โดย : จุชดานิน
หากกล่าวถึงเมืองแห่งพระพุทธศาสนา “ประเทศศรีลังกา” คงเป็นหนึ่งในใจของชาวพุทธศาสนิกชน ด้วยประวัติศาสตร์โบราณคดีที่สะสมมายาวนานก่อนพุทธกาล ทำให้ปัจจุบันศรีลังกาเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาและเป็นแหล่งมรดกโลกที่สำคัญ
นอกจากนี้แล้วประเทศศรีลังกายังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทยของเรามาช้านาน โดยเฉพาะในเรื่องของศาสนาและวัฒนธรรม ฉันเองในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนศรีลังกาแดนพุทธศาสนาก็รีบที่จะตกลงเดินทางทันทีกับ “สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค” ที่บินตรงจากกรุงเทพฯเมืองหลวงของไทยไปยังกรุงโคลอมโบเมืองหลวงของประเทศศรีลังกาอย่างรวดเร็วทันใจใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
เมื่อถึงกรุงโคลัมโบเมืองหลวงในปัจจุบันของศรีลังกา เมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของทะเลและชายหาด แต่ฉันไม่ได้อยู่ในกรุงโคลอมโบ เพราะจุดหมายของการมาเยือนศรีลังกาครั้งนี้ของฉันคือการเยือนดินแดนแห่งพุทธศาสนา โดยจากกรุงโคลอมโบฉันและชาวคณะนั่งรถบัสเล็กประมาณ 20 ที่นั่งออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแห่งแรกของศรีลังกานั้นคือ “เมืองอนุราธปุระ” นั้นเอง
ด้วยระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร แต่รสบัสเล็กของเราที่วิ่งบนถนนระหว่างเมืองเพียง 2 เลนแบบน้องนิ้งน้องแกะตามประสาชาวศรีลังกา เราจึงใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งวัน ทำให้พวกเราได้ชื่นชมวิวทิศทัศน์ระหว่างทางกันอย่างเพลิดเพลินจนเต็มอิ่ม
และเมื่อพวกเราได้มาถึงยังเมืองอนุราธปุระ นครหลวงแห่งแรกของศรีลังกาที่รุ่งเรืองต่อเนื่องมาประมาณ 1,400 ปี ไม่เพียงแค่นั้นหากแต่นครอนุราธปุระยังเป็นแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนาในศรีลังกา และกลายเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่หลังสมัยพุทธกาล จน “นครศักดิ์สิทธิ์อนุราธปุระ” ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2525 อีกด้วย
เมื่อเรามาถึงแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนาก็ต้องขอเริ่มประเดิมทริปด้วยการไปสักการะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ซึ่งถือเป็นต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอายุกว่า 2,500 ปี ตามประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ.235 พระนางเถรีสังฆมิตตา พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชซึ่งได้ทรงผนวชเป็นภิกษุณีเป็นผู้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้มาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อมาปลูกไว้ที่เมืองอนุราธปุระ ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปลูกอยู่ที่พุทธคยาในปัจจุบันเชื่อกันว่าไม่ใช่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภายใต้ต้นนั้น เพราะต้นเดิมได้ถูกทำลายไปแล้ว ต้นที่เราเห็นกันในปัจจุบันเป็นต้นที่ปลูกขึ้นมาใหม่โดยใช้หน่อเดิม
แต่ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปชมและกราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้นั้น พวกเราจะต้องผ่านการลูบไล้ตรวจค้นร่างกายและกระเป๋าในห้องเล็กๆโดยมีทหารชายและหญิงเป็นผู้ตรวจค้นเพื่อความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของที่นี่เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าพวกเราจะไปเข้าชมสถานที่ไหนก็มักจะมีการตรวจค้นแบบนี้อยู่หลายต่อหลายรอบ จากที่ฉันเคยจั๊กจี๋ก็กลายเป็นด้านชากันไปเลย
