หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับผลกระทบ การขึ้นภาษีสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐในอัตรา 36% โดยราคายังปรับตัวขึ้นยกแผง
หุ้นบริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA หุ้นบริษัท เคซีอี อิเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และหุ้น บริษัท ฮานา ไมโครอีเล็กโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ซึ่งจะถูกผลกระทบจากการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์โดยตรง แต่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวลง เหมือนหุ้นส่งออกกลุ่มอื่นหรือหุ้นนิคมอุตสาหกรรม
สำหรับหุ้น DELTA มีคำชี้แจงผ่านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่เข้าไปเยี่ยมชมกิจการและพบปะแลกเปลี่ยนกับผู้บริหารบริษัทฯ ซึ่งยืนยันว่า DELTA จะไม่ถูกผลกระทบจากกำแพงภาษีของทรัมป์มากนัก เนื่องจากชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคส์ที่ผลิต มีลักษณะเฉพาะ และเป็นที่ต้องการของลูกค้า แม้ราคาจะปรับตัวขึ้นก็ตาม
และ DELTA เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก คู่แข่งมีน้อย ผลประกอบการจึงถูกกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐน้อยมาก
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสินค้าส่งออกไปสหรัฐที่นำรายได้กลับเข้าประเทศสูงเป็นลำดับต้น ๆ ทำให้ประเทศไทยเกินดุลการค้าสหรัฐประมาณ 4.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 ประเทศไทยจึงถูกสหรัฐตอบโต้ โดยการขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศไทย 36%
สินค้าจากประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าสินค้าการเกษตร หรือสินค้าอุตสาหกรรม โดยภาษี 36% ในอัตราเสมอกัน ทำให้ภาคการส่งออกถูกกระทบทั้งระบบ และส่งผลต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจทั้งระบบที่มีแนวโน้มทรุดหนัก
DELTA มีรายได้รวมในปี 2567 จำนวนทั้งสิ้น 1.67 แสนล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1.89 หมื่นล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 17,450 ราย ได้รับเงินปันผลจากบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้น้อยมาก และน้อยมากมาหลายปีแล้ว โดยอัตราเงินปันผลตอบล่าสุดมีเพียง 0.42% เท่านั้น
เช่นเดียวกับประเทศ ซึ่งเป็นฐานการผลิตของ DELTA ได้รับผลประโยชน์แบ่งปันเพียงเล็กน้อย โดยอาจจะมีการจ้างงาน ได้รับภาษี แต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ ถูกโยกกลับไปยังไต้หวัน
ตัวเลขการส่งออกของไทยอาจดูสวยงาม จากบรรดาบริษัทข้ามชาติที่ย้ายฐานการผลิตในประเทศไทย ได้โควตาส่งออก และอาจได้สิทธิพิเศษด้านภาษีโดยประเทศไทยได้ประโยชน์จากบริษัทข้ามชาติน้อยมาก
แต่กำลังถูกผลกระทบอย่างหนักหน่วง จากสินค้าของบริษัทข้ามชาติที่ส่งไปสหรัฐ จนประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐสูงเป็นอันดับที่ 10 จนถูกจัดในกลุ่มเป้าหมายขึ้นภาษีตอบโต้
DELTA เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย มีบทบาทในการชี้นำดัชนี ฯ และความเคลื่อนไหวของราคา ไม่มีหลักวิเคราะห์ใดที่จะคาดหมายหรือทำนายทิศทางได้ เพราะแม้ภาวการณ์ลงทุนโดยรวมจะตกต่ำซบเซา แต่ห้น DELTA อาจพุ่งทะยานสวนทางขึ้นมาได้
แรงซื้อที่ผลักดันราคาหรือลากราคาหุ้น มักเป็นแรงซื้อจากนักลงทุนที่ส่งคำสั่งมาจากต่างประเทศ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ควบคุม กำกับหรือตรวจสอบพฤติกรรมลำบาก นอกจากใช้มาตรการกำกับการซื้อขายในบางโอกาส เมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวร้อนแรงเกินไปเท่านั้น
ราคาหุ้น DELTA เมื่อวันอังคารที่ 8 กรกฎาคมปิดที่ 108.50 บาท ซึ่งถือส่ามีราคาสูงมาก มีค่า พี/อี เรโช 67 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเพียง 0.42% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากเสียอีก
และการลากราคาหุ้น DELTA ขึ้น เพื่อผลักดันดัชนี ฯ โดยหวังผลการทำกำไรจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้า SET50 ทำไม่ได้แล้ว
เพราะตลาดหลักทรัพย์จำกัดน้ำหนักการคำนวณดัชนี ฯ ของ DELTA ไม่เกิน 10% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแคปรวมตลาดหลักทรัพย์
มาร์ก็ตแคปของ DELTA ทะลุ1.35 ล้านล้านบาทแล้ว มีนำหนักในการคำนวณดัชนี ฯ 9.79% ตัวเลขจึงปริมน้ำในอตราคำนวณดัชนี ฯ ที่กำหนดไม่เกิน 10% การลากหุ้นขึ้นไปต่อ ไม่มีความหมายใดต่อการคำนวณดัชนี ฯ
นอกจากลากขึ้นไปเพื่อปั่นราคาหุ้น และหวังผลกระตุ้นราคาหุ้นตัวแม่ในตลาดหุ้นไต้หวันไปด้วย
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บางคน เริ่มส่งสัญญาณสะกิดเตือนนักลงทุนแล้ว แนะให้ระวังหุ้น DELTA เพราะราคาเสี่ยงสูงเกินกว่าจะตามแห่เข้าไปเก็งกำไร
