โดย : ปิ่น บุตรี
สายน้ำไหลไปย่อมไม่ไหลกลับ
วันเวลาผ่านไปย่อมไม่หวนคืน
วัฏจักรแห่งสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
มนุษย์ย่อมมิอาจอยู่เหนือกฎเกณฑ์...
1...
แม่น้ำเพชรบุรี ปลายปี 48
ผมกับไอ้ไก่(รุ่นน้องที่ออฟฟิศ)นั่งทอดหุ่ยอยู่บนเรือนำเที่ยวลำย่อม
แม้แต่ละคนจะมีอาการแฮ้งก์เล็กน้อยถึงปานกลางเพราะเมื่อคืนต้องมนต์เมืองเพชร(บุรี)เลยพลั้งมือยกแก้วดื่มหนักไปหน่อย แต่นั่นหาใช้อุปสรรคในการนั่งเรือชมเสน่ห์ของแม่น้ำเพชรบุรีไม่
แม่น้ำเพชรบุรีหรือลำน้ำเพชรเคยได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่มีรสอร่อยกว่าลำน้ำใดๆ เพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง(รัชกาลที่ 5) เคยโปรดฯให้ใช้น้ำในลำน้ำเพชรเป็นนำเสวยและน้ำในพิธีมงคลต่างๆก่อนจะยกเลิกไปในปี พ.ศ.2465
มาวันนี้ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของแม่น้ำเพชรยังคงอยู่ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงที่ลำน้ำตื้นเขินลงและมีมลภาวะมากขึ้น แต่ยังไงในสายตาของผม แม่น้ำเพชรนับเป็นแม่น้ำสายสวยสายหนึ่งที่มีทิวทัศน์รอบข้างน่ายล ทั้งเรือกสวน บ้านเรือนไทย วัดวาอาราม(มีวัดเขาตะเคราเป็นวัดสำคัญ) และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน 2 ข้างทางตั้งแต่ตัวเมืองเพชรไปถึงปากอ่าวบางตะบูน
ที่สำคัญลำน้ำเพชรในวันนั้นมี“ปู่เย็น” เฒ่าทระนง ลอยเรืออาศัยอยู่แถวสะพานลำไย
ทว่าช่วงลอยเรือขาไป ผมไม่พบปู่เย็นพบเพียงเรือพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ลำสีน้ำตาล ประทุนสีขาว ผูกเสาลอยเท้งเต้งอยู่
“วู้ ปู่อยู่มั้ย!!!” เสียงนายท้ายเรือตะโกนเรียกปู่เย็นก้องคุ้งน้ำ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าปู่เย็นในวัยร้อยกว่าปีนั้นแม้ร่างกายจะเหี่ยวย่นไปแทบทุกส่วน แต่ก็ยังมีตึงอยู่ส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ “หู”
แต่ต่อให้ปู่หูตึงขนาดไหน เจอเสียงตะโกนลั่นของนายท้ายก็น่าจะมีปฏิกิริยาตอบรับบ้าง แต่นี่กลับเงียบฉี่...ไม่มีเสียงตอบใดๆ
นายท้ายจึงถือวิสาสะด้วยความเป็นคนคุ้นเคย ชะโงกหน้าไปดูในมุ้งประทุนเรือ ปรากฏว่าไร้วี่แววปู่เย็น
“สงสัยปู่แกขึ้นไปกินน้ำเต้าหู้ที่ตลาด ขากลับเราค่อยมาแวะหาแกอีกทีแล้วกัน”
นายท้ายบอกก่อนบังคับเรือออกจากใต้สะพานลำไย ไปตามสายน้ำเพชรที่ไหลเอื่อย
สายน้ำไหลไปย่อมไม่ไหลกลับ
วันเวลาแห่งชีวิตไยมิใช่เฉกเช่นสายน้ำผันผ่านไปแล้วย่อมไม่หวนคืน...
2...