เมื่อตรวจค้นเสร็จแล้วก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณเราต้องถอดหมวก ถอดรองเท้า ถุงเท้า ให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงเดินเท้าเปล่าเข้าไปด้านใน ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เราเห็นแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมกว้างใหญ่นี้มีอายุมายาวนานมาก จนลำต้นเริ่มแคระแกร็น ทางการต้องพยายามรักษาด้วยการทำไม้ค้ำยันกิ่งก้านสาขาไว้เป็นจำนวนมาก และในบริเวณเดียวกันก็มีต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่แตกหน่อขยายจากต้นเดิมอีกหลายต้น ผู้ที่มาไหว้รวมทั้งพวกเรามักจะเก็บใบของพระศรีมหาโพธิ์ที่ร่วงหล่นมาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกันด้วย
หลังจากกราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์กันแล้ว รถพาเราวนชมนครศักดิ์สิทธิ์อนุราธปุระ ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีซากปรักหักพังบ้าง บางแห่งก็ได้รับการบูรณะไว้อย่างสมบูรณ์ ดูโดยรวมแล้วคล้ายกับที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยศรีสัชนาลัย หรือที่เมืองมรดกโลกอยุธยาของบ้านเรา อาทิ “เจดีย์ถูปาราม” (Thuparamaya) ซึ่งเป็นเจดีย์ทางพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในศรีลังกา เป็นเจดีย์องค์แรกที่สร้างขึ้นในเกาะลังกา โดยพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะทรงสร้างขึ้นในราว พ.ศ. 300 เพื่อประดิษฐานกระดูกพระรากขวัญหรือไหปลาร้าเบื้องขวาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งที่พระมหินท์ พระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชจากอินเดียได้เสด็จมาเผยแผ่พุทธศาสนาในเกาะลังกา
ตัวองค์เจดีย์ถูปารามนี้ทาด้วยสีขาว สะอาดตา มีเสาหินเรียงรายอยู่ ด้านในมีพระพุทธรูปปางสมาธิในซุ่มทั้ง 4 ทิศเพื่อให้เราได้กราบไหว้กันทุกทิศทาง หากมีเวลามากหน่อยผู้คนที่มาจะนิยมเดินเวียนประทักษิณ หรือเวียนขวารอบองค์พระเจดีย์ 3 รอบเพื่อเป็นพุทธบูชา
สำหรับ “สระสรงน้ำ” ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ยังคงความสวยงามสมบูรณ์เอาไว้ โดยสระใช้เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์ลังกา พระมเหสี และสนมทั้งหลายในสมัยนั้น ซึ่งสระสรงน้ำนี้เป็นสระคู่แฝดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อมุม สร้างด้วยหินมีลวกลายแกะสลัก ตรงขอบสระสองข้างบันไดทางลงจะมีหินสลักเป็นรูปหม้อแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีลายดอกไม้ใบไม้ห้อยลงมาจากด้านบน และมีรูปพญานาคสลักอยู่ด้วย ถือกันว่าเป็นผู้คุ้มครองสระน้ำทั้งสองแห่งนี้
ใกล้ๆกับสระสรงน้ำมี “อ่างเก็บน้ำติสสะเววะ” ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,125 ไร่ ชาวศรีลังกาจะนำดินทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาจากสระทำเป็นเขื่อนล้อมรอบอ่างเก็บน้ำ ซึ่งปัจจุบันทำเป็นถนนให้รถวิ่งได้อีกด้วย
