โดย : จุชดานิน
ความลี้ลับของ “เกาะอีสเตอร์” (Easter Island) ประเทศชิลี เป็นหัวข้อหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการทั้งหลายพยายามหาข้อพิสูจน์และถกเถียงกันมายาวนานนับร้อยปี เกี่ยวกับปริศนาเกาะอีสเตอร์ รวมถึงหินแกะสลักขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงราวอยู่ตามชายหาด และทั่วบริเวณเกาะ
คำถามที่ว่า ใครเป็นคนแกะสลักสิ่งเหล่านี้? แกะสลักเพื่ออะไร? หินเหล่านี้มาจากไหน? เคลื่อนย้ายหินขนาดยักษ์นี้ได้อย่างไร? ใช้เครื่องมืออะไรสลัก? แล้วเหตุอันใดการสร้างแกะศิลาเหล่านี้จึงยุติ? รวมถึงความแน่ชัดของอารยธรรม และอีกหลากหลายปริศนาที่จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ด้วยเหตุที่เต็มไปด้วยปริศนาลี้ลับนี้เองที่เป็นเหตุจูงใจให้นักท่องเที่ยวและนักวิชาการทั้งหลายเดินทางมาเยือนเกาะอีสเตอร์อย่างไม่หยุดหย่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโด่งดังของหินสลักขนาดยักษ์ “โมอาย” หรือ โมอาอิ (Moai) ที่มีความน่าอัศจรรย์ เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด และเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา
จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกของโลก ในปี 2538 นอกจากจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกอันมีคุณค่าแก่การรักษาและอนุรักษ์แล้ว โมอายยังติดโผ 21 สถานที่ ว่าที่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ได้ทำการคัดเลือกไปแล้วเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมาอีกด้วย
เจ้าหินโมอายนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ที่แน่แท้คือ หินเหล่านี้มีอยู่บนเกาะอีสเตอร์ เกาะเล็กๆรูปสามเหลี่ยมพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากทวีปอเมริกาใต้ประมาณ 3,747 กิโลเมตร นักภูมิศาสตร์เชื่อว่า เกาะนี้ถือกำเนิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ใต้มหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว
นักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้ครั้งแรกคือชาว “โพลีนีเซียน” (Polynesia) เมื่อคนเหล่านี้เดินทางมาถึงเกาะก็ได้บุกเบิกสร้างเมืองทันที โดยเอาสัตว์เลี้ยง และต้นไม้มาปลูกบนเกาะ
และในปี ค.ศ.380 ได้เริ่มมีรูปสลักคนนั่งคุกเข่า ซึ่งสลักจากหินบะซอลต์หรือกากแร่ภูเขาไฟ ต่อมาในยุค ค.ศ.1100 ได้มีรูปสลัก “โมอาย” (Moai) ซึ่งสลักจากหินภูเขาไฟ “ราโน รารากู” (Rano Raraku) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ลักษณะเป็นครึ่งตัว ลำตัวส่วนบนเหมือนผู้ชาย หน้าตาคล้ายกันหมด คิ้วโหนกออกมาจนเป็นสัน ดวงตาใช้วัสดุอื่นฝั่งลงไปในเนื้อหิน ช่วงปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อยรับกับปากที่แบะและยื่น มีคางเป็นเหลี่ยม ติ่งหูยาว มีแขนที่แนบชิดติดลำตัว สูงประมาณ 6-30 ฟุต หนักประมาณ 50 ตัน ตั้งอยู่บนฐานหินที่เรียกว่า “อาฮู” (Ahu)
ต่อมาก็มีการสร้างรูปสลักลักษณะแบบเดียวกันแต่สูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และได้มีการเติมส่วนจุกสีแดง หรือที่เรียกว่า “พูคาโอ” (Pukao) บนศีรษะ โดยเชื่อกันว่ารูปสลักเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้า หรือหัวหน้าเผ่าผู้ล่วงลับไปแล้ว จนในปี ค.ศ.1680 ได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างสองชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนเกาะทำให้ป่าไม้เริ่มหมด อาหารการกินร่อยหรอ เป็นปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรนี้ล่มสลาย
