xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องกลับตาลปัตรบน"เกาะช้าง" / ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
ดินบนเกาะช้างที่นับวันยิ่งถูกนายทุนต่างถิ่นกว้านซื้อไปทำโรงแรม รีสอร์ท มากขึ้นเรื่อยๆ
"ดู ดู๊ ดู ดูเธอทำ ทำไมถึงทำกับฉันได้"

ดูเธอทำ : จ๊อบ บรรจบ

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ จะว่าไปมันก็เข้าข่าย"ดู ดู๊ ดู ดูเธอทำ ทำไมถึงทำกับฉันได้"ไม่น้อยเลย

ประกายของเรื่องนี้ถูกจุดขึ้นในกลางดึกรอยต่อคืนวันอังคารกับวันพุธ(ประทานโทษที่ผมจำวันที่ไม่ได้แน่ชัด รู้แต่ว่าเป็นต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา)

คืนนั้นผมรู้สึกเบื่อ(เป็นปกติ)กับรายการน้ำเน่าทางฟรีทีวี จึงหันไปหาวิทยุเปิดคลื่นโมเดิร์นเรดิโอ ฟังรายการของพี่ซันหรือคุณมาโนช พุฒตาล เป็นอาหารสมองก่อนนอน

คืนนั้นพี่ซันเล่าว่า แกเพิ่งกลับมาจากทะเลเขาหลัก จ.พังงา ที่นั่นแกพบเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งด้านวัตถุ ธรรมชาติ และวิถีชีวิต...เขาหลักเจริญทางวัตถุขึ้นมากแบบผิดหูผิดตา,ร้านค้าโชว์ห่วยแถวนั้นถูกร้านสะดวกซื้อรุกคืบอย่างหนัก,วิถีชีวิตชาวบ้านส่วนหนึ่งเปลี่ยนไป พวกเขาหันไปทำอาชีพด้านการท่องเที่ยวกันมากขึ้น,มีนายทุนทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่จากชาวบ้านไปทำที่พัก-โรงแรม-รีสอร์ท จนส่งผลกระทบต่อวิถีและสิทธิของชาวบ้านส่วนหนึ่ง...

นั่นเป็นเรื่องราวบางส่วนจากพี่ซัน ซึ่งจะว่าไปไอ้เรื่องขายที่ดินของชาวบ้าน ชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา ชาวประมง ขายที่ให้กับนายทุนต่างถิ่นเพื่อสร้างเป็นโรงแรมรีสอร์ทนี่มันมีมายาวนานหลายสิบปีแล้ว ไล่มาตั้งแต่พัทยา ภูเก็ต เสม็ด สมุย พีพี กระบี่ พังงา เกาะช้าง ลามไปจนถึงที่ดินริมทะเลและบนเกาะอีกมากมายทั่วทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน

แต่...ที่ผมฟังแล้วมันจี๊ด หัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก ก็เห็นจะเป็นช่วงที่พี่ซันเล่าถึงเรื่องราวของคุณลุงคนหนึ่งที่เขาหลักที่ขายที่ดินริมทะเล(เพราะความจำเป็น)ให้กับฝรั่งต่างชาติ เพื่อนำไปสร้างเป็นรีสอร์ท(ผมเข้าใจว่าที่ดินของลุงแกคงจะวิวดีไม่น้อยเลย) แล้วปรากฏว่าหลังจากนั้นคุณลุง(รวมถึงชาวบ้านคนอื่นๆ) ไม่สามารถเดินผ่านที่ดินเก่าของแกได้ เพียงแค่เฉียดกายเข้าไปใกล้ๆนี่ลุงแกก็ถูกคนที่นั่นไล่ตะเพิดออกมา

"ในขณะที่ภาครัฐคุยว่า มีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวบ้านเราเป็นจำนวนมาก เท่านั้นเท่านี้ แต่คุณลุงที่เขาหลักกลับถูกตะเพิดออกมาจากที่ดินเก่าของแก คิดแล้วเสียใจครับ"พี่ซันแกพูดประมาณนี้ก่อนจะเปิดเพลงสลับอารมณ์

ครับ ผมฟังพี่ซันแล้ว มันทำให้ผมอดคิดถึงช่วงที่เดินทางไปเกาะช้างเมื่อก่อนหน้านั้นไม่กี่วันไม่ได้

1...