โบราณสถานอีกแห่งที่สำคัญก็คือ “เจดีย์อภัยคีรี” (Abayagiriya) ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดอภัยคีรีวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธศาสนานิกายมหายานเจริญรุ่งเรือง เจดีย์อภัยคีรีนี้เป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่มากเป็นอันดับสองรองจากเจดีย์เชตวัน เส้นผ่านศูนย์กลาง 110 เมตร สูง 113 เมตร สร้างโดยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยเมื่อราว 2,100 ปีก่อน ด้านหน้าขององค์เจดีย์ มีวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ก่ออิฐถือปูนยาวประมาณ 10 เมตร
ไม่ไกลกันนักเป็นอีกหนึ่งเจดีย์ที่สำคัญนั่นคือ “เจดีย์เชตวัน” เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากปิรามิด 2 แห่งที่ประเทศอียิปต์ ด้วยฐานเจดีย์เส้นผ่านศูนย์กลาง 113 เมตร สูง 122 เมตร สร้างด้วยอิฐทั้งองค์ในสมัยพระเจ้ามหาเสนะ
จากการนั่งรถชมเมืองมรดกโลกอนุราธปุระแล้ว เราก็ไปต่อยังเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของศรีลังกาได้แก่ “นครโบราณสิคิริยะ” (Sigiriya) รถบัสไปจอดส่งพวกเราอยู่ที่หน้าทางเข้าขายตั๋ว จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางไกลเพื่อขึ้นไปชม “พระราชวังสีคิริยา” (Sigiriya Palace) ซึ่งตั้งอยู่บนยอด “ภูเขาสิคิริยา” (Sigiriya Rock) สูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 360 เมตร พวกเราเดินผ่านกำแพงพระราชวังเข้ามาพบกับสระสรงน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ ที่เคยใช้เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์กับเหล่ามเหสีและนางสนม
จากนั้นการเดินเท้าทางไกลของพวกเราก็เริ่มลำบากและฝืดเคืองขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเดินไต่บันไดแล้วบันไดเล่าจนนับไม่ถ้วนเพื่อที่จะขึ้นมาชมภาพเขียนสีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจนได้รับการขนานนามว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลกเลยทีเดียว
พวกเราเดินขึ้นบันไดเหล็กวนจนมาถึงยังถ้ำที่ด้านในมีภาพเขียนสีบนผนังเป็นรูปนางอัปสร ที่เชื่อกันว่าเป็นรูปนางอัปสรหรือเหล่านางฟ้าเพราะตรงกลางหน้าผากมีอุณาโลมอยู่ระหว่างคิ้ว ภาพวาดบนผนังเหล่านี้เป็นภาพวาดปูนเปียก หรือเรียกกันว่า “เฟรสโก” (Fresco) ซึ่งเป็นภาพสีน้ำที่วาดและลงสีในขณะที่ผิวปูนยังหมาดๆอยู่ เพื่อให้สีซึมเข้าไปในผิวปูน อันถือเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมของช่างชาวสิงหลโบราณ จนได้รับการยกย่องว่าสวยงามวิจิตรที่สุดในศรีลังกาและในโลกเลยก็ว่าได้
เมื่อได้ชมภาพสีอันน่าอัศจรรย์แล้ว พวกเราเดินผ่านกำแพงกระจก (Mirror Wall) ทำด้วยอิฐฉาบปูนจนราบเรียบเป็นมันเงา จนเราสามารถมองเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ได้เลยทีเดียว จากนั้นเราก็ค่อยๆเดินเลาะไปตามขอบเขาฝ่าลมแรงเป็นพักๆ เพื่อขึ้นไปยังลานบันไดสิงห์ เหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะตรงทางบันไดที่จะนำขึ้นไปสู้ด้านบนสุดของเขามีอุ้งเท้าสิงโตขนาดใหญ่มหึมา 2 ข้าง แม้ลำตัวและหัวสิงโตจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็ยังคงมองออกว่าเป็นรูปสิงโตครึ่งตัวอยู่ในท่าหมอบคลาน
ตรงลานบันไดสิงห์นี้ เป็นจุดพักใหญ่ที่ผู้คนที่ไต่ขึ้นมามักจะมาพักหมดแรงอยู่ที่ชั้นนี้ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปสู้จุดสูงสุดสุดยอดของเขาสีคิริยา ซึ่งเป็นพระราชวังของพระเจ้ากัสสปะ ใน พ.ศ.1020 พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าธาตุเสนกับพระมเหสีที่เป็นสามัญชน จึงต้องการแย่งราชบัลลังก์กับองค์รัชทายาทเจ้าชายโมคคัลลาน์ซึ่งประสูติจากสมเด็จพระราชินี จึงได้จับพระราชบิดาขังคุกแล้วโบกปูนปิดทั้งที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่
