เป็นที่รู้กันดีในหมู่คนชอบเที่ยวว่า ถ้าใครไปแอ่ว “เวียงพิงค์” หรือ “เชียงใหม่” แล้ว ถ้าไม่หาโอกาสไปนมัสการ “พระธาตุดอยสุเทพ” สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสักครั้ง ก็เหมือนกับว่ายังไปไม่ถึงเชียงใหม่โดยสมบูรณ์
แต่นอกจากพระธาตุดอยสุเทพแล้ว ในตัวเมืองเชียงใหม่ ถิ่นที่เคยรุ่งเรืองด้านพระพุทธศาสนาในอดีต ยังมีวัดสำคัญ มีชื่อเสียง และมีความสวยงามชวนเที่ยวอีกมากมาย และนั่นจึงเป็นที่มาของการ ตะลอนทัวร์ไหว้พระเสริมสิริมงคลรับบรรยากาศปีใหม่ไทยหรือปี๋ใหม่เมืองหรือเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้
โดยวัดแรกที่เรามุ่งหน้าเดินทางไปกันก็คือ “วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “วัดพระสิงห์” เป็นวัดเก่าแก่และมีความสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เพราะมีพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่ ซึ่งเป็น 1 องค์ในจำนวนทั้งหมด 3 องค์ที่มีในประเทศไทย (อีก 2 องค์ มีที่หอพระพุทธสิงหิงค์ จ.นครศรีธรรมราช และที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กทม.)
ภายในวัดพระสิงค์มีสิ่งสำคัญที่น่าสนใจให้เที่ยวชมอยู่หลายจุด จุดแรกที่น่าสนใจก็คือ พระวิหารลายคำ ที่งดงามด้วยศิลปะการสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ภายในพระวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันสวยงามที่เขียนเรื่องราวสังข์ทอง และสุวรรณหงส์ ส่วนตรงกลางของพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ พระสิงห์หรือพระพุทธสิงหิงค์ เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริด ลงรักปิดทอง มีพุทธลักษณะอันงดงามด้วยฝีมือของสกุลช่างเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา ที่ชาวเชียงใหม่เคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในช่วงวันสงกรานต์ พระพุทธสิหิงค์ จะถูกอัญเชิญไปรอบเมืองเชียงใหม่เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำ กราบไหว้สักการะบูชา
“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก้มลงกราบสักการะพระพุทธสิหิงค์ด้วยใจเคารพ และขอพรให้ท่านคุ้มครอง ให้ประสบแต่สิ่งที่ดีๆ แก่ชีวิต ก่อนที่จะออกไปดูยังจุดที่น่าสนใจอื่นๆ กันอีกไม่ว่าจะเป็น พระธาตุเจดีย์ เจดีย์เก่าแก่ลักษณะศิลปะแบบล้านนาหริภุญไชยผสมลังกา ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากทวีปลังกา พระธาตุเจดีย์นี้ถือว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีมะโรง ถึงเราจะไม่ได้เกิดปีมะโรง แต่ก็ขอไหว้พระธาตุเพื่อเสริมความเป็นมงคลแก่ชีวิต
จากพระธาตุเจดีย์เดินมาด้านหน้าจะเจอกับ พระอุโบสถสองสงฆ์ เป็นพระอุโบสถที่มีมุข 2 ด้านหันหน้าไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ทั้ง 2 ด้านมีซุ้มประตูตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นวิจิตรงดงาม ภายในมีมณฑปตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์จำลอง และพื้นที่ภายในพระอุโบสถแบ่งเป็น 2 ส่วน สันนิษฐานว่าสร้างให้เห็นถึงคติเลียนแบบสมัยพุทธกาล ที่ภิกษุณีสงฆ์ต้องบวชในสงฆ์ 2 ฝ่าย คือบวชในภิกษุณีก่อนจึงบวชในภิกษุสงฆ์ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระวิหารหลวงที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมล้านนา กู่ลายเป็นเจดีย์ทรงปราสาท และมีหอไตรแบบล้านนาที่สวยงามอยู่ด้านหน้าวัด
เราออกจากวัดพระสิงห์ เดินทางไปยังวัดที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก และตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่เลยคือ “วัดเจดีย์หลวง” หรือ วัดโชติการาม หรือ ราชกูฏา หรือ กุฏาราม เป็นวัดสำคัญมากวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่มาตั้งแต่อดีตเพราะมีประวัติว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตมาก่อน ภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างที่ควรค่าแก่การมาชม และมาไหว้สักการะเป็นอย่างมาก