ที่เกาะช้างเด็กที่ขับเรือนำเที่ยวเล่าให้ผมฟังว่า "หาดบางที่นะ ตอนเด็กๆผมเคยไปวิ่งเล่น หาปลา แต่พอคนเกาะช้างขายที่ไป เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นหาดส่วนตัวไปแล้ว พอเราเดินผ่าน มันไม่ตะโกนไล่ แต่มันยิงปืนไล่เลย"

ไอ้เรื่องโดนยิงปืนไล่นี่ไม่รู้ว่าเขาโม้หรือเปล่า แต่ไอ้เรื่องโดนไล่ตะเพิดนี่ผมเชื่อว่าเขาพูดจริง เพราะเรื่องราวการซื้อขายที่ดินบนเกาะช้างที่ผ่านมานี่จะว่าไปมันเปรียบเหมือนหนังชีวิต "สงครามที่ดิน"ที่มีทั้ง หลั่งเลือด หลั่งน้ำตา โศกเศร้า เจ้าเล่ห์ซ่อนกล(โกง) หักเหลี่ยมหักคู และวิธีการอื่นๆอีกสารพัดสารเพ

แต่...ฉากจบ "ชาวบ้านและคนจน" มักจะเป็นผู้แพ้เสมอ

ในขณะที่ผู้ชนะก็มักจะหนีไม่พ้นนายทุนสามานย์ทั้งคนไทยและต่างชาติที่มุ่งเน้นแต่เพียงการเข้ามาทำกำไร กอบโกยผลประโยชน์จากเกาะช้างให้มากที่สุด(ทุนดีๆที่มีคุณธรรมในเกาะช้างก็มีอยู่) ส่วนเรื่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต วัฒนธรรม คุณธรรม จริยธรรม นั้นไม่สน เพราะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา

เรื่องนี้พูดไปทำไมมี เพราะในเมื่อภาครัฐที่ผ่านๆมามุ่งเน้นแต่"การท่องเที่ยวเชิงตัวเลข-เชิงปริมาณ" ละเลย"การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน" โดยเฉพาะในยุครัฐบาลหน้าเหลี่ยมเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วนี่ตัวดีเลย พวกเล่นบูมเกาะช้างกันเต็มที่ บูมกันสุดๆ(จนหลายคนตั้งคำถามว่ามีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือเปล่า)

ทำให้ที่ดินบนเกาะช้างบางส่วน(โดยเฉพาะที่สวยๆ)ถูกนายทุนกว้านซื้อเพื่อจะทำโรงแรม รีสอร์ท หรือลงทุนในกิจการอสังหา รวมไปถึงการซื้อที่ดินเพื่อ"ปั่น"ราคาให้พุ่งปรี๊ดด้วย

ส่วนใครที่เป็นคนปั่น ใครเป็นคนกว้านซื้อที่เก็งกำไร คงต้องไปถามคนในพื้นที่กันเอาเอง

2…

ในยุคทองของที่ดินบนเกาะช้าง ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูล พบว่าส่วนใหญ่ของการขายที่ดิน มาจากการที่ชาวบ้านหวังผลในระยะสั้น คือขายที่เอาเงินเป็นเศรษฐีในพริบตา ส่วนในอนาคตจะเป็นยังไงนั้นไม่ได้คิดยาวไปถึงขนาดนั้น

แต่ก็มีบางกลุ่มที่ขายที่เพราะจำเป็นคือขัดสนต้องการเงิน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นพวกขายที่เพราะจำใจ คือถูกอิทธิพลมืดและสว่างบีบบังคับ ข่มขู่ หรือไม่ก็เป็นประเภทหมดหนทางเพราะนายทุนเล่นซื้อที่ปิดล้อมไว้หมด กลายเป็นที่ตาบอดจนต้องขายทิ้งในที่สุด

เมื่อ"ทุนสามานย์" มาซื้อที่เพื่อผลทางธุรกิจ มีหรือที่คนพวกนี้จะใส่ในในสิ่งแวดล้อม ผืนป่า น้ำเสีย มีหรือที่คนพวกนี้จะมองเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน มีหรือที่คนพวกนี้จะสนใจในภูมิทัศน์ที่กลมกลืนกลับสภาพแวดล้อม

เพราะธงนำของเขาเหล่านี้อยู่ที่ผลประโยชน์และผลกำไรสูงสุดเท่านั้น!?!

