที่ฉันไม่อยากให้พลาดก็คือการชมละครสัตว์ ซึ่งมีคณะนักแสดงจากประเทศรัสเซียซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของกายกรรมมาร่วมให้ความบันเทิง พร้อมกับสัตว์ต่างๆที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ชมได้ตลอดการแสดง
ปิดท้ายด้วยกิจกรรมที่คนไทยไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว นั่นก็คือการช้อปปิ้ง โดยที่เมืองกวางเจานี้ก็ถือเป็นสวรรค์ของนักช้อปปิ้งเช่นเดียวกัน เพราะเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าแหล่งใหญ่ของโลก ด้วยความที่ค่าแรงถูก บริษัทต่างๆ จึงมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตที่กวางเจา แล้วส่งออกขายไปยังประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องหนัง หรือสินค้าจำพวกของเล่นในร้านกิ๊ฟท์ช้อปต่างๆ
"เป่ยจิงลู่" หรือถนนปักกิ่ง ก็เป็นแหล่งช้อปที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในกวางเจา ถนนเส้นนี้นั้นสร้างทับถนนโบราณ จึงมีการเก็บรักษาสภาพของถนนเก่าเส้นนั้นไว้ให้ผู้คนที่มาเดินช้อปปิ้งได้ทราบถึงความสำคัญกันด้วย ที่นี่นั้นก็มีบรรยากาศคล้ายสยามสแควร์บ้านเรา มีร้านค้าและตรอกซอกซอยให้เดินมากมาย และมีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม และแบบที่ต่อรองได้ให้เลือกช้อปกัน
หรือหากจะอยากจะได้พวกของเล่นแบบร้านกิ๊ฟท์ช้อปน่ารักๆ ก็ต้องไปที่ตึก One Link ที่เป็นห้างใหญ่แปดชั้น มีข้าวของกระจุกกระจิกมากมายตามแต่จะนึกออก แต่มีข้อแม้ก็คือต้องซื้อในจำนวนมากๆ จึงจะได้ราคาถูก หากซื้อเพียงชิ้นสองชิ้นก็จะยังมีราคาแพงอยู่ ก็คล้ายๆสำเพ็งบ้านเรานั่นเอง ซึ่งของที่สำเพ็งส่วนหนึ่งก็นำมาจากกวางเจานี่เองแหละ
ท่องเที่ยวกันไปในหลายเมืองของมณฑลกวางตุ้ง และมาปิดท้ายที่เมืองกวางเจา ก็เรียกได้ว่าเที่ยวกันแบบครบรสชาติ ทั้งไหว้พระ เยือนมรดกโลก ชมพิพิธภัณฑ์ เที่ยวสวนสัตว์ แถมยังได้ช้อปปิ้งสนุกสนานอีกต่างหาก ถือไม่เสียเที่ยวจริงๆที่ได้มาเยือนมณฑลกวางตุ้งในคราวนี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เมืองกวางเจา เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง สายการบินไทยแอร์เอเชียมีเที่ยวบินตรงสู่เมืองนี้ ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2515-9999
และแล้วในที่สุดวันนี้คณะเราก็ได้มาเยือนเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง หรือเมือง "กวางเจา" กันเสียที หลังจากที่ได้ไปตระเวนชมเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รอบเมืองกวางเจามาหลายแห่งแล้ว
เมืองกวางเจานี้ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแพะ" เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันต่อมาว่า ในสมัยราชวงศ์โจว (11-771B.C.) เทพห้าองค์มองเห็นเมืองกวางเจาแห้งแล้งอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง จึงทรงประทับแพะซึ่งคาบรวงข้าวลงมาจากสวรรค์มาให้ชาวบ้าน และได้ดลบันดาลให้เมืองกวางเจามีความเจริญและอุดมสมบูรณ์ จากนั้นเทพทั้งห้าก็หายไป คงเหลือไว้แต่เพียงแพะทั้ง 5 ตัวที่กลายเป็นหิน ดังนั้นชาวเมืองจึงถือว่าแพะเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำเมืองจนทุกวันนี้ กวางเจาจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "เมืองแพะ" หรือ "หยางเฉิน" และมีอนุสาวรีย์ 5 แพะ ให้ชมกันอยู่ในสวนสาธารณะเยี่ยว์ซิ่ว ใจกลางเมืองกวางเจานั่นเอง