นอกจากนี้ บนเกาะอีสเตอร์ยังมีตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับ “มนุษย์ปักษี” (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากร โดยวิ่งลงหน้าผาสูงชันแล้วว่ายน้ำข้ามไปยังเกาะโมโตนุย (Moto Nui) เพื่อหาไข่แล้วนำไข่ว่ายน้ำกลับมาให้ผู้นำของเผ่านั้นได้ก็ถือว่าชนะ ซึ่งผู้นำเผ่าของผู้ชนะนอกจากจะได้รับการยกย่องให้เป็นมนุษย์ปักษีประจำปีนั้นๆแล้ว ยังได้สิทธิ์การปกครองและการใช้ทรัพยากรอีกด้วย แต่นั้นก็เป็นเพียงตำนานหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมาถึงการล่มสลายของเกาะซึ่งในปัจจุบันก็ยังหาข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนไม่ได้
ชื่อของเกาะนี้ก็เช่นกัน นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเดิมเกาะอีสเตอร์มีชื่อพื้นเมืองว่า “Te Pito O Te Henua” มีความหมายคือ “Navel of The World” หรือ “สะดือของโลก” กระทั่งปี ค.ศ. 1722 ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ นักเดินเรือชาวดัตช์ซึ่งถือเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกได้เดินทางมาพบเกาะเล็กๆที่มากด้วยรูปสลักหินขนาดยักษ์เรียงรายอยู่ตามชายหาดหันหน้าเข้าหาฝั่ง จึงตั้งชื่อเกาะว่า “Easter Inland”
จากนั้นในปี ค.ศ.1770 นักเดินเรือชาวสเปนได้ค้นพบเกาะแห่งนี้อีกครั้ง และพบว่ามีประชากรอยู่นับพันคน อีกไม่กี่ปีต่อมา กัปตัน James Cook ก็ได้มาพบเกาะอีสเตอร์ แต่ขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ซึ่งคาดว่าเหตุที่ประชากรลดลงอย่างรวดเร็วน่าจะมาจากการที่ประชากรแย่งกันใช้ทรัพยากรจนหมดไปนั้นเอง
เวลาผ่านไปจนถึงปี ค.ศ.1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่ และเมื่อทาสบางส่วนถูกปล่อยตัวกลับเกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับไปด้วย ทำให้ประชากรชาวเกาะทีมีอยู่น้อยยิ่งลดจำนวนลงอย่างมาก บวกกับที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรไว้ ทำให้อารยธรรม ความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองบนเกาะอีสเตอร์เลือนหายไปพร้อมๆกับผู้คนและกาลเวลา
จนในศตวรรษ ที่ 19 ประเทศชิลี (Chile) ก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ.1888 และในเวลาต่อมาได้มีการสร้างสนามบินขึ้นบกเกาะแห่งนี้ เกาะอีสเตอร์ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของโลกนับแต่นั้นมา
ปัจจุบันบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้มีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่ 3 ลูกได้แก่ ภูเขาไฟราโน รารากู (Rano Raraku), ภูเขาไฟราโน กาโอ (Rano Kao) และ ภูเขาไฟราโน อาโรย (Rana Aroi) สำหรับภูเขาไฟราโน กาโอ ตั้งอยู่ตรงปลายเกาะ หากจะขึ้นไปชมด้านบนต้องเดินขึ้นเนินเลียบทะเลขึ้นไปที่ปากปล่อง ด้านบนสามารถชมวิวอันสวยงามของเกาะได้ ส่วนภูเขาไฟราโน รารากู ด้านบนปากปล่องภูเขาไฟเป็นทะเลสาบที่สวยงาม และมองเห็นวิวทิศทัศน์ได้กว้างไกล ว่ากันว่าแหล่งกำเนิดของโมอายอยู่ที่ภูเขาไฟแห่งนี้นี่เอง
โมอายทั้งหมดบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ มีประมาณ 887 ตัว กระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะ บ้างก็ทำเสร็จและตั้งอยู่บนฐานอาฮูสมบูรณ์แล้ว บางก็ยังแกะไม่เสร็จ บ้างก็ยังล้มอยู่ก็มี โมอายตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ตั้งอยู่ที่ ราโน รารากู สูง 71.93 ฟุต หนัก 145-165 ตัน ส่วนโมอายตัวใหญ่ที่สุดที่ตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้วอยู่ที่ Ahu Te Pito Kura สูง 32.63 ฟุต