22 ก.พ. 48
เวลา 4 ทุ่มเศษ รายการ“คนค้นฅน” นำเสนอเรื่องราวของ“ปู่เย็น” หรือ เย็น แก้วมณี ผู้เฒ่าทระนงอายุกว่าศตวรรษ ผู้มีร่างงองุ้ม ศีรษะโพกผ้าสะระบั่น(เป็นมุสลิม) ผิวหนังเหี่ยวย่นบอกริ้วรอยโชกโชนของชีวิต
ปู่เย็น ชอบนั่งหัวเราะอ้าปากหวอ เผยเห็นแต่เหงือกจ๋าเพราะฟันลาจากไปนานแล้ว
ปู่เย็น ใช้ชีวิตอย่างทระนง ลอยเรือลำน้อยอาศัยอยู่ในลุ่มน้ำเพชร ดำรงชีพด้วยการวางข่ายดักปลาเป็นหลัก วันไหนได้ปลามาก เช้าวันรุ่งขึ้นก็จะหิ้วไปวางขายแบบไม่ตั้งราคาไม่หวังกำไร
ปีหนึ่งๆปู่เย็นจะอาศัยอยู่ในลำน้ำประมาณ 8-9 เดือน พอน้ำหลากก็จะขึ้นฝั่งไปพักอยู่กับหลาน หมดน้ำหลากก็กลับลงเรือมาใช้ชีวิต คืบก็น้ำเพชร ศอกก็น้ำเพชร เหมือนเช่นดังเดิม ว่ากันว่าปู่เย็นใช้ชีวิตในลำน้ำเพชรมาตั้งแต่ปี 36 โน่น
จากนั้นเรื่องราวของปู่เย็น กลายเป็นที่โจษจันไปทั่ว เนื่องเพราะผู้เฒ่าอายุ 105 ย่าง 106 ปี(ในปี 48)คนนี้มีวิถีปฏิบัติที่เรียบง่าย สมถะ พอเพียง รักษาคำพูดอย่างเคร่งครัด แต่ก็มีความ“ทระนง”อยู่เปี่ยมล้น
ปู่เย็น ขี้เกรงใจคน แต่ก็ไม่ประสงค์จะแบมือขอใคร มีแต่จะแจกจ่ายให้กับผู้อื่นเมื่อยามตัวเองมีเหลือ
ปู่เย็น มีข้อคิดเรียบง่ายแต่แฝงความหมายแยบยลที่บอกผ่าน“พวกกัน” อย่าง “ดูแต่หอยสิ ไม่มีมือมีตีนยังหากินได้เอง ประสาอะไรกับคนมีมือมีตีน หากินเองไม่ได้ก็อายหอย” “มีอะไรต้องปันกัน” “ขายของอย่าให้แพง คนเขาจะได้กินได้ ของแพงกินไม่ลง” “ไม่เอา...เป็นหนี้นอนไม่หลับ” (จากหนังสือคนค้นฅน ฉบับปฐมฤกษ์หน้าปกรูปปู่เย็น)
หลายคนยกปู่เย็นเป็นต้นแบบ เพราะวิถีปฏิบัติของปู่เย็นสวนทางกับวิถีโลกในยุคทุนนิยมอย่างสิ้นเชิง
เป็นวิถีที่มาหล่อเลี้ยงความรู้สึกของใครหลายๆคนในยุคสังคมป่วยไข้
ขณะที่ใครและใครบางคนยกปู่เย็นเป็นฮีโร่ในดวงใจ เพราะมีวิถีทางแห่งชีวิต “ตบหน้า”ผู้นำประเทศในยุคนั้นที่ไร้จริยธรรมอย่างชนิดสะใจกองเชียร์
3...
หลังละครชีวิตปู่เย็นถ่ายทอดสู่สายตาประชาชน ปรากฏการณ์“ปู่เย็นฟีเวอร์”ก็กำเนิดเกิดก่อตามมา
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้ใครและใครหลายคนหันมาทบทวนวิถีทางการดำเนินชีวิตที่ผ่านมาว่า ความสุขแท้จริงของชีวิตอยู่ที่ความ“มั่งมี”หรืออยู่ที่ความ“พอดี”กันแน่???