พระองค์ทรงย้ายมาตั้งราชธานีใหม่ที่เขาสีคิริยานี้ และได้สร้างพระราชวังขึ้นบนที่ราบยอดเขาสูงอย่างน่าอัศจรรย์ พระเจ้ากัสสปะประทับอยู่ที่นี่นาน 18 ปี ก็ถูกกองทัพของเจ้าชายโมคคัลลาน์มาโอบล้อมเพื่อชิงบัลลังก์คืน พระเจ้ากัสสปะไม่มีทางสู้จึงได้ปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองด้วยดาบในพระราชวังบนภูเขาสีคิริยาแห่งนี้เอง
ด้านบนยอดสูงสุดของเขาสีคิริยาเคยเป็นที่ตั้งพระราชวัง สวนดอกไม้ สระน้ำ ที่สวยงาม แม้ตอนนี้จะไม่มีสวนดอกไม้ จะเหลือเพียงเศษซากของความอลังการ แต่ก็พอจะทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้เคยยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเราชื่นชมและเก็บรูปอยู่ที่เขาสีคิริยาแห่งนี้กันพักใหญ่ ก่อนที่จะเดินกลับลงไปด้านล่าง เพื่อมุ่งหน้าไปยัง “ถ้ำดัมบูลลา” และ สักการะ “พระธาตุเขี้ยวแก้ว” อันศักดิ์สิทธิ์ต่อไป.... (ติดตามในตอนต่อไป)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ประเทศศรีลังกา (Sri Lanka) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ใช้เงินสกุล รูปีศรีลังกา (Sri Lankan Rupee) อัตราแลกโดยประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 110 รูปีศรีลังกา เวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 1.30 ชม. การเดินทางสามารถเดินทางโดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค บินตรงจากกรุงเทพฯ-โคลอมโบ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2246-5659 และ 0-2762-9009
ชมรูปจากเรื่อง "ท่องอนุราธปุระพิชิตเขาสิคิริยาใน"ศรีลังกา"" ต่อได้ที่นี่
หากกล่าวถึงเมืองแห่งพระพุทธศาสนา “ประเทศศรีลังกา” คงเป็นหนึ่งในใจของชาวพุทธศาสนิกชน ด้วยประวัติศาสตร์โบราณคดีที่สะสมมายาวนานก่อนพุทธกาล ทำให้ปัจจุบันศรีลังกาเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาและเป็นแหล่งมรดกโลกที่สำคัญ
นอกจากนี้แล้วประเทศศรีลังกายังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทยของเรามาช้านาน โดยเฉพาะในเรื่องของศาสนาและวัฒนธรรม ฉันเองในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนศรีลังกาแดนพุทธศาสนาก็รีบที่จะตกลงเดินทางทันทีกับ “สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค” ที่บินตรงจากกรุงเทพฯเมืองหลวงของไทยไปยังกรุงโคลอมโบเมืองหลวงของประเทศศรีลังกาอย่างรวดเร็วทันใจใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
เมื่อถึงกรุงโคลัมโบเมืองหลวงในปัจจุบันของศรีลังกา เมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของทะเลและชายหาด แต่ฉันไม่ได้อยู่ในกรุงโคลอมโบ เพราะจุดหมายของการมาเยือนศรีลังกาครั้งนี้ของฉันคือการเยือนดินแดนแห่งพุทธศาสนา โดยจากกรุงโคลอมโบฉันและชาวคณะนั่งรถบัสเล็กประมาณ 20 ที่นั่งออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแห่งแรกของศรีลังกานั้นคือ “เมืองอนุราธปุระ” นั้นเอง
ด้วยระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร แต่รสบัสเล็กของเราที่วิ่งบนถนนระหว่างเมืองเพียง 2 เลนแบบน้องนิ้งน้องแกะตามประสาชาวศรีลังกา เราจึงใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งวัน ทำให้พวกเราได้ชื่นชมวิวทิศทัศน์ระหว่างทางกันอย่างเพลิดเพลินจนเต็มอิ่ม