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองกวางเจานั้น ก็มีอยู่หลายที่ด้วยกัน สำหรับที่แรกที่ฉันจะพาไปเยี่ยมชมนั้นก็คือ "บ้านตระกูลเฉิน" หรือบ้านของเหล่าคนแซ่เฉิน ซึ่งเป็นแซ่ใหญ่ 1 ใน 5 ของคนกวางเจา "บ้าน" หรือที่ควรจะเรียกว่า "คฤหาสน์" หลังนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ประมาณปี ค.ศ.1890 โดยคนตระกูลเฉินร่วมกันออกเงินสร้างเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูลของตัวเอง และเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมและพร้อมทั้งเป็นสถานที่อบรมลูกหลานก่อนที่จะไปสอบจอหงวน และได้กลายเป็นโรงเรียนตระกูลเฉิน ต่อมารัฐบาลจีนได้บูรณะซ่อมแซมเป็นครั้งใหญ่ และประกาศให้เป็นสถานที่อนุรักษ์ เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมีคุณค่า
ในตอนนี้คฤหาสน์ตระกูลเฉินก็ยังจัดทำเป็น Guangdong Museum of Folk Art หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของกวางตุ้งอีกด้วย โดยได้รวบรวมเอาข้าวของต่างๆที่สะท้อนถึงความเป็นศิลปะพื้นบ้านของกวางตุ้งมาให้ชมกัน ทั้งงานเครื่องกระเบื้องของสือวาน เมืองฝอซาน งานแกะสลักไม้ของกวางโจว ฯลฯ
แต่จุดเด่นของคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่แจ่มชัดที่สุดก็คงเป็นศิลปะและสถาปัตยกรรมของตัวบ้านนั่นเอง ลวดลายอันเป็นมงคลที่ประดับอยู่บนหลังคานั้นทำด้วยเซรามิคที่ปั้นเป็นรูปคนและรูปสัตว์ต่างๆด้วยความประณีต เมื่อผ่านประตูใหญ่เข้าไปยังด้านในก็จะเห็นฉากไม้ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายอันละเอียดและงดงาม
ภายในก็มีการจัดแสดงข้าวของอย่างพวกเครื่องกระเบื้อง งานไม้ งานแกะสลักต่างๆ และยังแบ่งเป็นห้องๆเพื่อจัดแสดงสภาพบ้านเรือนของคนกวางเจาในอดีต ซึ่งมีเครื่องเรือนไม้แบบจีน ตามประตูและหน้าต่างมีกระจกสีเขียนเป็นลวดลายต่างๆงดงามน่าอยู่ไม่น้อย บางห้องจัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินในปัจจุบันอีกด้วย
ไม่ไกลกันนักก็คือ "อนุสรณ์สถาน ดร.ซุน ยัตเซ็น" (Dr.Sun Yat-Sen’s Memorial Hall) ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง ดร.ซุนยัตเซ็น ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของชาวจีน เป็นผู้ปลดปล่อยชาวจีนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ปกครองประเทศจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยบ้านเกิดของเขานั้นก็อยู่ที่เมืองเซียงซัน ในกวางเจานี้เอง
