ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงคาดการณ์จีดีพีปี 68 โตที่ 2.4% ท่ามกลางปัจจัยลบจากเศรษฐกิจไทย และความ เสี่ยงสงครามการค้า ที่อาจจะทำให้จีดีพี 2568 มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าคาด ด้านภาคการเงินสินเชื่อแบงก์กระเตื้องขึ้นเล็กน้อย นำโดยธุรกิจรายใหญ่โยกมาจากตราสารหนี้ และเอ็นพีแอลยังทรงๆตัว ย้ำ 3 ข้อควรระวัง ตั้ง AMC ซื้อหนี้เน่า
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าววว่า ท่ามกลางความท้าทายทางด้านการขาดดุลการค้าอย่างเรื้อรังและหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นของ สหรัฐฯ แนวทางการแก้ปัญหาที่เริ่มมีการกล่าวถึงมากขึ้นในปี 2568 คือข้อตกลง Mar-a-Lago Accord คล้ายคลึงกับข้อตกลง Plaza Accord ในปี 2528 ที่สหรัฐฯ เคยนำมาใช้ โดยเป้าหมายหลักของ Mar-a-Lago Accord คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ต้องอ่อนค่าลง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกสหรัฐฯ รวมถึง การฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐฯ และการลดภาระหนี้สหรัฐฯ โดยประเทศพันธมิตรที่พึ่งพาการคุ้มครองด้านความ มันคงจากสหรัฐฯ ต้องเข้ามาถือพันธบัตรรัฐบาล 100 ปี
"ในวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้ จะเป็นวันสำคัญที่ทางทรัมป์จะมีการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งหากเราโดนในอัตรา 25% ก็จะถือว่าสูงกว่าที่เราประเมินไว้ ซึ่งก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ ก็อาจจะต้องพิจารณาทบทวนประมาณการต่างๆกันอีกครั้ง ซึ่งจากปัจจัยต่างๆเหล่านี้ เราควรมีการเตรียมพร้อมที่จะรับมือในสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบ ขณะที่ปัญหาในประเทศก็ยังมีอีกหลายจุดที่ยืดเยื้อ ทำให้หลายประเทศมองประเทศไทยว่า Sick Man แล้ว"
**ชี้จีดีพีมีโอกาส Down Side**
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จํากัด
เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรฯประเมินผลกระทบต่อไทยหากโดนภาษีนำเข้า Reciprocal Tariff เพิ่มขึ้นอีก 10% คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีที่ -0.3% ซึ่ง ผลกระทบดังกล่าวได้รวมไว้ในการประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.4% แล้ว อย่างไรก็ตาม หากไทยโดนภาษี นำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 25% คาดว่าจะส่งผลต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น -0.6% และประมาณการการขยายตัวของ เศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ปัจจุบันมองไว้ที่ 2.4% มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงแต่จะยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0% นอกจากนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 แทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบโตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จาก ผลกระทบสงครามการค้า ปัจจัยฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และแรงส่งทางเศรษฐกิจลดลง
"ประมาณการจีดีพีที่ระดับ 2.4%นั้น ได้รวมผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์ในเบื้องต้นที่ 10% เท่ากับ 0.3%ของจีดีพี แต่หากมีการประกาศออกมาแล้วโดน 25%ผลกระทบก็จะเป็น 0.6% และต้องเพิ่มผลกระทบต่อจีดีพีเพิ่มเติมอีก 0.3%ด้วย"
**สินเชื่อขยับเพิ่มเล็กน้อย-เอ็นพีแอลทรง**
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ทิศทางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาลงทั้งในและต่างประเทศ แต่สำหรับ ภาคเอกชนไทยที่มีแผนระดมทุน อาจต้องระวังว่า ต้นทุนการระดมทุนอาจไม่ได้ลดลงมากอย่างที่คาด เพราะนักลงทุน ในประเทศยังแสดงสัญญาณระมัดระวัง ทำให้ Spread หุ้นกู้บางกลุ่มยังปรับขึ้นด้านค่าเงินบาท คาดว่าจะเคลื่อนไหว ในกรอบ 33.0-34.5 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงไตรมาส 2/2568 โดยมีโอกาสแข็งค่าในระยะสั้น ตามการปรับขึ้นของ ราคาทองคำ และการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด
