ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีพ.ศ.2568 อาจจะไม่ดีนัก โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ณ ไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.1 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาส 4 พ.ศ.2567 โดยมีแรงสนับสนุนมาจากการเร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอัตราภาษีจะจบที่เท่าไหร่ และช่วงเวลานั้นมีข่าวว่าอัตราภาษีสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาจะมากกว่าที่ผ่านมา
สำหรับแรงขับเคลื่อนในประเทศค่อนข้างต่ำ เพราะการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวต่อ เนื่องจากปีพ.ศ.2567 รวมไปถึงการใช้จ่ายเงินของคนไทยด้วยที่ลดลงเพราะไม่อยากใช้เงินมากเกินไปในช่วงที่ยังไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังดีที่โครงการของรัฐบาลต่างๆ ยังเดินหน้าต่อเนื่อง ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวแม้ว่าจะค่อนข้างชะลอตัวโดยเฉพาะในส่วนของนักท่องเที่ยวจีน แต่ว่านักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นทั้งจากเอเชีย และยุโรป จำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยถึงวันที่ 7 กันยายนมีจำนวน 22,387,817 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 7.11 % แม้ว่านักท่องเที่ยวจากประเทศจีนจะลดลงไปประมาณ35%ก็ตาม
โดยการเข้ามาของชาวต่างชาติจำนวนเท่านี้สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยแล้วประมาณ 1,037,239 ล้านบาทอาจจะยังไม่ได้ตามเป้าแต่ก็ดีกว่าในช่วงที่คนจีนมาประเทศไทยลดลง แต่อย่างไรก็ตาม คนจีนยังเข้ามาประเทศไทยมากเป็นอันดับที่ 1 ด้วยจำนวนรวม 3,163,562 คน และมีมาเลเซียตามมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยจำนวน 3,135,600 คน
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาคุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยณ สิ้นปีพ.ศ.2568 อาจจยังไม่แตกต่างจากต้นปีและดูเหมือนจะแย่ลงด้วยซ้ำจากปัจจัยลบต่าง ๆทั้งในเรื่องของการเมืองตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลความขัดแย้งกับกัมพูชาที่มีผลต่อการส่งออกสินค้าไปประเทศกัมพูชาโดยตรงรวมไปถึงการท่องเที่ยวในภาพรวมที่อาจจะมีชาวต่างชาติบางส่วนไม่มาประเทศไทยเพราะเกรงเรื่องของการสู้รบที่ชายแดนรวมไปถึงการที่คนไทยไม่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาลส่งผลให้การใช้จ่ายเงินลดลงประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวอาจจะต้องรอดูต่อเนื่องถึงช่วงสิ้นปี แต่เป็นไปได้ที่จำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะยังไม่กลับไปเทียบเท่าช่วงปีพ.ศ.2562ที่เกือบ 40 ล้านคน
ดังนั้นปัจจัยลบต่างๆที่กดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้นคงมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและส่งผลใGDP รวมทั้งปีอาจจะอยู่ที่ประมาณ1.8% เท่านั้นแม้ว่าเรื่องของอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาจะลดลงมาเหลือเพียง 19%จากที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้ที่ 36% ก็ตามแต่ปัจจัยลบหลายอย่างยังมีอยู่และมีแนวโน้มที่ อาจจะมากขึ้นยกเว้นสถนการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ไม่มีการสู้รบทางทหารแล้วแต่ยังมีการเผชิญหน้าของทั้งประชาชนและทหารอยู่บ่อยครั้ง
ปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจคือ เรื่องของหนี้ครัวเรือนของคนไทยที่สูงมากโดยอยู่ที่ประมาณ 87.4% ของGDPในไตรมาสแรกปีพ.ศ.2568 อาจจะยังสูงแต่เป็นการลดลงมาต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 แล้วซึ่งการที่อัตราของหนี้ครัวเรือนของคนไทยยังสูงขนาดนี้กดดันเรื่องของรายจ่ายและมีผลให้คนไทยที่เป็นหนี้อยู่แล้วอาจจะไม่อยากใช้เงินโดยเฉพาะเรื่องของการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ที่รวมไปถึงรถยนต์และที่อยู่อาศัยด้วย
แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะลดดอกเบี้ยลงมาอีก 0.25% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งที่ 3 ในปีนี้แล้วส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% รวมไปถึงรัฐบาลยังกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยด้วยการลดค่ารรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองและการยกเว้นมาตรการLTV เป็นการชั่วคราวก็ตามก็ยังไม่สามารถกระตุ้นกำลังซื้อได้มากแบบที่คาดการณ์แต่คงต้องดูถึงสิ้นปี 2568ในเรื่องนี้
ตลาดที่อยู่อาศัยอาจจะยังไม่ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้เพราะกำลังซื้อคนไทยที่ลดลงต่อเนื่องทั้งจากการไม่อยากสร้างภาระหนี้สินของตนเองและจากการที่ไม่สามารถขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้เนื่องจากปัญหาเรื่องของหนี้ครัวเรือนหรือหนี้สินอื่นๆ ที่เป็นภาระมาก่อนหน้านี้ส่งผลโดยตรงต่อการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของคนไทยเครื่องจักรสำคัญที่เกี่ยวข้องการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวแบบนี้
ประกอบกับการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวตามการลดลงของคนจีนและความผันผวนในเรื่องของการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศที่อาจจะยังมีปัญหาในบางภูมิภาคหรือบางสินค้าที่โดนประเทศเพื่อนบ้านแย่งตลาดสำคัญไปก่อนหน้านี้ เรื่องต่างๆ เหล่านี้กดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจแน่นอน และมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจใช้เงินของคนไทยเมื่อมีการเผยแพร่ออกมาเป็นข่าวสารว่าเศรษฐกิจไม่ดีการจ้างงานที่ลดลง หรือความไม่มั่นคงของมนุษย์เงินเดือนการปิดโรงงานหรือกิจการด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนั้น
ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีคงไม่ดีขึ้นกว่าช่วงต้นปีมากนัก ต้องอาศัยการกระตุ้นของผู้ประกอบการด้วยที่อาจจะออกมาตรการทางการตลาดต่างๆทั้งการลดราคา หรือโปรโมชั่นต่างๆ
ปัจจัยลบอีกอย่างที่อาจจะดูเหมือนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แปลกประหลาด เพราะปีพ.ศ.2568 เป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ดี การขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงชัดเจน รวมไปถึงการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ที่มีการปรับลดลงมา 3 ครั้งจนเหลือ1.5% การชะลอการลงทุนจากต่างชาติเพื่อรอดูความชัดเจนของอัตราภาษีของสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล และความขัดแย้งกับกัมพูชา เรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยลบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ แต่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นทั้งๆ ที่ควรจะลดลงหรืออ่อนค่ากว่าปัจจุบัน โดยตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วประมาณ 7% จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 34.3667 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐเมื่อวันที่ 2 มกราคม ลดลงมาเหลือ 31.807 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการแข็งของค่าเงินบาทอาจจะมาจากการที่ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่าลงด้วยเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างชาติอื่นๆ ที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวค่อนข้างดี เช่น หยวน ปอนด์อังกฤษ และยูโร เป็นต้น
การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อคนที่ทำธุรกิจส่งออก คนทำงานต่างประเทศ คนที่ทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยว เพราะรับเงินจากต่างประเทศหรือนำเงินที่ได้จากชาวต่างชาติแล้วนำมาแลกเป็นเงินบาทได้ลดลงโดยเฉพาะถ้ารับเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่าการแข็งค่าของเงินบาทสร้างผลกระทบให้กับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องแน่นอน แต่การแข็งค่าของเงินบาทก็มีผลดีเช่นกัน เพราะผู่ที่นำเข้า นักลงทุนที่ต้องการซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ ผู้ที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศ รวมไปถึงคนทั่วไปที่อาจจะซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศที่ต้องจ่ายเงินเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา คนกลุ่มนี้ได้ประโยชน์ค่อนข้าวมากจากการแข็งค่าของเงินบาทแต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาเงินจากต่างประเทศทั้งจากการท่องเที่ยว ส่งออก และการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาอาจจะไม่ดีนัก และอาจทำให้การเข้ามาของเงินทุนต่างประเทศลดลงเล็กน้อยหรือรอดูท่าทีก่อน
การมีรัฐบาลใหม่ในช่วงที่ประเทศต้องการการขับเคลื่อนจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศแบบนี้ แน่นอนว่าต้องดูเรื่องของนโยบายรวมไปถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและทิศทางของรัฐบาลต่อไป เนื่องจากหลายๆ อย่างคงไม่เหมือนเดิม หรือไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ การแก้ไขเรื่องของค่าเงินบาท ก็ต้องเป็นการดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องเข้าไปแทรกแซงรัฐบาลคงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ซึ่งประเทศไทยอย่างไรก็ตามยังคงเหมาะกับค่าเงินบาทที่ไม่แข็งค่าเกินไป อาจจะอยู่ในช่วงเดียวกับตอนต้นปีมากกว่าตอนนี้ อาจจะต้องดูเรื่องของการเข้ามาของเงินทุนต่างประเทศที่อาจจะมีการไหลเข้ามามากขึ้นรวมไปถึงการส่งออกสินค้าบางอย่างที่มากขึ้นผิดปกติในช่วงนี้ เช่น การส่งออกทองคำไปกัมพูชามูลค่ากว่า 6
หมื่นล้านบาทซึ่งมีผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
แต่ก็มีบางปัจจัยที่คงไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้ เช่น การที่ประเทศเพื่อนบ้านใช้เงินบาทในการซื้อขายสินค้าในประเทศแทนการใช้เงินของประเทศตนเองก็มีส่วนให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นเพราะความต้องในตลาดมีมาก การที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นก็มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท เพราะประเทศไทยมีทุนสำรองที่เป็นทองคำเยอะมากเช่นกัน และมีนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนหรือซื้อทองคำในประเทศไทยมากขึ้น และดูแล้วทิศทางของค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง
แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยคงต้องมีมาตรการชะลอความร้อนแรงเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปและไม่ให้กระทบกับการส่งออก การท่องเที่ยว และการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศซึ่งเป็น 3 เครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมไปถึงการเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติในประเทศไทยด้วยที่อาจจะเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจหรือขอชะลอการโอนกรรมสิทธิ์หรือการจ่ายเงินออกไปก่อนเพื่อรอค่าเงินให้อ่อนค่าลงมา เพราะเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินหยวนจีนก็แข็งค่าขึ้นมาเช่นกัน