บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) มองว่าไตรมาส 3/68 เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะ "Mild Stagflation" เงินเฟ้อสหรัฐยังสูงและความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ขณะที่เศรษฐกิจไทยเปราะบางจากหนี้ครัวเรือน การเมือง และการบริโภคชะลอตัว โดย ธปท.อาจลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ InnovestX คงเป้า SET ที่ 1,250 จุด แนะจุดเข้าซื้อที่ต่ำกว่า 1,100 จุด พร้อมคัดหุ้นเด่นพื้นฐานแกร่ง ได้แก่ BCH, CPF, DIF, MTC และ SCC
นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ InnovestX กล่าวว่า ไตรมาส 3 นี้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญความเสี่ยงต่อเนื่องจากสงครามการค้า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอลงจากผลกระทบภาษีศุลกากร คาดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ลดดอกเบี้ย และเงินเฟ้อจะเพิ่มสู่ 3.6% แต่ทั้งนี้ ต้องจับตาเงินเฟ้อ การบริโภค และการจ้างงานใกล้ชิด ส่วนจีนแม้จะมีแนวโน้มชะลอ แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยพยุง
ขณะที่ไทยเผชิญความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่ประกาศ ณ วันที่ 7 ก.ค. อาจทำให้ GDP ของไทยในปีนี้เติบโตเพียง 1.4% (สมมุติฐานภาษี Reciprocal Tariff ที่ 15%) ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ InnovestX มองว่าข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 68 อาจเป็นฐานสำหรับการเจรจาการค้าของไทย โดย (1) ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม และ (2) ไทยจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นอีกมาก
หากการเจรจาสำเร็จทำให้ภาษีลดลงเหลือ 15-20% ก็คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 1.1-1.4% ในปี 68 (ความน่าจะเป็น 30%) แต่หากภาษี 21-28% GDP จะขยายตัว 1.0-0.0% (ความน่าจะเป็น 50%) ส่วนในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษี 29-36% GDP อาจหดตัวที่ (-0.1%)-(-1.1%) (ความน่าจะเป็น 20%)
อย่างไรก็ตาม หากไทยต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐเป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม ภาคเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง และผู้เลี้ยงสัตว์ที่จะต้องแข่งขันกับสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนต่ำและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมจะมีผลกระทบแตกต่างกัน โดยภาคยานยนต์จะเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากรถยนต์ SUV และรถกระบะอเมริกัน
แต่จะได้ประโยชน์จากการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูง โดยภาคเครื่องจักรและอุปกรณ์จะได้ประโยชน์จากการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยในราคาที่ถูกลง ภาคพลังงานและปิโตรเคมีจะลดต้นทุนจากการนำเข้า LNG และวัตถุดิบปิโตรเคมีในราคาที่ถูกลง ส่วนภาคอาหารแปรรูปจะเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์นำเข้าจากสหรัฐ แต่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากราคาที่ลดลงและมีตัวเลือกหลากหลายขึ้น
แต่สหรัฐฯ ยังเปิดทางสำหรับการเจรจา หลังจดหมายที่ส่งแจ้งผู้นำประเทศต่าง ๆ ระบุวันบังคับใช้ภาษีออกไปเป็น 1 ส.ค. 68 รวมถึงในวันที่ 31 ก.ค. 68 ศาล Federal Circuit จะพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ในการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ จากปัจจัยทั้ง 2 ที่ได้กล่าวมา มองว่า สถานการณ์เกี่ยวกับการขึ้นภาษีของสหรัฐยังมีความไม่แน่นอนสูง แนะนำให้ชะลอการลงทุนไปก่อนเพื่อรอติดตามสถานการณ์ หากมีสัญญาณบวกจากการเจรจาหรือคำตัดสินของศาล ก็จะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป
ด้าน นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน InnovestX คงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 68 ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมองว่าระดับต่ำกว่า 1,100 จุดน่าสนใจเข้าซื้อ การฟื้นตัวของตลาดยังต้องอาศัยนโยบายการเงินผ่อนคลาย การเร่งลงทุนภาครัฐ และเสถียรภาพของสภาพคล่องในระบบ
กลยุทธ์สำคัญสำหรับช่วงไตรมาส 3/68 คือการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทั้งในด้านงบดุล รายได้ที่หลากหลาย Valuation ที่เหมาะสม และโอกาสรับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์การลงทุนในประเทศและการค้าโลกที่ฟื้นตัว หุ้นเด่นที่เราคัดเลือก ได้แก่ BCH, CPF, DIF, MTC และ SCC ซึ่งตอบโจทย์คุณสมบัติทั้ง 5 ข้อที่ใช้ในการประเมิน
ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาในครึ่งปีหลัง การฟื้นตัวของผลประกอบการ บจ.จากฐานต่ำ Valuation ของหุ้นที่ยังน่าสนใจ เสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้น การผ่อนคลายนโยบายการเงินช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบประมาณ เงินบาทอ่อนค่าหนุนการส่งออกและการท่องเที่ยว การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวใน 4/68 จุดเปลี่ยนผันของกลุ่มพาณิชย์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และความคาดหวังต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
InnovestX แนะกระจายลงทุนในต่างประเทศ เน้นกลุ่มเติบโตมั่นคง เพิ่มลงทุนด้านการทหาร ลดน้ำหนักเทคโนโลยี และเน้น Domestic Play โดยเฉพาะเอเชีย จีนยังฟื้นตัวต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ แนะนำกลุ่มหุ้นคุณภาพที่รายได้-กำไรเติบโตสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มเชิงรับ สาธารณูปโภค และสื่อสาร รวมถึงตลาดเกิดใหม่ในเอเชียบางประเทศ
1) ตลาดสหรัฐ AMD, Constellation Energy, Goldman Sachs, Microsoft, Netflix, RTX
2) ตลาดยุโรป BNP Paribas, Deutsche Telekom, Iberdrola, Rheinmetall, SAP, Siemens
3) ตลาดจีน CATL, China Mobile, Hong Kong Exchange, SMIC, Tencent, Trip.com
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department ของ InnovestX ระบุว่า สถานการณ์ที่ต้องจับตาในไตรมาส 3/68 ได้แก่ (1) สงครามการค้า (2) วิกฤตการเมืองไทย (3) นโยบายการเงิน (4) มาตรการการคลัง 1.15 แสนล้านบาท (5) สงครามอิสราเอล-อิหร่าน จะสงบลงหลังสหรัฐทิ้งระเบิดหรือไม่
ขณะที่ นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่าย Investment Strategy และฝ่าย Trading Product Specialist ของ InnovestX กล่าวว่า กลยุทธ์หลักการลงทุนไตรมาส 3/68 คือ การจัดพอร์ตอย่างสมดุล เน้นกระจายความเสี่ยงทั่วโลก เน้นทองคำ ตราสารหนี้ระยะสั้น และตราสารทุนในตลาดเกิดใหม่ (EM) อย่างเวียดนามและจีน พร้อมจับตาหุ้นยุโรป
กองทุนแนะนำประจำไตรมาส 3/68: UOBSG-H (ทองคำ), DAOL-CHINATECH (เทคจีน), PRINCIPLE VNEQ-A (หุ้นเวียดนาม), LHHEALTH-A (การแพทย์ทั่วโลก) และ DR HSHD23 (หุ้นจีนปันผลสูง) เพื่อรับมือความผันผวนและสร้างผลตอบแทนยั่งยืนในระยะยาว