xs
xsm
sm
md
lg

CREDITปีนี้ปรับอัตราการเติบโตไม่เกิน15%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารไทยเครดิต ปรับการเติบโตระดับ 10-15% จากผ่านมาอยู่ที่ระดับ 20-25% เหตุภาวะเศรษฐกิจผันผวน เผยผลงานครึ่งปีแรกเติบโตสวนภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแบงก์ที่ชะลอตัว ครึ่งปีหลังเดินหน้าปล่อยกู้เน้นลูกค้ากลุ่มไมโครเอสเอ็มอีและแม่ค้าต่อเนื่องพร้อมเดินหน้าหาลูกค้าใหม่ลดเสี่ยง ยังคงคุมคุณภาพสินเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสียเพิ่ม คาดครึ่งปีหลังต้นทุนทางการเงินลดลง ยอมรับเป็นหุ้นน้องใหม่ต้องเข้าหาลูกค้าและทำให้นักลงทุนรู้จ้กหุ้น CREDIT พร้อมกับด้วยสร้างผลงานให้โตต่อเนื่อง

นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT เผยว่าปีนี้แบงก์ยังคงเน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง เพื่อลดความเสี่ยงและเป็นการคุมคุณภาพสินเชื่อของไปในตัว ตามนโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงิน โดยยังคงมุ่งเน้นลูกค้า Micro SME และจากการควบคุณการปล่อยสินเชื่อทำให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องและการนำดิจิทัลเข้ามารองรับการขยายธุรกิจ จะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่จะเข้าหาลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ได้ง่ายขึ้นแม้ว่าระยะเริ่มแรกจะส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานต่ระยะยาวจะเป็นผลดีต่อการดำเนินงานของแบงก์

ทั้งนี้ ผลงานงวดล่าสุดไตรมาส 2 CREDIT มีกำไรสุทธิ 925.2 ล้านบาท เติบโตกว่า 12.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ครึ่งปีแรกกำไรแตะ 1,828.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโต ภายใต้การบริหารงานที่ยังคงให้ความสำคัญกับความรอบคอบ เพื่อรองรับสภาพเศรษฐกิจที่ยังมีความผันผวน
โดยปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโต มาจากการที่ธนาคารยังคงรักษาการขยายตัวของยอดเงินให้สินเชื่อรวม ซึ่งอยู่ที่ 171,661.8 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 13.0 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้เพิ่มปริมาณสินเชื่อได้ในกลุ่มหลักเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อธุรกิจ Micro SME เติบโตที่14.3% สินเชื่อที่ใช้บ้านเป็นหลักประกันขยายตัว 13.3% และสินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น 66.6% อีกทั้งจะมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 36.7% จากปีก่อน ผลจากการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่ออย่างระมัดระวัง

ดังนั้น จากผลดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง จะพบว่าสะท้อนราคาหุ้นของ CREDIT อยู่ที่ price to book Ratio หรือ ราคาหุ้นหารมูลค่าต่อหุ้นของ CREDIT อยู่ที่ 10.87 เท่า และ P/E Ratio อยู่ที่ 5.1 เท่า เมื่อเทียบกลุ่มอุตสาหกรรมถือว่าต่ำกว่า ทั้งที่ ROE สูงถึง 15.5% ขณะที่ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงจาก 4.5% จากปีก่อนเหลือปัจจุบันเหลือเพียง 4.3% ซึ่งปี 67 ตัวเลข NPL ยังต่ำกว่า 4.4 % ขณะที่มีต้นทุนทางการเงินไม่เกิน 2.3 %

" ธุรกิจของเราเป็นสินเชื่อธุรกิจหรือ Busiess loan เน้นกลุ่ม SME ถ้าเราไปดูกลุ่ม SME ข้อมูลจากแบงก์ชาติอยู่ที่ 7% เศษ แต่ของเราอยู่ที่ 4% ถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะการคุมคุณภาพสินเชื่อและการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง อย่างลูกค้าที่มีปัญหาเรารีบเข้าช่วยเหลือตรงนี้ทำให้เราคุมสินเชื่อเราได้ดี " นายรอยย์กล่าว

