xs
xsm
sm
md
lg

กกร.เบรกร่างกฎหมาย3ฉบับ-แนะประเมินผลรอบด้าน-ห่วงกระทบธุรกิจ-แรงงาน-ลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ 1) ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … 2) ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และ 3) ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร)
กล่าวว่า ตามที่ สภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรับหลักการ ร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ทั้ง 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 และอยู่ระหว่างเสนอสภาผู้แทนราษฎร 1 ฉบับ โดยมีการแก้ไขกฎหมาย อาทิ การกำหนดชั่วโมงการทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง การกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 2 วัน และการเพิ่มสิทธิวันลาพักผ่อนประจำปี , การปรับปรุงสิทธิการลาหยุดเนื่องจากมีประจำเดือน การลาเพื่อดูแลบุคคล ในครอบครัว การจัดสถานที่และเวลาสำหรับการให้นมบุตรหรือน้ำนมบีบเก็บในสถานประกอบการ และการกำหนดให้เพิ่ม
บทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะ เป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน และกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี นั้น

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร) ได้รับข้อร้องเรียนและความกังวลจากสมาชิกทั่วประเทศ ทั้งจากหอการค้าจังหวัดมากกว่า 70 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ สมาคมการค้ามากกว่า 90 สมาคม และ หอการค้าต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment RIA) อย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีหลายมาตราที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเพิ่มภาระต้นทุนการจ้างงานให้กับนายจ้างในภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปรับข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้เกิดการลดลงของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย

ดร.พจน์กล่าวอีกว่า โดยทั่วไปแล้วกฎหมายจะออกจากเจ้ากระทรวงนั้นๆ แต่กฎหมายนี้ออกโดยพรรคการเมืองโดยไม่ได้มองถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ซึ่งการออกกฎหมายโดยเจ้ากระทรวงจะมีการสอบถามความคิดเห็นจากหลากหายด้านรวมถึงสภาหอการค้า เนื่องจากแรงงานในประเทศมีหลายกลุ่มไม่ได้มีเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ยังมีภาคเกษตร ภาคบริการ กลุ่มแรงงานต่างด้าว ซึ่งหากมีการใช้กฎหมายใหม่ดังกล่าว จะสร้างปัญหาต่อเนื่องเป็นอย่างมากและกระทบในวงกว้าง อาทิ กรณีการกำหนดเวลาการทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง ส่งผลต่อรายได้ของแรงงานจากเดิมที่สัปดาห์ละ 48 ชั่วโมงซึ่งจะบวกค่าล่วงเวลา(OT) อีกสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงรวมเป็น 50 ชั่วโมง สร้างรายได้ 15,000-16,000 บาทต่อเดือน แต่หากหักตามจำนวนชั่วโมงกฎหมายใหม่และหักค่า OT แล้วจะเหลือเพียงประมาณ 12,000 บาท และทำให้เกิดภาวะรายได้ไม่เพียงพอ รวมถึงการก่อหนี้นอกระบบเพิ่มในสภาพที่หนี้ครัวเรือนสูงและมีความเปราะบางอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ส่งผลกระทบต่อสถานะของลูกหนี้มาก หรือกรณีกฎหมายการบังคับการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำและเต็มเวลาซึ่งอาจจะสามารถทำได้ยากในบางภาค อาทิ ภาคเกษตรที่มีฤดูกาลเพาะปลูก-เก็บเกี่ยวเพียงไม่กี่เดือนในแต่ละปี หากต้องจ้างประจำทั้งปีก็จะเพิ่มต้นทุนให้ผู้ประกอบการโดยใช่เหตุ และนำมาให้เกิดการใช้งานนอกระบบ-ขาดแคลนแรงงาน เป็นต้น

"พรบ.นี้เป็นพรบ.การเมืองไม่ใช่เน้นการดูแลลูกจ้างจริงจัง เพราะพรบ.เก่าดูแลอยู่แล้ว การเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศตะวันตก หรืออียู เป็นเรื่องสภาวะแวดล้อม คนละพื้นที่จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่หากเปรียบกับประเทศคู่เทียบแล้วเราอยู่ในสถานะที่เทียบกันได้ ทั้งนี้ กกร. สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากลหรือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนการกลไกแรงงานสัมพันธ์ภายในองค์กรในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสม โดย ขอย้ำให้เห็นว่า กระบวนการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก หรือกฎหมายมหาชน ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ ยังขาดข้อมูลที่เพียงพอและอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง "

ดังนั้น กกร. จึงขอคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ทั้ง 3 ฉบับ ที่ไม่สอดรับกับข้อกำหนดองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน และเห็นควรให้มีการทำประชาพิจารณ์ใหม่อย่างรอบด้านทั้งให้มีตัวแทน สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด องค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง (ไตรภาคี) ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นตัวกลางในการดำเนินการดังกล่าว และในลำดับต่อไปกกร.จะนำข้อเสนอแนะต่อกรรมาธิการ วุฒิสภา และเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้องด้วย

ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …นั้น นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงจุดยืนของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า เห็นด้วยในหลักการและบางมาตรการ แต่ควรปรับให้ชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกฎหมายเดิม ซึ่งอาจสร้างความซ้ำซ้อนด้านอำนาจหน้าที่ และเพิ่มต้นทุนต่อภาคธุรกิจโดยไม่จำเป็น

ดังนั้น กกร. จึงขอเสนอประเด็นสำคัญที่ควรทบทวน เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง ดังนี้
1. โครงสร้างคณะกรรมการและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน กกร. เพื่อสะท้อนข้อมูลจากภาคการผลิต บริการ การเงิน และภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งช่วยให้การกำหนดนโยบายมีความสมดุล รอบด้าน และนำไปสู่มาตรการที่สามารถปฏิบัติได้จริง

2. เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ กกร. เห็นว่าในร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ.... อาจทับซ้อนกับกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิ เชื้อเพลิงส่งเงินส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1-5 บาท/ลิตร ภาษีสรรพสามิต 5-6 บาท/ลิตร และส่งผลต่อต้นทุนทุกภาคส่วน การแก้ปัญหามลพิษ จึงควรมุ่งเน้นมาตรการสนับสนุนและจูงใจทางภาษีหรือการเงินในการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่ลดมลพิษ เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนปรับตัว แทนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาดตั้งแต่หน่วยแรกที่ปล่อย หรือออกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ทันที

3. การจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด กองทุนมีวัตถุประสงค์ครอบคลุมถึง 17 ข้อ แต่ยังไม่มีลำดับความสำคัญหรือสัดส่วนการใช้เงินอย่างชัดเจนในการแก้ปัญหามลพิษ และไม่ได้ผ่านขั้นตอนพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามที่ควรจะเป็น จึงมีความกังวลว่าอาจไม่สามารถจัดตั้งกองทุนได้จริงในทางปฏิบัติ

4. อัตราโทษและบทกำหนดโทษ กกร. สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อผู้ฝ่าฝืน แต่ร่างกฎหมายฯ ฉบับนี้มีการกำหนดอัตราโทษสูงกว่าฉบับอื่น ๆ ที่สภาผู้แทนราษฎรเคยรับหลักการทั้งโทษแพ่งและโทษอาญา อาทิ การกำหนดโทษทางอาญา แม้ว่าจะเกิดจากความประมาท จำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานอากาศสะอาดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินร้อยล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน โดยเฉพาะในกรณีการกระทำโดยประมาท ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่ให้กำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง กกร. จึงเสนอให้ทบทวนระดับโทษให้สมดุลกับมาตรฐานสากล และควรมีระยะเวลาการปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้จริง

"กกร.ย้ำว่าเราตระหนักถึงความสำคัญของสภาพแวดล้อมไม่เฉพาะเรื่องอากาศ น้ำ และอื่นๆ ก็ให้ความสำคัญ เห็นว่าการมีกฎหมายเพื่ออากาศสะอาดเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องยึดหลัก ไม่ซ้ำซ้อน ไม่เพิ่มภาระและสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงอันดับ Doing Business ของไทยที่เป็นชี้วัดเรื่องการลงทุนของเราด้วย"

ดังนั้น กกร. เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องจัดทำการประเมินผลกระทบของกฎหมาย (RIA) ตามมาตรฐานสากล ที่สามารถวัดผลได้ สำหรับกฎหมายที่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยหน่วยงานกลางที่มีความเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ
กำลังโหลดความคิดเห็น