สิ่งแรกที่เมื่อเข้ามาในวัดแล้วจะเห็นตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่นั่นก็คือ เจดีย์หลวง เป็นเจดีย์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ . ศ . 1934 สมัยพระยาแสนเมืองมา นับเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในอาณาจักรล้านนา มีความสูงถึง 80 ม. แต่เมื่อปีพ.ศ. 2088 ได้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้ยอดเจดีย์หักโค่นลงมา ทำให้ปัจจุบันนี้เจดีย์มีความสูงเหลือเพียง 40.8 ม. มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 60 ม. มีช้างปูนปั้นประดับอยู่ 28 เชือก ทั้งสี่ด้านมีบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณของเรือนธาตุได้ ตรงกลางเป็นเรือนธาตุสี่เหลี่ยมเพิ่มมุม ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ
นอกจากความยิ่งใหญ่ของเจดีย์หลวงแล้ว เมื่อเดินมาทางด้านหลังเจดียืหลวง ยังมีสิ่งก่อสร้างและพระให้กราบไว้สักการะกันอีก ไม่ว่าจะเป็นวิหารพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่ภายในมีรูปปั้นหลวงปู่มั่นประดิษฐานอยู่ และมีพระอัฐิธาตุของท่านให้กราบไหว้ ถัดมาเป็นพระวิหารจัตุรมุขบูรพาจารย์ และใกล้ๆ กันมีพระเจ้าทันใจให้กราบไหว้ขอพรกันด้วย เดินถัดมาอีกนิดก็จะเจอกับพระนอน หรือ พระพุทธไสยาสน์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่กับพระเจดีย์ ที่มีพุทธลักษณ์สวยงามมาก มีพระมหาสังกัจจายน์ ที่คาดว่ามีความเก่าแก่พอ ๆ กับพระนอน ตั้งประดิษฐานอยู่ให้ได้อธิษฐานขอพรกัน และยังมีเสาอินทขิล หรือเสาหลักเมืองของเชียงใหม่ ให้สักการะเพื่อความมั่นคงของชีวิตและครอบครัว
เราเดินชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนรอบวัดเจดีย์หลวงกันแล้ว ก็ไม่รอช้ารีบออกจากวัดและไปต่อกันทันที โดยมุ่งหน้าไปที่ “วัดเชียงมั่น” หรือวัดเชียงหมั้น เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในตัวเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อครั้งพ่อขุนเม็งรายมหาราชสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1839 พระองค์ทรงยกตำหนักที่ประทับชื่อตำหนักเชียงมั่นถวายเป็นพระอารามและให้ชื่อว่าวัดเชียงมั่น
วัดเชียงมั่นนี้มีสิ่งที่น่าสนใจและชวนให้สักการะมากมาย อย่างแรกที่เมื่อมาถึงวัดแล้วต้องไปสักการระ คือ เข้าไปภายในพระวิหารไปไหว้พระพุทธรูปสำคัญของเชียงใหม่ 2 องค์ คือ พระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาว เป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะจากผลึกหินสีขาวขุ่น มีขนาดหน้าตักกว้าง 4 นิ้ว สูง 6 นิ้ว และพระพุทธรูปศิลาปางปราบช้างนาฬาคีรี หรือ พระศิลา เป็นพระพุทธรูปแกะสลักด้วยหินชนวนดำ ฝีมือช่างปาละของอินเดียพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์นี้ประดิษฐานอยู่ในมณฑปที่ทางวัดได้ทำลูกกรงเหล็กล้อมพระพุทธรูปไว้อย่างแน่นหนาเพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีค่ามากจึงกลัวถูกขโมย
เราออกมาจากพระวิหารแล้วเดินมาทางด้านหลังก็จะพบกับ พระเจดีย์ช้างล้อม ที่สร้างสมัยพญามังราย เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมผสมทรงกลมสูง ( ทรงปราสาท ) ตรงฐานเจดีย์ทำเป็นรูปช้างล้อม16 เชือก สันนิษฐานว่าสร้างเลียนแบบเจดีย์ช้างล้อมของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่เมืองศรีสัชนาลัย ถัดมาเป็นหอไตร ที่ชั้นล่างก่ออิฐฉาบปูน ชั้นบนเป็นไม้ลงรักปิดทองสวยงาม ถัดมาอีกนิดเป็น พระอุโบสถทรงล้านนา เป็นพระอุโบสถที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมล้านนา และเป็นที่ตั้งของศิลาจารึกอันเก่าแก่ ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ และการสร้างวัดเชียงมั่น
