xs
xsm
sm
md
lg

บิทคอยน์พุ่งแรง? นักวิชาการชี้ Sovereign Wealth Funds อาจซุ่มสะสม ‘ผูกขาด’ แบบมาสเตอร์การ์ด-วีซ่า”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คริสเตียน คาตาลินี ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ Diem และหัวหน้ากลยุทธ์ Lightspark วิเคราะห์ผ่าน Harvard Business Review ว่าโลกการเงินกำลังเปลี่ยนสู่ยุค “Money-as-Software” โดยบิทคอยน์อาจกลายเป็นโครงสร้างกลางของระบบการชำระเงินโลก พร้อมชี้หากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds) และบริษัทยักษ์ใหญ่ทยอยสะสม อาจดันราคาขึ้นแรงจนเกิดผลตอบแทน “เกินจริงแบบผูกขาด” แต่ก็เตือนว่าหากมีกติกาใหม่หรือเทคโนโลยีที่ดีกว่าเข้ามา แรงส่งดังกล่าวอาจหายวับในพริบตา

Money-as-Software - บิทคอยน์คือท่อน้ำกลางการเงินโลก

คาตาลินีระบุว่าโลกการเงินกำลังขยับจากระบบเก่าไปสู่แนวคิด “เงินคือซอฟต์แวร์” โดยเครือข่ายบิทคอยน์จะเป็นเหมือนท่อน้ำกลางที่ทุกธุรกรรมต้องผ่าน ขณะที่โทเคน BTC จะทำหน้าที่เสมือน “มิเตอร์วัดค่า” หากสถานการณ์บวกเดินหน้าเต็มที่ บิตคอยน์จะได้เปรียบมหาศาลจากเครือข่ายสะสมทุนเงียบ ๆ ของ Sovereign Wealth Funds และบริษัทระดับโลก

เขาเปรียบเทียบว่า หากบิทคอยน์กลายเป็น “ทางด่วนการเงิน” ก็จะเก็บค่าผ่านทางแบบมีอำนาจผูกขาด ส่งผลให้เกิดกำไรเกินจริงในระดับ “Monopoly-ish Margins” อย่างไม่ต่างจากการผูกขาดทางธุรกิจในอดีต

เหรียญสองด้านที่มีทั้ง "Bull vs Bear Case"

คาตาลินีชี้ว่า หากบิทคอยน์ชนะเกม เครือข่ายจะเดินหน้าแบบทวีคูณ (many-multiples story) และกลายเป็นระบบโครงสร้างกลางการเงินโลก แต่หากแพ้เพราะซอฟต์แวร์ที่ดีกว่า หรือกติกาเกมถูกเปลี่ยนกลางทางบิทคอยน์ก็เสี่ยงถอยหลัง เครือข่ายสูญเสียความน่าเชื่อถือ และโทเคน BTC จะไม่ต่างจากหุ้นในแพลตฟอร์มที่หมดความต้องการตลาด

เขาเตือนว่า CEO และ CFO ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อบิทคอยน์ แต่ต้อง “จัดสรรพอร์ต” ให้เหมาะสม เพราะถ้าบิตคอยน์กลายเป็นระบบปฏิบัติการการเงินจริง คุณต้องถือพอที่จะมีความหมาย แต่ถ้าไม่ใช่ อย่างน้อยบริษัทยังปลอดภัยจากความเสี่ยงการล้มละลาย

จาก Store of Value สู่ระบบชำระเงิน - Winner Takes Most

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ยังมองว่าบิทคอยน์อาจเดินหน้าไปไกลกว่าแค่ “ทองคำดิจิทัล” และพัฒนาเป็นโครงสร้างกลางที่รองรับบริการทางการเงินหลากหลาย หากเครือข่ายขยายตัวสำเร็จ บิทคอยน์อาจเข้าสู่สถานการณ์ “ผู้ชนะกินส่วนใหญ่” คล้ายการผูกขาดสองยักษ์ใหญ่ Mastercard และ Visa

เขาเสริมว่า การถือบิทคอยน์ไม่เหมือนถือหุ้นเพราะไม่มีสิทธิ์ควบคุมหรือรับปันผล แต่ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาโทเคนโดยตรง ซึ่งอาจสร้างผลประโยชน์มหาศาลหากเครือข่ายเดินหน้าไปในทิศทางบวก

เส้นทางบิทคอยน์ยังเสี่ยงเดิมพันสูง

ทั้งนี้จากวิเคราะห์เชิงลึกจากคาตาลินีชี้ว่า บิทคอยน์กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ระหว่างการก้าวสู่ระบบการเงินโลกแบบ “โครงสร้างกลาง” ที่สร้างผลตอบแทนผูกขาดมหาศาล หรือการถูกแทนที่โดยเทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่า ขณะที่ภาคธุรกิจและนักลงทุนต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าจะถือ BTC ในสัดส่วนใดเพื่อให้สมดุลระหว่างโอกาสและความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม บิทคอยน์จึงยังเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของโลกการเงินยุคใหม่ ที่อาจพลิกทั้งเศรษฐกิจและภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการเงินในทศวรรษข้างหน้า