นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(4ก.ค.68)ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.34-32.51 บาทต่อดอลลาร์) ตามการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง) หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 1.47 แสนราย ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ลดลงสู่ระดับ 2.33 แสนราย ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยจากที่ผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสราว 70% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ก็เหลือ 0% หรือผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง สอดคล้องกับ Dot Plot ล่าสุดของเฟด
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด อีกทั้งราคาทองคำ (XAUUSD) ก็มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการถือทองคำอยู่ ในช่วงตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า เนื่องจากเข้าใกล้วันครบกำหนดพักมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 9 กรกฎาคม นี้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เนื่องจากช่วงนี้จะเข้าสู่ช่วงวันหยุด 4th of July ของฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดจะเบาบางลง และเราเชื่อว่า ภาพดังกล่าวก็มีส่วนทำให้ ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก (อ่อนค่าน้อยกว่า ค่าสถิติระดับ +1SD หรือ +0.5% เล็กน้อย) แม้ว่ารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง พอสมควร
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากราคาทองคำยังสามารถทรงตัว หรือปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง เนื่องจากในช่วงนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจรอทยอยซื้อทองคำ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่หลายประเทศคู่ค้า รวมถึงไทย เสี่ยงที่จะเผชิญการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ในอัตราที่สูง หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้ก่อนครบกำหนด 90 วัน พักมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ดังกล่าว เว้นแต่ ทางการสหรัฐฯ จะขยายเวลาพักมาตรการดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาพดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านลบพอสมควร หากเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงมากกว่าปัจจุบัน นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงบ้างของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนรอจังหวะทยอยขายเงินดอลลาร์เพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะหากเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เรามีความกังวลว่า ในช่วงระยะสั้นราว 1 เดือน ข้างหน้า เงินบาทมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากทางการสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับไทยในอัตราที่สูงขึ้นกว่าปัจจุบัน เช่น แม้จะเจรจาการค้าได้แล้ว แต่ไทยก็ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 15%-18% (ครึ่งหนึ่งของ 36% ที่สหรัฐฯ เคยประกาศไว้) หรือในกรณีเลวร้ายสุด ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% ขณะที่บรรดาประเทศคู่ค้าอื่นๆ อาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าปัจจุบันไม่มาก เราประเมินว่า กรณีดังกล่าว อาจเห็นเงินบาททยอยอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก ท่ามกลางแรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following