และเมื่อพวกเราได้มาถึงยังเมืองอนุราธปุระ นครหลวงแห่งแรกของศรีลังกาที่รุ่งเรืองต่อเนื่องมาประมาณ 1,400 ปี ไม่เพียงแค่นั้นหากแต่นครอนุราธปุระยังเป็นแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนาในศรีลังกา และกลายเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่หลังสมัยพุทธกาล จน “นครศักดิ์สิทธิ์อนุราธปุระ” ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2525 อีกด้วย
เมื่อเรามาถึงแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนาก็ต้องขอเริ่มประเดิมทริปด้วยการไปสักการะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ซึ่งถือเป็นต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอายุกว่า 2,500 ปี ตามประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ.235 พระนางเถรีสังฆมิตตา พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชซึ่งได้ทรงผนวชเป็นภิกษุณีเป็นผู้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้มาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย เพื่อมาปลูกไว้ที่เมืองอนุราธปุระ ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปลูกอยู่ที่พุทธคยาในปัจจุบันเชื่อกันว่าไม่ใช่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภายใต้ต้นนั้น เพราะต้นเดิมได้ถูกทำลายไปแล้ว ต้นที่เราเห็นกันในปัจจุบันเป็นต้นที่ปลูกขึ้นมาใหม่โดยใช้หน่อเดิม
แต่ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปชมและกราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้นั้น พวกเราจะต้องผ่านการลูบไล้ตรวจค้นร่างกายและกระเป๋าในห้องเล็กๆโดยมีทหารชายและหญิงเป็นผู้ตรวจค้นเพื่อความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของที่นี่เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าพวกเราจะไปเข้าชมสถานที่ไหนก็มักจะมีการตรวจค้นแบบนี้อยู่หลายต่อหลายรอบ จากที่ฉันเคยจั๊กจี๋ก็กลายเป็นด้านชากันไปเลย
เมื่อตรวจค้นเสร็จแล้วก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณเราต้องถอดหมวก ถอดรองเท้า ถุงเท้า ให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงเดินเท้าเปล่าเข้าไปด้านใน ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เราเห็นแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมกว้างใหญ่นี้มีอายุมายาวนานมาก จนลำต้นเริ่มแคระแกร็น ทางการต้องพยายามรักษาด้วยการทำไม้ค้ำยันกิ่งก้านสาขาไว้เป็นจำนวนมาก และในบริเวณเดียวกันก็มีต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่แตกหน่อขยายจากต้นเดิมอีกหลายต้น ผู้ที่มาไหว้รวมทั้งพวกเรามักจะเก็บใบของพระศรีมหาโพธิ์ที่ร่วงหล่นมาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกันด้วย
หลังจากกราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์กันแล้ว รถพาเราวนชมนครศักดิ์สิทธิ์อนุราธปุระ ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีซากปรักหักพังบ้าง บางแห่งก็ได้รับการบูรณะไว้อย่างสมบูรณ์ ดูโดยรวมแล้วคล้ายกับที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยศรีสัชนาลัย หรือที่เมืองมรดกโลกอยุธยาของบ้านเรา อาทิ “เจดีย์ถูปาราม” (Thuparamaya) ซึ่งเป็นเจดีย์ทางพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในศรีลังกา เป็นเจดีย์องค์แรกที่สร้างขึ้นในเกาะลังกา โดยพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะทรงสร้างขึ้นในราว พ.ศ. 300 เพื่อประดิษฐานกระดูกพระรากขวัญหรือไหปลาร้าเบื้องขวาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งที่พระมหินท์ พระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชจากอินเดียได้เสด็จมาเผยแผ่พุทธศาสนาในเกาะลังกา