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้แม่น้ำเพชรได้รับอานิสงส์ เพราะปู่เย็นถูกยกให้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของแม่น้ำเพชรไปโดยปริยาย ทั้งภาครัฐ ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ต่างหันมาสนใจ ศึกษา วิจัย พูดคุย ถกเถียงในสิ่งต่างๆเกี่ยวกับน้ำเพชร
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้มีคนเดินทางมาเที่ยวชมแม่น้ำเพชรมากขึ้น หลายคนเจาะจงเดินทางมาเพื่อพบพานกับปู่เย็นตัวจริงเสียงจริง บางคนนำเงินมาให้ บางคนซื้อข้างของมาฝาก บางคนมาฝากตัวเป็นลูกหลาน บางคนหอบหิ้วหมูหยองมาฝากทั้งๆที่ปู่เย็นเป็นมุสลิม บางคนมาขอสมุนไพรปู่เย็นไปกินเพื่อหวังผลในเรื่องอายุยืน บางคน ฯลฯ
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้ขี้เมาไปกวนปู่เย็นจนต้องทิ้งเรือขึ้นไปอยู่บนบกชั่วคราว
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้บางคนที่ใกล้ชิดปู่เย็น มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเรือลำนั้น จนมีข่าวออกมาว่าปู่เย็นเสียศูนย์ไปชั่วขณะ
แต่ปู่เย็นย่อมเป็นปู่เย็น จากนั้นไม่นานแกก็กลับมาใช้ชีวิตในลำน้ำเพชรอีกครั้ง
ปู่เย็นกลับมาเป็นคนคุ้นเคยแห่งลำน้ำเพชรอีกครั้ง
ขณะที่คนแปลกหน้าแห่งลำน้ำเพชรอย่างผมกับไอ้ไก่ เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวบ้านพี่กบ เกียรติศักดิ์ กล่อมสกุลคนสนิทชิดเชื้อของปู่เย็น เราก็ถือโอกาสในจังหวะไปลอยเรือทัศนาลำน้ำเพชรแวะเวียนไปหาปู่เย็น แต่ว่าช่วงเช้าขาไปไม่เจอแก เจอแต่เรือผูกไว้ใต้สะพานลำใหญ่ แต่สำหรับขากลับนั้นปรากฏว่าไม่ผิดหวังแต่อย่างใด เพราะในเรือลำน้อยประทุนขาวเด่น ผมมองเห็นควันบางๆลอยมาแต่ไกล
จากนั้นเรือนำเที่ยวของเราแล่นเข้าไปเทียบกับเรือของปู่ เห็นปู่เย็นกำลังนั่งพัดเตาอั้งโล่อยู่
“วันนี้ทำอะไรกินนะปู่”นายท้ายเรือลูกน้องพี่กบถาม
“ปิ้งปลากิน”ปู่เย็นตอบ
“ปู่เขากินปลาทุกวันแหละ” นายท้ายเล่าให้ฟัง ก่อนบอกว่าปูแกไม่เคยเบื่อปลาเลย บอกว่ากินแล้วดี
“วันนี้จับปลาได้เยอะมั้ยปู่” ผมถามบ้าง
“พอได้บ้าง ปลาในแม่น้ำมันหายไปเยอะ” ปู่ตอบ
สำหรับคนคุ้นเคยกับแม่น้ำเพชรคงรู้ดีถึงความเปลี่ยนแปลงของลำน้ำสายนี้เป็นอย่างดี
จากนั้นพวกเราก็พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของปู่เย็นกันตามเรื่องตามราว ก่อนล่ำลาปู่เย็นจากมาด้วยคำถามว่า
นี่ถ้าปู่เย็นไม่ถูกนำเสนอผ่านรายการทีวี ผมจะมีโอกาสได้รู้จัก รับรู้เรื่องราวของเฒ่าทระนงคนนี้หรือเปล่าหนอ...
4...
“ชีวิตคนเหมือนสะพาน มีขึ้น มีลง มีสูง มีต่ำ พอสุดท้าย ก็ตาย” : ปู่เย็น
12 ต.ค. 51
ข่าวปู่เย็นเสียชีวิตด้วยอายุขัย 108 ปีทำเอาผมตกใจเล็กน้อย
แต่นี่แหละคือมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถือเป็นวัฏจักร
แต่สำหรับบางคน ตัวตายแต่ชื่อยัง
หนึ่งในนั้นก็คือ “ปู่เย็น” เฒ่าทระนง ไม่มีวันตาย
สายน้ำไหลไปย่อมไม่ไหลกลับ
วันเวลาผ่านไปย่อมไม่หวนคืน
วัฏจักรแห่งสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
มนุษย์ย่อมมิอาจอยู่เหนือกฎเกณฑ์...