ภายในอนุสรณ์สถานนั้นเป็นหอประชุมขนาดใหญ่รูปทรงแปดเหลี่ยม ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเยี่ยม เพราะสร้างขึ้นโดยไม่มีเสากลางห้องที่จะบดบังสายตาของผู้ชมที่มองไปยังเวที ภายในหอประชุมนั้นมีประวัติของ ดร.ซุน ยัตเซ็นให้อ่านกัน และบริเวณด้านหน้าหอประชุมก็มีอนุสาวรีย์ของ ดร.ซุน ยัตเซ็น ยืนเด่นเป็นสง่า เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องเก็บรูปไปเป็นที่ระลึก อีกทั้งบริเวณรอบๆหอประชุมยังจัดทำเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนเข้ามาพักผ่อนกันได้ด้วย
ที่ต่อมาเราไปกันที่ "พิพิธภัณฑ์สุสานกษัตริย์หนานเยว่" (Nanyue King Museum) สุสานกษัตริย์โบราณสมัยสมัยซีฮั่น (206 ปี ก่อนคริสตกาล) เป็นสุสานของราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด และยังถือเป็น 1 ใน 80 พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของโลกอีกด้วย
ดูจากตัวตึกภายนอกแล้วคงไม่มีใครคิดว่าที่นี่คือสุสาน เพราะตัวตึกภายนอกดูเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ดูทันสมัยสุดๆ แต่เมื่อเข้าไปชมภายในแล้วก็พบว่ายังคงรักษาสภาพโบราณของสุสานนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี โดยหลังจากที่เข้าไปชมวีดิทัศน์แนะนำสถานที่แห่งนี้แล้ว เราก็เริ่มต้นชมภายในสุสานนี้กันต่อ
สุสานแห่งนี้เป็นของฮ่องเต้องค์ที่สองแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตัวสุสานนั้นต้องขุดลึกลงไปใต้ดินถึง 20 เมตร ซึ่งเราสามารถเดินลงไปชมกันได้ ภายในสุสานแบ่งเป็นห้องๆ ซึ่งเป็นห้องสำหรับฝังพระศพของกษัตริย์และมเหสีของพระองค์ โดยในแต่ละห้องนั้นก็มีสมบัติพัสถานอีกมากมายที่ถูกฝังไปด้วยกันตามความเชื่อ แต่ปัจจุบันนี้ตัวสุสานก็เหลือเพียงห้องเปล่าๆ ส่วนสมบัติต่างๆ ที่ขุดขึ้นมาได้นั้นก็ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดภายในพิพิธภัณฑ์นี้ก็คือชุดหยกที่เอาไว้ห่อหุ้มพระศพของกษัตริย์ โดยชาวฮั่นเชื่อกันว่า หยกนั้นมีพลังที่จะช่วยไม่ให้ศพเน่าเปื่อย จึงมักจะพบหยกอยู่ในหลุมศพด้วยเสมอ โดยชุดหยกที่ห่อหุ้มพระศพของกษัตริย์ฮั่นองค์นี้นั้นทำด้วยหยกกว่า 2,291 ชิ้น แต่ละชิ้นจะร้อยโยงกันด้วยทอง เงิน และทองแดง โดยเมื่อมีการขุดพบและทำความสะอาดแล้ว ก็พบว่าพระศพในชุดหยกนี้ถูกย่อยสลายด้วยกาลเวลาจนเหลือเพียงเศษกระดูก ชุดหยกชุดนี้จึงนับเป็นสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมหนานเยว่อันมีค่ายิ่ง
ข้าวของอื่นๆที่นำออกมาจากสุสานนั้นก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ อาวุธ มีด ดาบ ตราประทับทำด้วยทอง แจกันทองเหลือง เชิงเทียน ภาชนะต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีค่าประเมินมิได้ทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงขอแนะนำว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง
คราวนี้ไปเพลิดเพลินกับบรรดาสิงสาราสัตว์กันที่ "Xiangjiang Safari Park" กันบ้างดีกว่า สวนสัตว์แห่งนี้อยู่นอกเมืองไปสักหน่อย แต่ยังคงอยู่ในเมืองกวางเจานี่เอง ที่นี่มีสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่กว่า 20,000 ตัว และกว่า 450 สายพันธุ์ ซึ่งก็มีทั้งโซนที่ให้เราขับรถส่วนตัว หรือนั่งรถรางของทางสวนสัตว์เพื่อเข้าไปชมสัตว์ต่างๆ ซึ่งก็ได้แก่สัตว์ในแถบโซนแอฟริกา เช่น สิงโตแอฟริกา แรดขาว ฮิปโปโปเตมัส เสือชีตา ม้าลาย ยีราฟ นกกระจอกเทศ สัตว์นักกล่าอย่างพวก เสือขาว สิงโต เสือดาว เสือเบงกอล หรือสัตว์จำพวกกวาง เก้ง นกยูง และอูฐ ก็มีให้ชมด้วยเช่นกัน