การเรียกโมอายจะเรียกตาม อาฮู (Ahu) ที่โมอายตั้งอยู่ มีหลายแห่ง อาทิ บริเวณ Ahu Tahai ซึ่งอยู่ใกล้เมืองมากที่สุด, บริเวณ Ahu Akivi เป็นฐานที่มีโมอาย 7 ตัว แปลกกว่าบริเวณอื่นเนื่องจากหันหน้าออกทะเล, Ahu Tongariki มีโมอาย 15 ตัวด้วยกัน, Ahu Naunau ฐานโมอาย 7 ตัว 4ใน7 ตัวนี้มี Pukao บนหัวด้วย
นอกจากโมอายแล้ว เกาะอีสเตอร์แห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย เช่น หมู่บ้าน Hanga Roa, หมู่บ้าน Orongo, แหลม Poike, สุสาน Ahu Vinapu และชายหาด Anakena ที่สวยงาม เป็นต้น
จากความลี้ลับ อดีตที่ไม่แน่ชัดและปริศนามากมายที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ของเกาะอีสเตอร์ ทำให้เกาะแห่งนี้กลายมาเป็นแหล่งศึกษาทางอารยธรรมของมนุษย์อีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งในวันนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบ และยังคงเป็นปริศนาที่ทิ้งไว้ให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมาค้นหาคำตอบกันต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือตามภาษาถิ่นเรียกว่า เกาะราปานุย (Rapa Nui) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ในการปกครองของประเทศชิลี ซึ่งเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลีกว่า 3,600 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก เกาะนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร เวลาต่างจากไทย ช้ากว่าไทยประมาณ 11 ชั่วโมง ใช้เงินสกุลเปโซชิลี (Chilean Peso) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 520.40 เปโซ การเดินทาง จากประเทศไทยสามารถต่อเครื่องบินมาลงที่ Santiago Airport ซันติอาโก ประเทศชิลี หรือลงที่ Faaa Airport, Papeete, ประเทศเฟรนช์โปลินีเซีย แล้วต่อเครื่องบินของสายการบิน Lan Airlines มายังเกาะอีสเตอร์ได้
ความลี้ลับของ “เกาะอีสเตอร์” (Easter Island) ประเทศชิลี เป็นหัวข้อหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการทั้งหลายพยายามหาข้อพิสูจน์และถกเถียงกันมายาวนานนับร้อยปี เกี่ยวกับปริศนาเกาะอีสเตอร์ รวมถึงหินแกะสลักขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงราวอยู่ตามชายหาด และทั่วบริเวณเกาะ
คำถามที่ว่า ใครเป็นคนแกะสลักสิ่งเหล่านี้? แกะสลักเพื่ออะไร? หินเหล่านี้มาจากไหน? เคลื่อนย้ายหินขนาดยักษ์นี้ได้อย่างไร? ใช้เครื่องมืออะไรสลัก? แล้วเหตุอันใดการสร้างแกะศิลาเหล่านี้จึงยุติ? รวมถึงความแน่ชัดของอารยธรรม และอีกหลากหลายปริศนาที่จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ด้วยเหตุที่เต็มไปด้วยปริศนาลี้ลับนี้เองที่เป็นเหตุจูงใจให้นักท่องเที่ยวและนักวิชาการทั้งหลายเดินทางมาเยือนเกาะอีสเตอร์อย่างไม่หยุดหย่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโด่งดังของหินสลักขนาดยักษ์ “โมอาย” หรือ โมอาอิ (Moai) ที่มีความน่าอัศจรรย์ เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด และเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา
จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกของโลก ในปี 2538 นอกจากจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกอันมีคุณค่าแก่การรักษาและอนุรักษ์แล้ว โมอายยังติดโผ 21 สถานที่ ว่าที่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ได้ทำการคัดเลือกไปแล้วเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมาอีกด้วย
