xs
xsm
sm
md
lg

PCEเปิดโรงสกัดเฟส 2 เดือน ก.ย.นี้-หนุนรายได้ปี 68 ทะลุ 3 หมื่นล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์





เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ เปิดแผนและยุทธศาสตร์ครึ่งหลังปี 68 เปิดโรงสกัดปาล์มเฟส 2 ในเดือน ก.ย.นี้ ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเท่าตัว แตะ 3,600 ตัน/วัน ก่อนขยายเฟส 3 เพิ่มอีก 1,440 ตัน/วัน กลางปี 69 รับดีมานด์ส่งออก-อากาศเอื้อ หนุนผลผลิต ฟากผู้บริหาร "พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล"ระบุมั่นใจรายได้ปีนี้ทะลุ 3 หมื่นล้านบาท All Time High ตามนัด พร้อมสยายปีกลงทุนร่วมกับพันธมิตร เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ดันผลงานเติบโตยั่งยืนและมีเสถียรภาพ


นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2568 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากผลผลิตปาล์มที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย โอกาสในการขยายตลาดส่งออก รวมทั้ง บริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตโรงสกัดน้ำมันปาล์มที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังคงรักษาสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างที่เอื้อต่อการเติบโต โดยอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะถัดไป


สำหรับโรงสกัดน้ำมันปาล์มเฟส 2 มูลค่าลงทุน 180 ล้านบาท มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินงานได้ภายในเดือนกันยายน 2568 นี้ โดยโรงงานใหม่มีกำลังการผลิตประมาณ 1,800 ตันต่อวัน เมื่อรวมกับกำลังการผลิตโรงงานเดิมอยู่ที่ 1,800 ตันต่อวัน จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 3,600 ตันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัว และมีแผนขยายเฟส 3 เพิ่มเติมในกลางปี 2569 เพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 1,440 ตันต่อวัน เมื่อครบ 3 เฟสแล้ว สามารถรองรับผลผลิตได้ประมาณ 5,040 ตันต่อวัน เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่มีการเติบโตต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่งผลดีต่อ Economy of Scale หรือการเพิ่มความสามารถในการควบคุมต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ


PCE ใช้ความแข็งแกร่งจากโครงสร้างธุรกิจครบวงวงจรขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มโลกเติบโต พร้อมกับภาวะตลาดที่เอื้ออำนวยในไตรมาส 2/2568 ประกอบกับผลผลิตภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ อันเป็นผลมาจากสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากคู่ค้า ซึ่งสนับสนุนให้รายได้รวมของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่น โดยกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้หลักรวม 11,173.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.7% จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 105.5% จากไตรมาส 1/2568 ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ลงกว่าระดับเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยตลาดต่างประเทศมีความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายหลังจากภาวะการหดตัวของอุปทานปาล์มในตลาดโลก


นอกจากนี้ ราคาขายของไทยในปัจจุบันมีความสามารถในการแข่งขันสูง อีกทั้งประเทศไทยยังได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม "ประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ" ตามเกณฑ์ของระเบียบ EUDR ของสหภาพยุโรป จึงช่วยส่งผลให้ ในไตรมาส 2/2568 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่จำนวน 133.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.4% จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 381.1%จากไตรมาส1/2568 และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 1.2%


ทั้งนี้ บริษัทฯยังคงมองหาโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ ผ่านการขยายการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ และกระจายความเสี่ยงธุรกิจ สนับสนุนแนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น


ขณะเดียวกันในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2568 เป็นปีแรกในอันดับที่ 327 จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune เพื่อคัดเลือก 500 บริษัทที่มีรายได้สูงสุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้ในปี 2567 สะท้อนถึงศักยภาพทางการเงินและการยกระดับภาพลักษณ์ของบริษัทฯ สู่เวทีในระดับภูมิภาคและระดับโลก


การติดอันดับ Fortune ครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของผลประกอบการและความทุ่มเทของทีมงาน ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ควบคู่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน พร้อมตอกย้ำบทบาทสำคัญของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค


กำลังโหลดความคิดเห็น