ส่วนในโซนของการเดินเท้าชมสัตว์ ก็ต้องไม่พลาดชมเจ้าหมีแพนด้าที่มีอยู่เป็นสิบตัว หมีโคอาล่าจากออสเตรเลียก็กำลังมีลูกตัวเล็กๆ เกาะหลังแม่ก็น่ารักไม่น้อย และสัตว์ชนิดอื่นๆอีกมากมาย เรียกว่าหากจะชมกันจริงๆ จังๆแล้วก็หมดวันเลยทีเดียว
แต่ความบันเทิงภายในบริเวณสวนสัตว์ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งรวมความสนุกสนานแบบครบครัน มีทั้งสวนสนุก สวนน้ำ สวนจระเข้ คณะละครสัตว์นานาชาติ สนามกอล์ฟ แล้วก็โรงแรมอยู่ในบริเวณเดียวกันอย่างพร้อมสรรพเลยทีเดียว และที่ฉันไม่อยากให้พลาดก็คือการชมละครสัตว์ ซึ่งมีคณะนักแสดงจากประเทศรัสเซียซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของกายกรรมมาร่วมให้ความบันเทิง พร้อมกับสัตว์ต่างๆที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ชมได้ตลอดการแสดง
ปิดท้ายด้วยกิจกรรมที่คนไทยไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว นั่นก็คือการช้อปปิ้ง โดยที่เมืองกวางเจานี้ก็ถือเป็นสวรรค์ของนักช้อปปิ้งเช่นเดียวกัน เพราะเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าแหล่งใหญ่ของโลก ด้วยความที่ค่าแรงถูก บริษัทต่างๆ จึงมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตที่กวางเจา แล้วส่งออกขายไปยังประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องหนัง หรือสินค้าจำพวกของเล่นในร้านกิ๊ฟท์ช้อปต่างๆ
"เป่ยจิงลู่" หรือถนนปักกิ่ง ก็เป็นแหล่งช้อปที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในกวางเจา ถนนเส้นนี้นั้นสร้างทับถนนโบราณ จึงมีการเก็บรักษาสภาพของถนนเก่าเส้นนั้นไว้ให้ผู้คนที่มาเดินช้อปปิ้งได้ทราบถึงความสำคัญกันด้วย ที่นี่นั้นก็มีบรรยากาศคล้ายสยามสแควร์บ้านเรา มีร้านค้าและตรอกซอกซอยให้เดินมากมาย และมีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม และแบบที่ต่อรองได้ให้เลือกช้อปกัน
หรือหากจะอยากจะได้พวกของเล่นแบบร้านกิ๊ฟท์ช้อปน่ารักๆ ก็ต้องไปที่ตึก One Link ที่เป็นห้างใหญ่แปดชั้น มีข้าวของกระจุกกระจิกมากมายตามแต่จะนึกออก แต่มีข้อแม้ก็คือต้องซื้อในจำนวนมากๆ จึงจะได้ราคาถูก หากซื้อเพียงชิ้นสองชิ้นก็จะยังมีราคาแพงอยู่ ก็คล้ายๆสำเพ็งบ้านเรานั่นเอง ซึ่งของที่สำเพ็งส่วนหนึ่งก็นำมาจากกวางเจานี่เองแหละ
ท่องเที่ยวกันไปในหลายเมืองของมณฑลกวางตุ้ง และมาปิดท้ายที่เมืองกวางเจา ก็เรียกได้ว่าเที่ยวกันแบบครบรสชาติ ทั้งไหว้พระ เยือนมรดกโลก ชมพิพิธภัณฑ์ เที่ยวสวนสัตว์ แถมยังได้ช้อปปิ้งสนุกสนานอีกต่างหาก ถือไม่เสียเที่ยวจริงๆที่ได้มาเยือนมณฑลกวางตุ้งในคราวนี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เมืองกวางเจา เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง สายการบินไทยแอร์เอเชียมีเที่ยวบินตรงสู่เมืองนี้ ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2515-9999