หลังจากไหว้พระขอพรที่วัดเชียงมั่นกันเสร็จแล้ว เราก็ไปแสวงบุญไหว้พระกันต่อที่ “วัดโลกโมฬี” เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่วัดเล็กๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่ แต่ก็มีความสำคัญเพราะเป็นวัดที่พระนางเทวีจิรประภาแต่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายแด่พระไชยราชาธิราชแห่งอโยธยา และเชิญเสด็จมาทำบุญที่วัดแห่งนี้ ซึ่งภายในวัดโลกโมฬี มีสิ่งที่น่าไปเที่ยวชมอยู่ไม่น้อยเลย
สถานที่แรกเมื่อเดินเข้าไปในวัด เราเข้าไปในวิหารที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ที่มีความสวยงามทั้งภายในและภายนอก เป็นศิลปะผสมผสานกันระหว่างไม้แกะสลักและปูนปั้น และด้านในวิหารมีพระประธานตั้งอยู่ให้ได้กราบไหว้ขอพรกัน จากนั้นเดินเข้ามาด้านในเพื่อมาสักการะองค์เจดีย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทขนาดใหญ่ ที่แต่ละด้านมีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูป และมีรูปปั้นเทวดาประดับอยู่อย่างสวยงาม ด้านล่างฐานเจดีย์ยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่เพื่อให้ได้กราบไหว้กันอีกด้วย
และภายในวัดยังมีศาลาที่ประดิษฐานรูปปั้นของพระนางเจ้าจิรประภามหากษัตริยาแห่งล้านนา ให้ทุกคนได้มากราบไหว้ขอพร ว่ากันว่าหากขอพรเรื่องราวเกี่ยวกับความรักมักจะสมหวัง อันนี้จะจริงหรือไม่จริง เราก็ขอให้รักเราสมหวังเช่นกัน..สาธุ
หลังจากนั้นเราก็ออกจากวัดโลกโมฬี เพื่อตรงไปยังวัดสุดท้ายที่รออยู่คือ “วัดเจ็ดยอด” หรือ วัดโพธารามมหาวิหาร เป็นวัดขนาดใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราช เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ที่สำคัญคือเป็นที่ทำสังคยานาพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรกในสยาม ซึ่งภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างมากมายให้ได้ชม โดยมีจุดเด่นที่กลายมาเป็นชื่อเรียกของวัด ก็คือ เจดีย์เจ็ดยอด ที่ตั้งอยู่ด้านใน มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์พุทธคยาที่อินเดีย มียอดเจดีย์อยู่ 7 ยอด และที่เจดีย์ยังมีลายปูนปั้นรูปเทวดายืนและนั่งขัดสมาธิประดับเรียงรายอยู่โดยรอบ มีทั้งแบบที่สมบูรณ์สวยงามและบางรูปก็พังบ้างไปตามกาลเวลา
นอกจากเจดีย์เจ็ดยอดที่เป็นจุดเด่นแล้ว ภายในวัดยังมี สถูปเจดีย์พระเจ้าติโลกราช ที่เป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระองค์ และมีพระวิหาร 700 ปี ที่ภายในมีพระเจ้า 700 ปี ที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งเชียงใหม่มีอายุครบ 700 ปี ให้ได้กราบสักการะขอพรตามใจปรารถนา “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ต้องบอกเลยว่าการได้มาตะลอนทัวร์ไหว้พระที่เชียงใหม่ในทริปนี้ช่างอิ่มบุญ และอิ่มสุขเสียจริงๆ แต่เราก็ไม่ได้คิดจะขอพรจากพระท่านแล้วรอให้สมหวังอย่างเดียวหรอกนะ เพราะเราก็ตั้งใจและตั้งมั่นที่จะทำความดี เป็นคนดีด้วยเช่นกัน เพื่อผลบุญจะได้หนุนนำให้ประสบพบเจอแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“วัดพระสิงห์” ตั้งอยู่ที่ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
“วัดเจดีย์หลวง” ตั้งอยู่ที่ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
“วัดเชียงมั่น” ตั้งอยู่ที่ ถนนราชภาคินัย ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
“วัดโลกโมฬี” ตั้งอยู่ที่ถนนมณีนพรัตน์ ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
“วัดเจ็ดยอด” ตั้งอยู่ที่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ (เชียงใหม่-ลำปาง) ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดการเที่ยววัดหรือสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ได้ที่ สำนักงาน ททท. ภาคเหนือ เขต 1โทรศัพท์. 0-5324-8604, 0-5324-8607,0-5330-2500
การเดินทาง ที่พัก