xs
xsm
sm
md
lg

“พิพัฒน์”เร่งแก้ปัญหาบุคลากร รฟท.ชงครม.ปลดล็อกมติปี41 สหภาพฯปรับกรอบรับ 2,850 อัตราลดโอทีปีละพันล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พิพัฒน์” เดินหน้าแก้ปัญหาบุคลากร รฟท.พร้อมชง ครม.ปลดล็อกมติปี 41 ด้านสหภาพฯรฟท.แจงพนักงานทำงานหนัก กระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพของงาน พร้อมปรับกรอบ 5 ปี รับ 2,850 คนจากเดิม 3,038 คน เน้นใช้เทคโนโลยีเสริม ลดค่าโอทีปีละกว่า 1 พันล้าน

วันนี้ (3 พ.ย.2568) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) นำโดยนายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯรฟท.เข้าพบ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อยื่นหนังสือติดตามการแก้ไขปัญหาขาดแคลนอัตราพนักงานซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งด้านความปลอดภัยในการเดินรถ เช่น พนักงานขับรถจักร ช่างเครื่อง พนักงานควบคุมการเดินรถ และเจ้าหน้าที่รักษารถ ที่ปัจจุบันต้องทำงานหนักต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด และปฏิบัติงานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่องและข้อเสนอเร่งด่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากข้อมูลพบว่า เดิมรถไฟ เคยมีพนักงานจำนวน 24,000 คน ปัจจุบัน ลดเหลือเหลือ 8,000 คน หรือลดไปถึง 60% ทำให้เกิดปัญหา พนักงานไม่เพียงพอกับการทำงาน โดยข้อเสนอจาก สหภาพฯรฟท. ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่กำหนดให้ รฟท. สามารถรับพนักงานเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 5 จากจำนวนผู้เกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงพอกับภารกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 เปิดให้บริการแล้ว และทางคู่ระยะที่ 2 รวมถึงทางคู่สายใหม่ จะทยอยเปิดใช้งานในช่วงปี 2572

ซึ่งตนได้มอบให้ รฟท. และสหภาพฯรฟท.ร่วมกันจัดทำแผนอัตรากำลังให้เหมาะสมกับภารกิจ พร้อมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อน และควบคุมให้การทำงานเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร เพื่อเร่งนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป


สำหรับข้อกังวลที่เห็นว่า หากรฟท.รับพนักงานเพิ่ม จะเป็นการเพิ่มต้นทุน ค่าใช้จ่ายพนักงานนั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า จากการดูตัวเลขแล้ว การเพิ่มพนักงาน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายล่วงเวลา หรือการทำงานในวันหยุด (โอที)​ ลงได้อย่างมาก มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันรฟท.มีค่าใช้จ่ายด้านโอทีจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปจ้างพนักงานได้ ไม่ได้กระทบค่าใช้จ่ายของรฟท. แต่อย่างใด อีกทั้งพนักงานไม่ต้องตรากตรำทำงานล่วงเวลา จนไม่มีวันหยุดพักผ่อน การเพิ่มพนักงานเข้ามา จะมีผลต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“เรื่องรถไฟขาดแคลนพนักงาน ต้องดูว่าจะคิดในแง่ของธุรกิจหรือราชการ เพราะในมุมธุรกิจ การทำงานจ้างงานแล้วตัวเลขต้นทุนมีความสมดุลอธิบายได้ เทียบกับการทำงานที่จะมีประสิทธิภาพ พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็ทำได้เลย แต่หากเป็นมุมราชการก็ดูแต่ระเบียบมาก เรื่องนี้ ซึ่งทางรฟท.แจ้งว่าได้ทำเรื่องเสนอกระทรวงคมนาคมแล้ว พร้อมช่วยเดินหน้าต่อ”นายพิพัฒน์กล่าว

นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำให้ รฟท. พิจารณานำค่าล่วงเวลาของพนักงานไปใช้ในการจ้างบุคคลภายนอกเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระงาน และให้บรรจุนักเรียนที่จบจากโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟเข้าทำงานครบทุกปีการศึกษา เพื่อเสริมกำลังคนรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของทรัพยากร เช่น รถจักร รถพ่วง และตู้โดยสาร ได้สั่งการให้ รฟท. เร่งจัดทำแผนบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องมองเห็นแนวทางที่ทำให้กิจการ “มีกำไรและไม่ขาดทุน” พร้อมยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมสนับสนุนการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น โดยไม่ให้กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศนอกจากนี้ ยังได้เน้นให้ รฟท. พิจารณาราคาเช่าทรัพย์สินให้สอดคล้องกับราคาตลาดและแนวโน้มในอนาคต เพื่อเพิ่มรายได้และนำกลับมาพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

“เราต้องทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ทั้งในด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ เพื่อให้พนักงานมีขวัญกำลังใจ และให้กิจการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาการกู้เงินจากรัฐอีกต่อไป”นายพิพัฒน์ กล่าว


@ปรับกรอบ 5 ปี รับพนักงาน 2,850 คนจากเดิม 3,038 คน เน้นใช้เทคโนโลยีเสริม

นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯรฟท.กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ ในแต่ละปี ทำให้ปัจจุบันมีพนักงานจำนวน 8,325 คน มีลูกจ้างจำนวน 3,687 คน โดยก่อนหน้านี้ ได้เสนอขอเพิ่มอัตรากำลัง 3,038 คน ภายใต้กรอบระยะ 5 ปี (256-2572) แต่กระทรวงฯมีความเห็นให้ปรับปรุงส่วนงานที่สามารถใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อน

จึงมีการปรับปรุงตัวเลขใหม่ เหลือ 2,850 คน โดยปีแรก จำนวน 1,260 คน ปีที่2 จำนวน465 คน ปีที่ 3 จำนวน 341 คน ปีที่ 4 จำนวน 419 คน ปีที่ 5 จำนวน 365 คน โดยรฟท.มีมาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากร เปรียบเทียบกรณีไม่มีการรับพนักงานเพิ่ม จะมีค่าใช้จ่ายล่วงเวลา เฉลี่ยปีละ 1,153 ล้านบาท

กรณีรับพนักงานเพิ่มตามกรอบอัตราที่เสนอ จะควบคุม ค่าล่วงเวลาลดลงเหลือ 115 ล้านบาท หรือ ประมาณ 10% เท่ากับมีส่วนต่างค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ 1,038 ล้านบาท ที่สามารถนำมาชดเชยค่าจ้างพนักงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเมินว่าปีที่1 จำนวน 237 ล้านบาท ปีที่ 2 จำนวน 410 ล้านบาท ปีที่ 3 จำนวน 536 ล้านบาท และปีที่4 จำนวน 666 ล้านบาท เท่านั้น




กำลังโหลดความคิดเห็น