เจ้าหินโมอายนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ที่แน่แท้คือ หินเหล่านี้มีอยู่บนเกาะอีสเตอร์ เกาะเล็กๆรูปสามเหลี่ยมพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากทวีปอเมริกาใต้ประมาณ 3,747 กิโลเมตร นักภูมิศาสตร์เชื่อว่า เกาะนี้ถือกำเนิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ใต้มหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว
นักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้ครั้งแรกคือชาว “โพลีนีเซียน” (Polynesia) เมื่อคนเหล่านี้เดินทางมาถึงเกาะก็ได้บุกเบิกสร้างเมืองทันที โดยเอาสัตว์เลี้ยง และต้นไม้มาปลูกบนเกาะ
และในปี ค.ศ.380 ได้เริ่มมีรูปสลักคนนั่งคุกเข่า ซึ่งสลักจากหินบะซอลต์หรือกากแร่ภูเขาไฟ ต่อมาในยุค ค.ศ.1100 ได้มีรูปสลัก “โมอาย” (Moai) ซึ่งสลักจากหินภูเขาไฟ “ราโน รารากู” (Rano Raraku) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ลักษณะเป็นครึ่งตัว ลำตัวส่วนบนเหมือนผู้ชาย หน้าตาคล้ายกันหมด คิ้วโหนกออกมาจนเป็นสัน ดวงตาใช้วัสดุอื่นฝั่งลงไปในเนื้อหิน ช่วงปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อยรับกับปากที่แบะและยื่น มีคางเป็นเหลี่ยม ติ่งหูยาว มีแขนที่แนบชิดติดลำตัว สูงประมาณ 6-30 ฟุต หนักประมาณ 50 ตัน ตั้งอยู่บนฐานหินที่เรียกว่า “อาฮู” (Ahu)
ต่อมาก็มีการสร้างรูปสลักลักษณะแบบเดียวกันแต่สูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และได้มีการเติมส่วนจุกสีแดง หรือที่เรียกว่า “พูคาโอ” (Pukao) บนศีรษะ โดยเชื่อกันว่ารูปสลักเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้า หรือหัวหน้าเผ่าผู้ล่วงลับไปแล้ว จนในปี ค.ศ.1680 ได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างสองชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนเกาะทำให้ป่าไม้เริ่มหมด อาหารการกินร่อยหรอ เป็นปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรนี้ล่มสลาย
นอกจากนี้ บนเกาะอีสเตอร์ยังมีตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับ “มนุษย์ปักษี” (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากร โดยวิ่งลงหน้าผาสูงชันแล้วว่ายน้ำข้ามไปยังเกาะโมโตนุย (Moto Nui) เพื่อหาไข่แล้วนำไข่ว่ายน้ำกลับมาให้ผู้นำของเผ่านั้นได้ก็ถือว่าชนะ ซึ่งผู้นำเผ่าของผู้ชนะนอกจากจะได้รับการยกย่องให้เป็นมนุษย์ปักษีประจำปีนั้นๆแล้ว ยังได้สิทธิ์การปกครองและการใช้ทรัพยากรอีกด้วย แต่นั้นก็เป็นเพียงตำนานหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมาถึงการล่มสลายของเกาะซึ่งในปัจจุบันก็ยังหาข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนไม่ได้
ชื่อของเกาะนี้ก็เช่นกัน นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเดิมเกาะอีสเตอร์มีชื่อพื้นเมืองว่า “Te Pito O Te Henua” มีความหมายคือ “Navel of The World” หรือ “สะดือของโลก” กระทั่งปี ค.ศ. 1722 ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ นักเดินเรือชาวดัตช์ซึ่งถือเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกได้เดินทางมาพบเกาะเล็กๆที่มากด้วยรูปสลักหินขนาดยักษ์เรียงรายอยู่ตามชายหาดหันหน้าเข้าหาฝั่ง จึงตั้งชื่อเกาะว่า “Easter Inland”
จากนั้นในปี ค.ศ.1770 นักเดินเรือชาวสเปนได้ค้นพบเกาะแห่งนี้อีกครั้ง และพบว่ามีประชากรอยู่นับพันคน อีกไม่กี่ปีต่อมา กัปตัน James Cook ก็ได้มาพบเกาะอีสเตอร์ แต่ขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ซึ่งคาดว่าเหตุที่ประชากรลดลงอย่างรวดเร็วน่าจะมาจากการที่ประชากรแย่งกันใช้ทรัพยากรจนหมดไปนั้นเอง