1...
แม่น้ำเพชรบุรี ปลายปี 48
ผมกับไอ้ไก่(รุ่นน้องที่ออฟฟิศ)นั่งทอดหุ่ยอยู่บนเรือนำเที่ยวลำย่อม
แม้แต่ละคนจะมีอาการแฮ้งก์เล็กน้อยถึงปานกลางเพราะเมื่อคืนต้องมนต์เมืองเพชร(บุรี)เลยพลั้งมือยกแก้วดื่มหนักไปหน่อย แต่นั่นหาใช้อุปสรรคในการนั่งเรือชมเสน่ห์ของแม่น้ำเพชรบุรีไม่
แม่น้ำเพชรบุรีหรือลำน้ำเพชรเคยได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่มีรสอร่อยกว่าลำน้ำใดๆ เพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง(รัชกาลที่ 5) เคยโปรดฯให้ใช้น้ำในลำน้ำเพชรเป็นนำเสวยและน้ำในพิธีมงคลต่างๆก่อนจะยกเลิกไปในปี พ.ศ.2465
มาวันนี้ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของแม่น้ำเพชรยังคงอยู่ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงที่ลำน้ำตื้นเขินลงและมีมลภาวะมากขึ้น แต่ยังไงในสายตาของผม แม่น้ำเพชรนับเป็นแม่น้ำสายสวยสายหนึ่งที่มีทิวทัศน์รอบข้างน่ายล ทั้งเรือกสวน บ้านเรือนไทย วัดวาอาราม(มีวัดเขาตะเคราเป็นวัดสำคัญ) และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน 2 ข้างทางตั้งแต่ตัวเมืองเพชรไปถึงปากอ่าวบางตะบูน
ที่สำคัญลำน้ำเพชรในวันนั้นมี“ปู่เย็น” เฒ่าทระนง ลอยเรืออาศัยอยู่แถวสะพานลำไย
ทว่าช่วงลอยเรือขาไป ผมไม่พบปู่เย็นพบเพียงเรือพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ลำสีน้ำตาล ประทุนสีขาว ผูกเสาลอยเท้งเต้งอยู่
“วู้ ปู่อยู่มั้ย!!!” เสียงนายท้ายเรือตะโกนเรียกปู่เย็นก้องคุ้งน้ำ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าปู่เย็นในวัยร้อยกว่าปีนั้นแม้ร่างกายจะเหี่ยวย่นไปแทบทุกส่วน แต่ก็ยังมีตึงอยู่ส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ “หู”
แต่ต่อให้ปู่หูตึงขนาดไหน เจอเสียงตะโกนลั่นของนายท้ายก็น่าจะมีปฏิกิริยาตอบรับบ้าง แต่นี่กลับเงียบฉี่...ไม่มีเสียงตอบใดๆ
นายท้ายจึงถือวิสาสะด้วยความเป็นคนคุ้นเคย ชะโงกหน้าไปดูในมุ้งประทุนเรือ ปรากฏว่าไร้วี่แววปู่เย็น
“สงสัยปู่แกขึ้นไปกินน้ำเต้าหู้ที่ตลาด ขากลับเราค่อยมาแวะหาแกอีกทีแล้วกัน”
นายท้ายบอกก่อนบังคับเรือออกจากใต้สะพานลำไย ไปตามสายน้ำเพชรที่ไหลเอื่อย
สายน้ำไหลไปย่อมไม่ไหลกลับ
วันเวลาแห่งชีวิตไยมิใช่เฉกเช่นสายน้ำผันผ่านไปแล้วย่อมไม่หวนคืน...
2...