ส่วนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทย เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ส่วนหนึ่งเป็นการย้ายมาจากตลาดตราสารหนี้ ทำให้ทั้งปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมุมมองว่าสินเชื่อจะโตไม่สูงที่ 0.6% โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์น่าจะยังหดตัว สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจและอำนาจซื้อที่ไม่แน่นอน ขณะที่มองว่ามาตรการ LTV ที่เพิ่งผ่อนคลายจะทำให้ประมาณการสินเชื่อบ้านปีนี้โตเพิ่มขึ้นได้อีก 0.1-0.2% จากประมาณการเดิมที่ 0.5%
ทั้งนี้ คาดการณ์สินเชื่อระบบธนาคารปี 68 เติบโตที่ 0.6% จากปีก่อนที่ -0.4% โดยสินเชื่อธุรกิจเติบโต 1.5% จากปีก่อนที่ลดลง 0.1%นำโดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโต 3% จากปีก่อนที่ 1.6%ขณะที่สินเชื่อรายย่อยคาดการณ์ลดลง 1%จากปีก่อนที่ลดลง 2.2% โดยสินเชื่อบ้านเติบโต 0.6%จากปีก่อนที่เพิ่มขึ้น 0.3% สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ลดลง 7.5%จากปีก่อนที่ลดลง 11.4% และบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล-รายย่อยอื่นๆเติบโต 1.3%จากปีก่อนที่เติบโต 0.2% และคาดการณ์หนี้ครัวเรือน ณ สิ้นปี 68 ที่ 85-87.5%ต่อจีดีพี จากปีก่อนที่ 88.4%ต่อจีดีพี
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในปีนี้คาดการณ์ที่ระดับ 2.65-2.85% จากสิ้นปี 67 ที่ระดับ 2.70% โดยในช่วงไตรมาส 1 ปี 68 คาดการณ์ที่ระดับ 2.25% ซึ่ง ณ เอ็นพีแอลระดับนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่กระทบต่อสถานะเงินกองทุนของธนาคารที่สำรองไว้ในระดับที่เกินกว่าเกณฑ์ไว้มาก ขณะที่ทางการมีแผนจะตั้งว AMC เพื่อซื้อหนี้นั้น ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน แต่โดยภาพรวมควรที่จะคำนึงถึง 3 ประเด็น หนึ่งต้นเหตุของหนี้ สอง วัฒนธรรมเครดิต-วินัยทางการเงิน และสาม การเพิ่มศักยภาพการเพิ่มรายได้ ขณะเดียวกัน หากดูยอดหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์+นอนแบงก์+ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่ระดับ 3.97% กับของเครดิต บูโรที่ออกมาระดับ 8.90%ซึ่งรวมส่วนของสหกรณ์ ลีสซิ่งและอื่นๆเข้าไปแล้ว จะเห็นได้ว่ามีส่วนต่างที่กว้าง เพราะฉะนั้นการจะแก้ปัญหาเรื่องหนี้ต้องครอบคลุมไปกว่ากลุ่มสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแลด้วย
**ภาคการผลิตยังติดลบต่อเนื่อง**
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ จุดการผลิตอุตสาหกรรมไทยให้เสี่ยงหดตัวราว 1.0% ในปี 2568 ขณะที่ไทยหวังพึ่งแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และ เครื่องใช้ไฟฟ้า จะได้รับผลกระทบทางครงจากการขึ้นภาษีและคำสั่งซื้อที่ลดลงของสหรัฐฯ เนื่องจากพึ่งพาสหรัฐฯ ใน ฐานะตลาดส่งออกลำคัญ ส่วนรถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม ถูกกระทบทางอ้อมจากการแข่งขันที่รุนแรงท่ามกลาง เศรษฐกิจหลักในโลกที่จะลอลง สิ่งที่ตามมาคือ แรงงานในภาคการผลิตที่ทักษะต่ำจะมีความเสี่ยงด้านรายได้ โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์เริ่มมีสัญญาณการปิดตัวเพิ่มขึ้นและเป็นขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งสถานการณ์คงจะท้าทายมากขึ้นอีกเมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบได้ (Reciprocal Tariff) ในต้นเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้ ไทยคงคาดหวังแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน หลังจำนวนนักท่องเที่ยว 2 ชาติหลักอย่างจีน และมาเลเชียลดต่ำลง อีกทั้ง การแข่งขันกันดึงนักท่องเที่ยวและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้การฟื้นตัวของตลาด ต่างชาติเที่ยวไทยกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดหรือมากกว่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย