นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB)กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ SME วงเงิน 1 แสนล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาการปล่อยสินเชื่อที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจะร่วมกับกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทยจัดตั้งกองทุนเพื่อลดความเสี่ยงให้สถาบันการเงิน 10-30% ทำให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อรายใหม่ให้แก่ธุรกิจที่มีศักยภาพได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่าใช้แหล่งเงินจากค่าธรรมเนียมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) ที่ยังเหลืออยู่ หรือใช้ของปี 2569 ประมาณ 20,000 ล้านบาท เป็นกองทุนหรือกลไก โดยคาดว่าจะสรุปรายละเอียดภายในปี 2568 และเริ่มดำเนินการได้จริงในปี 2569 ว่า ถือเป็นมาตรการที่ดีในการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอีกทางที่อาจจะคล่องตัวกว่าบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ซึ่งก็ต้องดูในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
**ครบรอบ2ทศวรรษเครดิตบูโร**
พร้อมกันนั้น นายสุรพลร่วมได้บรรยายในหัวข้อ "2ทศวรรษข้อมูลเครดิต"ว่า จุดเริ่มต้นของเครดิต บูโรมาจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ตามหนังสือเจตจำนงในการเข้าโครงการเงินกู้ช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) โดยกำหนดให้ประเทศไทยต้องมีหน่วยงานในการจัดเก็บข้อมูลเครดิตบุคคล และหนี้การค้าซึ่งในส่วนนี้ยังไม่มีซึ่งหากสามารถดำเนินตั้งแต่ครั้งนั้นการปัญหาเรื่องข้อมูลหนี้ของคนค้าขายในปัจจุบัน
นอกจากนี้ จากแผนพัฒนาสถาบันการเงินระยะที่ 2(ปี2553-2557)ได้มีเรื่องของธนาคารไร้สาขา ,การให้เครดิตบูโรเก็บข้อมูลทางเลือก ,แผนพัฒนาฐานข้อมูล SME ,การจัดการข้อมูลในส่วนของสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งมีความคืบหน้าน้อยมากด้วยแนวทางปฏิบัติยังไม่ลงตัว ทำให้เครดิตบูโรยังไม่สามารถจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวได้ ทั้งที่บางส่วนอย่างการเก็บข้อมูลทางเลือก อาทิ การชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งถูกต่อต้านอย่างแรงในขณะนั้น เป็นส่วนที่ช่วยในการเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น และในปัจจุบันก็มีเสียงเรียกร้องให้มีการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวมากขึ้น และเครดิตบูโรก็กลับมาถูกตั้งคำถามถึงสาเหตุที่ยังไม่จัดเก็บข้อมูลดังกล่าว
ทั้งนี้ การดำเนินงานของเครดิต บูโรถูกประเมินโดยธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์)ผ่านคะแนนที่เรียกว่า Doing Business ซึ่งเครดิต บูโรได้ 7 คะแนนจาก 8 คะแนน โดยส่วน 1 คะแนนที่ยังไม่ได้คือ การจัดเก็บข้อมูลการชำระค่าสาธารณูปโภคเข้าในระบบ และในปี 69 จะมีการประเมินอีกครั้ง โดยในรอบนี้กำหนดให้มีการการจัดเก็บข้อมูลอีกหลายรายการที่เครดิตบูโรยังทำไม่ได้จัดเก็บ อาทิ Retailer and Merchants, Utility Companies, Court,Taxs, Rental Data, Internet & Mobile phone, E-commerce Platform ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องส่งต่อที่ผู้จัดการใหญ่คนใหม่ต่อไป
"ผมอยู่ที่เครดิตบูโรมา18ปี มีครั้งหนึ่งที่คณะกรรมการถามว่าเป็นอย่างไรบ้างมีคนทั่วไปรู้จักเครดิตบูโรมากขึ้นมั้ย ผมตอบว่าคนรู้จักมากขึ้น ..คนเกลียดเท่าเดิมหรืออาจจะมากขึ้นในอนาคต ด้วยภาระหน้าที่ๆเราทำ ซึ่งข้อมูลหนี้จะทำให้เราเห็นและระมัดระวังได้ อย่างช่วงที่น่ากล้วก็คือการเพิ่มขึ้นของหนี้อย่างคลื่นสึนามิ ซึ่งอยู่ในช่วงปลายปี 54 จากมหาอุทกภัย ถัดจากนั้นต้นปี 55 บัญชีหนี้เริ่มขึ้นจากการซ่อมแซม ตามมาด้วยโครงการรถยนต์คันแรก โครงการจำนำข้าว ตัวเลขบัญชีหนี้บุคคลสูงชันเป็นคลื่นสึนามิ อันนี้เป็นเรื่องน่ากลัวและไม่ควรเกิดขึ้นอีก"
ด้านดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB)กล่าวในงานสัมมนา“ข้อมูลเครดิต พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ” ว่า "ข้อมูลเครดิต"มีความสำคัญในการเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถพิจารณาและบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อได้อย่างรอบคอบ รวมถึงได้มีการพัฒนาต่อยอดเป็นฐานข้อมูลสถิติที่มีศักยภาพสำหรับการวิจัยและกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันในส่วนของประชาชเองก็จะได้รับประโยชน์ในข้อมูลของตนเองที่จะเป็นประโยชน์ในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจ-สร้างโอกาสใหม่ๆให้กับตนเอง
"ข้อมูลเครดิตเปรียบเสมือนกุญแจที่จะปลดล็อคไปสู่โอกาสต่างๆมากมาย อาทิ การต่อยอดธุรกิจ การบริหารจัดการทางเงินที่ดีขึ้นในชีวิต เป็นต้น ซึ่งงานสัมมนาครั้งนี้ มุ่งนำเสนอผลงานวิจัยจากหน่วยงานที่ได้นำข้อมูลสถิติของ NCB ไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจสังคม การบริหารความเสี่ยงของระบบสถาบันการเงิน และการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค อันแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและพลังของข้อมูลเครดิตจาก NCB ตลอดสองทศวรรษ ที่ผ่านมา รวมถึง อีกหนึ่งเวทีสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึง'พลังของข้อมูลเครดิต' ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงิน แต่คือกลไกสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ของประเทศไทยในทศวรรษหน้า"
**SCB EIC มองสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยรุนแรงขึ้น-คลี่คลายช้า**
นายปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวในงานสัมมนา “ข้อมูลเครดิต พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ” ในหัวข้อ “เข้าใจหนี้ครัวเรือนไทย ผ่านมุมมองเครดิตบูโร”ว่า จากข้อมูลเครดิตบูโรสะท้อนว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้น จากลูกหนี้ NPL กลุ่มใหญ่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงมาตรการช่วยแก้หนี้ ซึ่งทำให้หนี้ด้อยคุณภาพเร่งตัวเร็ว เพราะมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ไม่สามารถช่วยได้ทันต่อความรุนแรงของปัญหา ส่วน NPL ลูกหนี้รายย่อยมีการกระจุกตัว โดยส่วนใหญ่เป็นมูลหนี้ที่ไม่สูง ไม่มีมีหลักประกัน และขาดโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้
ทั้งนี้ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยล่าสุดจากเครดิตบูโรในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 86.8% ของ GDP ลดลง 0.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยประเภทหนี้ที่ยังมีการขยายตัว ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต ในขณะที่รายได้ครัวเรือน ช่วงครึ่งปีแรก มีความเปราะบางมากขึ้น เพราะยังมีความเสี่ยงในเรื่อง รายได้ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติจากปัจจัยทั้งภายในและต่างประเทศ
โดยในส่วนของการปรับโครงสร้างหนี้จากฐานข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่าความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้บุคคลที่เป็น NPL ยังไม่ทั่วถึง เพราะมีเพียง 1 ใน 4 ของลูกหนี้ NPL เท่านั้นที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และปัญหาหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายได้ช้า สะท้อนจากลูกหนี้บุคคลที่เป็น NPL ไม่สามารถชำระหนี้ได้สม่ำเสมอในช่วงครึ่งแรกปี 68 มีสัดส่วนสูงถึง 72% ขณะที่ลูกหนี้ NPL ที่สามารถปิดบัญชีได้แล้วมีสัดส่วนเพียง 1% เท่านั้น
และหากมองในมิติประเภทสินเชื่อ จะพบว่าการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) สามารถช่วยลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อการค้า ให้กลับมาจ่ายปกติได้มากที่สุด แต่มีประสิทธิผลน้อยในสินเชื่อเช่าซื้อ ส่วนหนึ่งมาจากผลโครงการ“คุณสู้ เราช่วย” ปีนี้ และหนี้NPLบุคคลที่มีหนี้หลายประเภทมีแนวโน้มได้รับการช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มากกว่าลูกหนี้ที่มีหนี้ประเภทเดียว
"หากมองไปในระยะปานกลาง SCB EIC ประเมินว่า 1 ใน 3 ของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ จะยังไม่สามารถหลุดพ้นจากปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย ซึ่งได้มีการประเมินระยะเวลาฟื้นตัวของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ ภายใน 5 ปีนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 32% คาดว่าจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ภายใน 5 ปี รองลงมา 27% คาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน 1-3 ปี ส่วนอีก 20% คาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน 1 ปี อีก 17% คาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน 3-5 ปี และอีก 14% ที่บอกว่าฟื้นตัวได้แล้ว ขณะที่ความช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้บุคคลที่เป็น NPL ยังไม่ทั่วถึง,สะท้อนจากจำนวน NPL ที่ปรับโครงสร้างหนี้และสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ปกติอย่างสม่ำเสมอ มีเพียง 15% ของ NPL ทั้งหมดที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้ และการช่วยเหลือส่วนใหญ่จะลงไปที่กลุ่มลูกหนี้เกษตรกร แต่กลุ่มอื่นลูกหนี้นอนแบงก์ยังน้อยและผลสำเร็จต่ำ"
**แนะแนวทางช่วยเหลือตรงกลุ่ม-ครบวงจร-ปรับพฤติกรรม**
นายปุณยวัจน์กล่าวอีกว่า การแก้ไขหนี้ให้กลับมาสู่สถานะปกติได้มากขึ้นนั้นสามารถทำได้หากมีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มแบบครบวงจร รวมถึงปรับให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม และสร้างแรงจูงใจให้มีการปรับพฤติกรรม ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบันถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้สำเร็จอย่างยั่งยืนซึ่งจะต้องทำควบคู่กันไปทั้งการปรับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ด้วยการ ประเมินความสามารถในการชำระหนี้จริง จำกัดภาระหนี้ต่อรายได้ ,สร้างแรงจูงใจให้สถาบันการเงิน “กันไม่ให้หนี้กลายเป็น NPL” และเปลี่ยนสินเชื่อนอกระบบเป็นในระบบ,ทำคลินิกหนี้แบบ One Stop รวมหนี้ มีที่ปรึกษา ,ควบคุมสินเชื่อดอกเบี้ยสูง และบังคับเปิดเผยต้นทุนที่แท้จริง ,เสริมรายได้ สวัสดิการ และทักษะอาชีพ และให้ความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคล โดยเริ่มต้นในระบบการศึกษา
รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยลดหนี้ ,การปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก, สร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ต่อเนื่อง, ให้รางวัลลูกหนี้มีวินัย ให้ปิดหนี้ไว และภาคธุรกิจ-นายจ้างมีสวัสดิการปรึกษาหนี้ (Employee Financial Wellbeing) เพื่อช่วยพนักงานก่อนจะเป็น NPL
และการเปลี่ยนพฤติกรรม โดยวางแผนการชำระหนี้อย่างมีระบบ ใช้กลยุทธ์ปิดหนี้ การปรับพฤติกรรมใช้จ่าย ตั้งเพดานภาระผ่อนหนี้ต่อรายได้ และเสริมแหล่งรายได้-กันชนการเงิน และสร้างเงินออมฉุกเฉิน