22 ก.พ. 48
เวลา 4 ทุ่มเศษ รายการ“คนค้นฅน” นำเสนอเรื่องราวของ“ปู่เย็น” หรือ เย็น แก้วมณี ผู้เฒ่าทระนงอายุกว่าศตวรรษ ผู้มีร่างงองุ้ม ศีรษะโพกผ้าสะระบั่น(เป็นมุสลิม) ผิวหนังเหี่ยวย่นบอกริ้วรอยโชกโชนของชีวิต
ปู่เย็น ชอบนั่งหัวเราะอ้าปากหวอ เผยเห็นแต่เหงือกจ๋าเพราะฟันลาจากไปนานแล้ว
ปู่เย็น ใช้ชีวิตอย่างทระนง ลอยเรือลำน้อยอาศัยอยู่ในลุ่มน้ำเพชร ดำรงชีพด้วยการวางข่ายดักปลาเป็นหลัก วันไหนได้ปลามาก เช้าวันรุ่งขึ้นก็จะหิ้วไปวางขายแบบไม่ตั้งราคาไม่หวังกำไร
ปีหนึ่งๆปู่เย็นจะอาศัยอยู่ในลำน้ำประมาณ 8-9 เดือน พอน้ำหลากก็จะขึ้นฝั่งไปพักอยู่กับหลาน หมดน้ำหลากก็กลับลงเรือมาใช้ชีวิต คืบก็น้ำเพชร ศอกก็น้ำเพชร เหมือนเช่นดังเดิม ว่ากันว่าปู่เย็นใช้ชีวิตในลำน้ำเพชรมาตั้งแต่ปี 36 โน่น
จากนั้นเรื่องราวของปู่เย็น กลายเป็นที่โจษจันไปทั่ว เนื่องเพราะผู้เฒ่าอายุ 105 ย่าง 106 ปี(ในปี 48)คนนี้มีวิถีปฏิบัติที่เรียบง่าย สมถะ พอเพียง รักษาคำพูดอย่างเคร่งครัด แต่ก็มีความ“ทระนง”อยู่เปี่ยมล้น
ปู่เย็น ขี้เกรงใจคน แต่ก็ไม่ประสงค์จะแบมือขอใคร มีแต่จะแจกจ่ายให้กับผู้อื่นเมื่อยามตัวเองมีเหลือ
ปู่เย็น มีข้อคิดเรียบง่ายแต่แฝงความหมายแยบยลที่บอกผ่าน“พวกกัน” อย่าง “ดูแต่หอยสิ ไม่มีมือมีตีนยังหากินได้เอง ประสาอะไรกับคนมีมือมีตีน หากินเองไม่ได้ก็อายหอย” “มีอะไรต้องปันกัน” “ขายของอย่าให้แพง คนเขาจะได้กินได้ ของแพงกินไม่ลง” “ไม่เอา...เป็นหนี้นอนไม่หลับ” (จากหนังสือคนค้นฅน ฉบับปฐมฤกษ์หน้าปกรูปปู่เย็น)
หลายคนยกปู่เย็นเป็นต้นแบบ เพราะวิถีปฏิบัติของปู่เย็นสวนทางกับวิถีโลกในยุคทุนนิยมอย่างสิ้นเชิง
เป็นวิถีที่มาหล่อเลี้ยงความรู้สึกของใครหลายๆคนในยุคสังคมป่วยไข้
ขณะที่ใครและใครบางคนยกปู่เย็นเป็นฮีโร่ในดวงใจ เพราะมีวิถีทางแห่งชีวิต “ตบหน้า”ผู้นำประเทศในยุคนั้นที่ไร้จริยธรรมอย่างชนิดสะใจกองเชียร์
3...
หลังละครชีวิตปู่เย็นถ่ายทอดสู่สายตาประชาชน ปรากฏการณ์“ปู่เย็นฟีเวอร์”ก็กำเนิดเกิดก่อตามมา
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้ใครและใครหลายคนหันมาทบทวนวิถีทางการดำเนินชีวิตที่ผ่านมาว่า ความสุขแท้จริงของชีวิตอยู่ที่ความ“มั่งมี”หรืออยู่ที่ความ“พอดี”กันแน่???
