xs
xsm
sm
md
lg

“ผู้ว่าฯธปท.”ห่วง'เสถียรภาพการคลัง แนะรัฐแก้ปัญหาโครงสร้างมากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้ว่าธปท.ห่วงเสถียรภาพการคลัง’ ไม่แข็งแรงเหมือนก่อน แนะ ‘รัฐบาลใหม่’ กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องไม่กระทบเสถียรภาพ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มรายย่อย เพื่อช่วยในการปรับตัวและภาคเอกชน เน้นสร้างแรงจูงใจให้เอกชนปรับตัวและเพื่อผลิตภาพระยะยาว

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาตามเงื่อนไขการยุบสภาฯ ใน 4 เดือน การดำเนินนโยบายการคลังไม่ว่าจะในระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ต้องสอดคล้องกับเสถียรภาพการคลังในระยะปานกลางและยาว เพื่อรักษาฐานะทางการคลังด้วย ที่ผ่านมารัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาสารพัด แต่มาตรการในลักษณะกระตุ้นช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งทำให้ประชาชนเสพติดมาตราการช่วยเหลือ สิ่งที่ควรทำการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพราะเป็นเรื่องที่จะเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นเพราะจะทำให้คนรู้ว่ารัฐบาลใส่ใจเรื่องระยะยาวด้วย

“การทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจคือทำให้เกิดความเคยชินกับนโยบาย เห็นได้จากที่ผ่านมามีแม้วิกฤตจบแล้วแต่มาตรการก็ยังคงอยู่ เช่น ปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้งไทยได้ลดภาษี VAT ชั่วคราวจาก 10% เหลือ 7% โดยระบุว่าจะทำเพียง 2 ปี แต่ขณะนี้ปี 2568 มาตรการนี้ก็ยังอยู่”

สำหรับมาตรการคนละครึ่ง สามารถดำเนินการได้แต่ต้องคำนึงถึงเสถียรภาพการคลัง โดยการทำมาตรการขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบที่จะดำเนินการซึ่งหากเป็นมาตรการขนาดใหญ่ ใช้เงินมาก รัฐบาลก็ต้องมีวิธีให้ตลาด สาธารณชน บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเครดิตประเทศ และทำให้เห็นว่าภาพการคลังระยะปานกลางของไทยยังดีอยู่ต่อเนื่อง เช่น ต้องมีแผนการหารายได้ที่ชัดเจน เช่น การจัดเก็บภาษี (VAT)

ประเทศไทยควรทำเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ได้แก่
1.ภาครัฐ โดยปัจจุบันเสถียรภาพการคลังของไทยไม่ได้แข็งแรงเท่าในอดีต โดยรายได้รัฐบาลโตไม่ทันรายจ่ายที่เร่งขึ้น หากดูข้อมูลจากปีงบประมาณ 2562-2567 พบว่ารายได้รัฐบาลเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7% ขณะที่รายจ่ายรัฐบาลเติบโตเฉลี่ย 4% ต่อปี ซึ่งหากประเทศไทยไม่เร่งฟื้นฟูฐานะการคลังเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลเสีย (Downside risk) ต่อเศรษฐกิจ อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับเรตติ้ง(Credit Rating) ของประเทศได้

2.ภาคการเงิน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มรายย่อย เพื่อช่วยในการปรับตัว เช่น สนับสนุนกลไกค้ำประกันเครดิตให้ยืดหยุ่นขึ้นโดยอาจปรับกลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้มีประสิทธิภาพมากกขึ้น รวมถึงผลักดันกลไกกำหนดดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (risk based pricing) และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินโดยยกระดับมาตรการจัดการภัยการเงินควบคู่กับสนับสนุนนวัตกรรมที่รับผิดชอบ

3.ภาคเอกชน เน้นสร้างแรงจูงใจให้เอกชนปรับตัวและเพื่อผลิตภาพระยะยาว เพื่อลดอุปสรรคในการทำงานดำเนินธุรกิจความสำคัญของนโยบายต่างๆ คือการนำไปปฏิบัติจริง โดยในช่วง 5 ปีที่อยู่ในตำแหน่งผู้ว่าธปท. เจอนายกรัฐมนตรี 4 ท่านทำให้ความต่อเนื่องในนโยบายหายไป ดังนั้นตอนนี้ได้มีการออกแนวทางดำเนินการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน หรือ Reinvent Thailand ไว้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบาย เป็นเหมือนหางเสือที่เอาไว้นำทางไม่ว่าใครจะเข้ามาหลังจากนี้ก็ดำเนินการต่อได้


กำลังโหลดความคิดเห็น