เวลาผ่านไปจนถึงปี ค.ศ.1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่ และเมื่อทาสบางส่วนถูกปล่อยตัวกลับเกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับไปด้วย ทำให้ประชากรชาวเกาะทีมีอยู่น้อยยิ่งลดจำนวนลงอย่างมาก บวกกับที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรไว้ ทำให้อารยธรรม ความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองบนเกาะอีสเตอร์เลือนหายไปพร้อมๆกับผู้คนและกาลเวลา
จนในศตวรรษ ที่ 19 ประเทศชิลี (Chile) ก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ.1888 และในเวลาต่อมาได้มีการสร้างสนามบินขึ้นบกเกาะแห่งนี้ เกาะอีสเตอร์ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของโลกนับแต่นั้นมา
ปัจจุบันบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้มีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่ 3 ลูกได้แก่ ภูเขาไฟราโน รารากู (Rano Raraku), ภูเขาไฟราโน กาโอ (Rano Kao) และ ภูเขาไฟราโน อาโรย (Rana Aroi) สำหรับภูเขาไฟราโน กาโอ ตั้งอยู่ตรงปลายเกาะ หากจะขึ้นไปชมด้านบนต้องเดินขึ้นเนินเลียบทะเลขึ้นไปที่ปากปล่อง ด้านบนสามารถชมวิวอันสวยงามของเกาะได้ ส่วนภูเขาไฟราโน รารากู ด้านบนปากปล่องภูเขาไฟเป็นทะเลสาบที่สวยงาม และมองเห็นวิวทิศทัศน์ได้กว้างไกล ว่ากันว่าแหล่งกำเนิดของโมอายอยู่ที่ภูเขาไฟแห่งนี้นี่เอง
โมอายทั้งหมดบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ มีประมาณ 887 ตัว กระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะ บ้างก็ทำเสร็จและตั้งอยู่บนฐานอาฮูสมบูรณ์แล้ว บางก็ยังแกะไม่เสร็จ บ้างก็ยังล้มอยู่ก็มี โมอายตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ตั้งอยู่ที่ ราโน รารากู สูง 71.93 ฟุต หนัก 145-165 ตัน ส่วนโมอายตัวใหญ่ที่สุดที่ตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้วอยู่ที่ Ahu Te Pito Kura สูง 32.63 ฟุต
การเรียกโมอายจะเรียกตาม อาฮู (Ahu) ที่โมอายตั้งอยู่ มีหลายแห่ง อาทิ บริเวณ Ahu Tahai ซึ่งอยู่ใกล้เมืองมากที่สุด, บริเวณ Ahu Akivi เป็นฐานที่มีโมอาย 7 ตัว แปลกกว่าบริเวณอื่นเนื่องจากหันหน้าออกทะเล, Ahu Tongariki มีโมอาย 15 ตัวด้วยกัน, Ahu Naunau ฐานโมอาย 7 ตัว 4ใน7 ตัวนี้มี Pukao บนหัวด้วย
นอกจากโมอายแล้ว เกาะอีสเตอร์แห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย เช่น หมู่บ้าน Hanga Roa, หมู่บ้าน Orongo, แหลม Poike, สุสาน Ahu Vinapu และชายหาด Anakena ที่สวยงาม เป็นต้น
จากความลี้ลับ อดีตที่ไม่แน่ชัดและปริศนามากมายที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ของเกาะอีสเตอร์ ทำให้เกาะแห่งนี้กลายมาเป็นแหล่งศึกษาทางอารยธรรมของมนุษย์อีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งในวันนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบ และยังคงเป็นปริศนาที่ทิ้งไว้ให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมาค้นหาคำตอบกันต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือตามภาษาถิ่นเรียกว่า เกาะราปานุย (Rapa Nui) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ในการปกครองของประเทศชิลี ซึ่งเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลีกว่า 3,600 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก เกาะนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร เวลาต่างจากไทย ช้ากว่าไทยประมาณ 11 ชั่วโมง ใช้เงินสกุลเปโซชิลี (Chilean Peso) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 520.40 เปโซ การเดินทาง จากประเทศไทยสามารถต่อเครื่องบินมาลงที่ Santiago Airport ซันติอาโก ประเทศชิลี หรือลงที่ Faaa Airport, Papeete, ประเทศเฟรนช์โปลินีเซีย แล้วต่อเครื่องบินของสายการบิน Lan Airlines มายังเกาะอีสเตอร์ได้