ตัวองค์เจดีย์ถูปารามนี้ทาด้วยสีขาว สะอาดตา มีเสาหินเรียงรายอยู่ ด้านในมีพระพุทธรูปปางสมาธิในซุ่มทั้ง 4 ทิศเพื่อให้เราได้กราบไหว้กันทุกทิศทาง หากมีเวลามากหน่อยผู้คนที่มาจะนิยมเดินเวียนประทักษิณ หรือเวียนขวารอบองค์พระเจดีย์ 3 รอบเพื่อเป็นพุทธบูชา
สำหรับ “สระสรงน้ำ” ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ยังคงความสวยงามสมบูรณ์เอาไว้ โดยสระใช้เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์ลังกา พระมเหสี และสนมทั้งหลายในสมัยนั้น ซึ่งสระสรงน้ำนี้เป็นสระคู่แฝดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อมุม สร้างด้วยหินมีลวกลายแกะสลัก ตรงขอบสระสองข้างบันไดทางลงจะมีหินสลักเป็นรูปหม้อแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีลายดอกไม้ใบไม้ห้อยลงมาจากด้านบน และมีรูปพญานาคสลักอยู่ด้วย ถือกันว่าเป็นผู้คุ้มครองสระน้ำทั้งสองแห่งนี้
ใกล้ๆกับสระสรงน้ำมี “อ่างเก็บน้ำติสสะเววะ” ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,125 ไร่ ชาวศรีลังกาจะนำดินทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาจากสระทำเป็นเขื่อนล้อมรอบอ่างเก็บน้ำ ซึ่งปัจจุบันทำเป็นถนนให้รถวิ่งได้อีกด้วย
โบราณสถานอีกแห่งที่สำคัญก็คือ “เจดีย์อภัยคีรี” (Abayagiriya) ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดอภัยคีรีวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธศาสนานิกายมหายานเจริญรุ่งเรือง เจดีย์อภัยคีรีนี้เป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่มากเป็นอันดับสองรองจากเจดีย์เชตวัน เส้นผ่านศูนย์กลาง 110 เมตร สูง 113 เมตร สร้างโดยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยเมื่อราว 2,100 ปีก่อน ด้านหน้าขององค์เจดีย์ มีวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ก่ออิฐถือปูนยาวประมาณ 10 เมตร
ไม่ไกลกันนักเป็นอีกหนึ่งเจดีย์ที่สำคัญนั่นคือ “เจดีย์เชตวัน” เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากปิรามิด 2 แห่งที่ประเทศอียิปต์ ด้วยฐานเจดีย์เส้นผ่านศูนย์กลาง 113 เมตร สูง 122 เมตร สร้างด้วยอิฐทั้งองค์ในสมัยพระเจ้ามหาเสนะ
จากการนั่งรถชมเมืองมรดกโลกอนุราธปุระแล้ว เราก็ไปต่อยังเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของศรีลังกาได้แก่ “นครโบราณสิคิริยะ” (Sigiriya) รถบัสไปจอดส่งพวกเราอยู่ที่หน้าทางเข้าขายตั๋ว จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางไกลเพื่อขึ้นไปชม “พระราชวังสีคิริยา” (Sigiriya Palace) ซึ่งตั้งอยู่บนยอด “ภูเขาสิคิริยา” (Sigiriya Rock) สูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 360 เมตร พวกเราเดินผ่านกำแพงพระราชวังเข้ามาพบกับสระสรงน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ ที่เคยใช้เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์กับเหล่ามเหสีและนางสนม
จากนั้นการเดินเท้าทางไกลของพวกเราก็เริ่มลำบากและฝืดเคืองขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเดินไต่บันไดแล้วบันไดเล่าจนนับไม่ถ้วนเพื่อที่จะขึ้นมาชมภาพเขียนสีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจนได้รับการขนานนามว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลกเลยทีเดียว