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้แม่น้ำเพชรได้รับอานิสงส์ เพราะปู่เย็นถูกยกให้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของแม่น้ำเพชรไปโดยปริยาย ทั้งภาครัฐ ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ต่างหันมาสนใจ ศึกษา วิจัย พูดคุย ถกเถียงในสิ่งต่างๆเกี่ยวกับน้ำเพชร
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้มีคนเดินทางมาเที่ยวชมแม่น้ำเพชรมากขึ้น หลายคนเจาะจงเดินทางมาเพื่อพบพานกับปู่เย็นตัวจริงเสียงจริง บางคนนำเงินมาให้ บางคนซื้อข้างของมาฝาก บางคนมาฝากตัวเป็นลูกหลาน บางคนหอบหิ้วหมูหยองมาฝากทั้งๆที่ปู่เย็นเป็นมุสลิม บางคนมาขอสมุนไพรปู่เย็นไปกินเพื่อหวังผลในเรื่องอายุยืน บางคน ฯลฯ
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้ขี้เมาไปกวนปู่เย็นจนต้องทิ้งเรือขึ้นไปอยู่บนบกชั่วคราว
แรงระเบิดจากปู่เย็นฟีเวอร์ทำให้บางคนที่ใกล้ชิดปู่เย็น มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเรือลำนั้น จนมีข่าวออกมาว่าปู่เย็นเสียศูนย์ไปชั่วขณะ
แต่ปู่เย็นย่อมเป็นปู่เย็น จากนั้นไม่นานแกก็กลับมาใช้ชีวิตในลำน้ำเพชรอีกครั้ง
ปู่เย็นกลับมาเป็นคนคุ้นเคยแห่งลำน้ำเพชรอีกครั้ง
ขณะที่คนแปลกหน้าแห่งลำน้ำเพชรอย่างผมกับไอ้ไก่ เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวบ้านพี่กบ เกียรติศักดิ์ กล่อมสกุลคนสนิทชิดเชื้อของปู่เย็น เราก็ถือโอกาสในจังหวะไปลอยเรือทัศนาลำน้ำเพชรแวะเวียนไปหาปู่เย็น แต่ว่าช่วงเช้าขาไปไม่เจอแก เจอแต่เรือผูกไว้ใต้สะพานลำใหญ่ แต่สำหรับขากลับนั้นปรากฏว่าไม่ผิดหวังแต่อย่างใด เพราะในเรือลำน้อยประทุนขาวเด่น ผมมองเห็นควันบางๆลอยมาแต่ไกล
จากนั้นเรือนำเที่ยวของเราแล่นเข้าไปเทียบกับเรือของปู่ เห็นปู่เย็นกำลังนั่งพัดเตาอั้งโล่อยู่
“วันนี้ทำอะไรกินนะปู่”นายท้ายเรือลูกน้องพี่กบถาม
“ปิ้งปลากิน”ปู่เย็นตอบ
“ปู่เขากินปลาทุกวันแหละ” นายท้ายเล่าให้ฟัง ก่อนบอกว่าปูแกไม่เคยเบื่อปลาเลย บอกว่ากินแล้วดี
“วันนี้จับปลาได้เยอะมั้ยปู่” ผมถามบ้าง
“พอได้บ้าง ปลาในแม่น้ำมันหายไปเยอะ” ปู่ตอบ
สำหรับคนคุ้นเคยกับแม่น้ำเพชรคงรู้ดีถึงความเปลี่ยนแปลงของลำน้ำสายนี้เป็นอย่างดี
จากนั้นพวกเราก็พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของปู่เย็นกันตามเรื่องตามราว ก่อนล่ำลาปู่เย็นจากมาด้วยคำถามว่า
นี่ถ้าปู่เย็นไม่ถูกนำเสนอผ่านรายการทีวี ผมจะมีโอกาสได้รู้จัก รับรู้เรื่องราวของเฒ่าทระนงคนนี้หรือเปล่าหนอ...
4...
“ชีวิตคนเหมือนสะพาน มีขึ้น มีลง มีสูง มีต่ำ พอสุดท้าย ก็ตาย” : ปู่เย็น
12 ต.ค. 51
ข่าวปู่เย็นเสียชีวิตด้วยอายุขัย 108 ปีทำเอาผมตกใจเล็กน้อย
แต่นี่แหละคือมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถือเป็นวัฏจักร
แต่สำหรับบางคน ตัวตายแต่ชื่อยัง
หนึ่งในนั้นก็คือ “ปู่เย็น” เฒ่าทระนง ไม่มีวันตาย