3...

"สมัยก่อน คนบนเกาะช้างถ้ามีที่บนบกเขาเปรียบเหมือนคนมีทอง ส่วนใครที่มีที่ดินริมทะเลเขาเปรียบเป็นลูกเมียน้อย"

พี่หนู ชาวบ้านคลองสนคนเกาะช้างโดยกำเนิดเกริ่นให้ฟัง ก่อนจะขยายความให้ฟังว่า เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว คนเกาะช้างมีอาชีพประมงและทำสวนเป็นหลัก ที่นี่มีทั้งสวนเงาะ มังคุด ทุเรียน มะม่วงสะท้อน(กระท้อน) ส่วนสวนยาง(พารา)เข้ามาช่วงหลัง ส่วนที่ดินริมทะเลนี่ไม่มีใครสนใจเพราะมันปลูกอะไรไม่ได้

แต่แล้วสภาพการณ์กลับตาลปัตรเมื่อ ธุรกิจท่องเที่ยวบนเกาะช้างเริ่มบูมเมื่อราว 15 กว่าปีที่แล้ว ก่อนจะบูมสุดขีดเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว

ที่ดินริมทะเลกลายเป็นของล้ำค่าราคาพุ่งพรวดๆแซงราคาที่บกบนไปไกลโข ยิ่งผลไม้ราคาตก ที่ดินบนบกมีปัญหากับอุทยานฯด้านการครอบครองสิทธิ์ ยิ่งทำให้ชาวบ้านบนเกาะช้างหันมาขายที่ให้นายทุนกันเป็นจำนวนมาก

"เดี๋ยวนี้ที่ดินริมทะเลบนเกาะช้าง เป็นของนายทุนคนต่างถิ่นทั้งคนไทยและฝรั่งแทบทั้งนั้น เขาซื้อไปทำโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร บ้านพักตากอากาศ ส่วนคนบนเกาะช้างนะหรือ เดี๋ยวนี้ไปเป็นลูกจ้างเขา ไปเป็นบ๋อย เป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นแม่บ้าน เฮ้อ...รัฐเขาบอกจะมาพัฒนาการท่องเที่ยวให้เกาะช้าง แต่คนที่ได้ไปเต็มๆกลับมีแต่นายทุนต่างถิ่น ส่วนเกาะช้างได้แค่เศษเงินเล็กน้อย"

พี่หนูระบายให้ฟัง ในคืนที่ผมไปนั่งดื่มกินที่บ้านของแก

และนี่ไยมิใช่อีกหนึ่งเหตุการณ์กลับตาลปัตรบนเกาะช้าง และเป็นเหตุการณ์กลับตาลปัตรที่เกิดขึ้นกลับทะเลไทยส่วนใหญ่ ที่ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ในฐานะ"คนใน"ถูกทำให้เปลี่ยนสถานะกลายเป็น"คนนอก" เฝ้ามองทุนต่างถิ่นเข้ามากอบโกยในผืนแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง แถมยังไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งในผืนแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง

เท่านั้นยังไม่พอชาวบ้าน(คนไทย)บางคนยังถูกฝรั่ง-นายทุนไล่ไม่ต่างจากหมูจากหมาอีกด้วย

4...

"จะอยู่แห่งไหน ไม่เคยจะลืมบ้านเกิด แผ่นดินกำเนิด ถิ่นที่เคยอาศัย ผู้คนผ่านมา หาความสบาย รุมทึ้งทำลาย ไม่ยอมดูแล

แผ่นดินไม่หอมเขายอมขายขาด ให้คนต่างชาติ มากวาดซื้อพื้นทราย ทะเลอ่อนล้า ฝูงปลาคงร้องไห้ เราหวงแทบตาย เขาขายบ้าน"

อยากกลับบ้าน 2 : ศุ บุญเลี้ยง
กำลังโหลดความคิดเห็น