พวกเราเดินขึ้นบันไดเหล็กวนจนมาถึงยังถ้ำที่ด้านในมีภาพเขียนสีบนผนังเป็นรูปนางอัปสร ที่เชื่อกันว่าเป็นรูปนางอัปสรหรือเหล่านางฟ้าเพราะตรงกลางหน้าผากมีอุณาโลมอยู่ระหว่างคิ้ว ภาพวาดบนผนังเหล่านี้เป็นภาพวาดปูนเปียก หรือเรียกกันว่า “เฟรสโก” (Fresco) ซึ่งเป็นภาพสีน้ำที่วาดและลงสีในขณะที่ผิวปูนยังหมาดๆอยู่ เพื่อให้สีซึมเข้าไปในผิวปูน อันถือเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมของช่างชาวสิงหลโบราณ จนได้รับการยกย่องว่าสวยงามวิจิตรที่สุดในศรีลังกาและในโลกเลยก็ว่าได้
เมื่อได้ชมภาพสีอันน่าอัศจรรย์แล้ว พวกเราเดินผ่านกำแพงกระจก (Mirror Wall) ทำด้วยอิฐฉาบปูนจนราบเรียบเป็นมันเงา จนเราสามารถมองเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ได้เลยทีเดียว จากนั้นเราก็ค่อยๆเดินเลาะไปตามขอบเขาฝ่าลมแรงเป็นพักๆ เพื่อขึ้นไปยังลานบันไดสิงห์ เหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะตรงทางบันไดที่จะนำขึ้นไปสู้ด้านบนสุดของเขามีอุ้งเท้าสิงโตขนาดใหญ่มหึมา 2 ข้าง แม้ลำตัวและหัวสิงโตจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็ยังคงมองออกว่าเป็นรูปสิงโตครึ่งตัวอยู่ในท่าหมอบคลาน
ตรงลานบันไดสิงห์นี้ เป็นจุดพักใหญ่ที่ผู้คนที่ไต่ขึ้นมามักจะมาพักหมดแรงอยู่ที่ชั้นนี้ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปสู้จุดสูงสุดสุดยอดของเขาสีคิริยา ซึ่งเป็นพระราชวังของพระเจ้ากัสสปะ ใน พ.ศ.1020 พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าธาตุเสนกับพระมเหสีที่เป็นสามัญชน จึงต้องการแย่งราชบัลลังก์กับองค์รัชทายาทเจ้าชายโมคคัลลาน์ซึ่งประสูติจากสมเด็จพระราชินี จึงได้จับพระราชบิดาขังคุกแล้วโบกปูนปิดทั้งที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่
พระองค์ทรงย้ายมาตั้งราชธานีใหม่ที่เขาสีคิริยานี้ และได้สร้างพระราชวังขึ้นบนที่ราบยอดเขาสูงอย่างน่าอัศจรรย์ พระเจ้ากัสสปะประทับอยู่ที่นี่นาน 18 ปี ก็ถูกกองทัพของเจ้าชายโมคคัลลาน์มาโอบล้อมเพื่อชิงบัลลังก์คืน พระเจ้ากัสสปะไม่มีทางสู้จึงได้ปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองด้วยดาบในพระราชวังบนภูเขาสีคิริยาแห่งนี้เอง
ด้านบนยอดสูงสุดของเขาสีคิริยาเคยเป็นที่ตั้งพระราชวัง สวนดอกไม้ สระน้ำ ที่สวยงาม แม้ตอนนี้จะไม่มีสวนดอกไม้ จะเหลือเพียงเศษซากของความอลังการ แต่ก็พอจะทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้เคยยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเราชื่นชมและเก็บรูปอยู่ที่เขาสีคิริยาแห่งนี้กันพักใหญ่ ก่อนที่จะเดินกลับลงไปด้านล่าง เพื่อมุ่งหน้าไปยัง “ถ้ำดัมบูลลา” และ สักการะ “พระธาตุเขี้ยวแก้ว” อันศักดิ์สิทธิ์ต่อไป.... (ติดตามในตอนต่อไป)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ประเทศศรีลังกา (Sri Lanka) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ใช้เงินสกุล รูปีศรีลังกา (Sri Lankan Rupee) อัตราแลกโดยประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 110 รูปีศรีลังกา เวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 1.30 ชม. การเดินทางสามารถเดินทางโดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค บินตรงจากกรุงเทพฯ-โคลอมโบ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2246-5659 และ 0-2762-9009
ชมรูปจากเรื่อง "ท่องอนุราธปุระพิชิตเขาสิคิริยาใน"ศรีลังกา"" ต่อได้ที่นี่