สำหรับมาตรการคุณสู้เราช่วย เป็นสิ่งที่ดีกับธนาคาร แม้จะมีผลกระทบต่อเบี้่ยที่ลดลง ทำให้ลูกค้ามีกำลังใจการประกอบธุรกิจและจะเป็นผลดีต่อธนาคารที่สินเชื่อจะไม่กลายเป็น NPL ซี่งเป็นสิ่งที่ดี และมองแนวโน้มต้นทุนทางการเงินจะลดลงในครึ่งปีหลัง ซึ่ง CREDIT มีต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ (Credit Cost) 2-2.7%

ทั้งนี้ แม้ผลประกอบการแม้ว่าที่ผ่านมา CREDIT เติบโตปีละ 20-25% แต่หลังจากนี้ตัวเลขนี้จะประเมินกันระยะสั้น เพราะต้องมอง เศรษฐกิจและลูกค้าว่าจะมีทิศทางความท้าทายความแข็งแกร่งของลูกค้าด้วย พร้อมกับจำกัดเงินกู้ ซึ่งแต่ละปีจะมีวงเงินปล่อยกู้ 6 หมื่นล้านบาทและ 70 % ซึ่งเป็นลูกค้าใหม่ และแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง แต่ยอดเงินสินเชื่อ CREDIT มีการเติบโตถึง 5.2% ถือว่าสูงสุดในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัวติดลบ ซึ่งปัจจุบัน CREDIT มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 1.74 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ดี CREDIT ยังคงขยายลูกค้าไมโครเอสเอ็มอีเป็นหลักด้วยสัดส่วน 70% ของพอร์ตสินเชื่อ ดังนั้นกาเร่งพัฒนาแฟลตฟอร์มผ่าน Micro Pay e-Wallet ส่วน Alpha By Thai Credit ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง พร้อมกับเดินหน้าเพิ่มการปล่อยเชื่อให้ลูกค้าใหม่เพื่อลดความเสี่ยงและเป็นการเพิ่มรายได้ ขณะที่ปัจจุบัน CREDIT มีพอร์ตสินเชื่อครึ่งแรกปีนี้ตามประเภทลูกค้าคือ สินเชื่อไมโครSME ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก เพิ่มขึ้น 14 % สินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น 13% สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตลดลง 3.8% และสินเชื่อบุคคลเติบโต 69 %

นายรอยย์กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังคงเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การแข่งขันในระบบการเงิน และมาตรการภาษีทรัมป์ที่พึ่งประกาศผลบังคับใช้ออกมาเป็น 19% จากเดิมที่ 36% และยืนยันว่าไม่กระทบโดยตรงต่อลูกหนี้ของธนาคาร เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายย่อยและไมโคร SME ที่ทำธุรกิจภายในประเทศเป็นหลัก แต่ในภาพรวมส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้น ภาษีทรัมป์ จะทำให้ประชาชนมีเงินน้อยลง ส่งผลให้กำลังซื้อในภาพรวมลดลงอาจกระทบในทางอ้อมได้ ขณะที่การมี Virtual Bank ถือเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้อุตสาหกรรมการเงินต้องยกระดับการให้บริการและพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี มองว่า 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจรากหญ้านั้นแบงก์ใหญ่ไม่ค่อยเข้าถึง ทั้งที่ตลาดมีมูลค่า 2 หมื่นล้าน ปัจจุบันสูงถึง 1.7 แสนบาท แม้ว่าจะมีนอนแบงก์เข้ามารุกลูกค้ากลุ่มนี้ แต่ยังไม่มาก และคาดว่า 3-5 ปีจะเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่ง CREDIT ถือเป็นเจ้าหลักในตลาดนี้ย่อมได้เปรียบเพราะเชื่อว่ามีความเข้าใจลูกค้ารากหญ้าได้มากกว่า

"ราคาหุ้นสะท้อนจากผลการดำเนินของ CREDIT ยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง ขณะที่อุตสาหกรรมธนาคารพานิชเติบโตติดลบกำไรสุทธิเติบโตถึง 44% ขณะที่อุตสาหกรรมธนาคารพานิชอยู่ที่ 3.5% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM)สูงสุดที่ 7.4% และการควบคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี ซึ่งหุ้น CREDIT เป็นหุ้นน้องใหและมีความแตกต่างจากแบงก์อื่น และมีผลงานเติบโตต่อเนื่อง การทำให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุนมากขึ้น ต้องเป็นหน้าที่ของแบงก์ที่จะทำให้นักลงทุนรู้จักและเข้าถึงเรามากขึ้น " นายรอยย์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น