ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบผันผวนในช่วง 33.88-37.17 บาทต่อดอลลาร์ การเคลื่อนไหวของเงินบาทค่อนข้างผันผวนนับจากต้นปี 2567 โดยเริ่มต้นปีด้วยการทยอยอ่อนค่าไปแตะระดับ 37.17 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 (ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 เดือนครึ่งในเวลานั้น) ท่ามกลางจังหวะที่ตลาดมองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งน่าจะทำให้เฟดเลื่อนเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป กอปรกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศของไทยที่ยังอ่อนแอ กระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากทั้งในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินบาทเริ่มพลิกผันกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 จนทะลุแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนที่ 33.88 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม 2567 หลังประธานเฟดส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ เริ่มมีภาพอ่อนแอลง ขณะที่เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ซึ่งเพิ่มแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวไม่ได้ปรากฏเฉพาะค่าเงินบาท แต่เกิดขึ้นกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเช่นกัน โดย ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2567 เงินบาทแข็งค่ามากสุดเป็นอันดับ 3 (+0.4% YTD จากต้นปี 2567) ตามหลังอันดับ 1 ซึ่งคือ เงินริงกิตของมาเลเซีย (+5.8% YTD) และอันดับ 2 อย่างดอลลาร์สิงคโปร์ (+1.3% YTD) ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มในระยะสั้นหรือประมาณ 1-2 เดือนจากนี้ มองว่า หาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ที่อ่อนแอจากเรื่องแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดยังคงมีต่อเนื่อง อาจเห็นเงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ได้ โดยตลาดคาดการณ์ว่า เฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทุกรอบการประชุม FOMC ใน 3 รอบการประชุมที่เหลือของปีนี้ ประมาณ 0.75-1.00% เทียบกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ในขณะนี้ตลาดคาดว่า อาจเกิดขึ้นประมาณ 1 ครั้งในปีนี้
ด้านปัจจัยในประเทศ แม้จะมีภาพเป็นบวกมากขึ้นเมื่อมีทีมรัฐบาลชุดใหม่ ควบคู่วิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่ชัดเจน แต่ต้องรอบทสรุปอย่างเป็นทางการของนโยบายรัฐบาลใหม่ และการให้รายละเอียดในทางปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น ดังนั้น ทิศทางค่าเงินบาทในช่วงท้ายปี 2567 จึงยังมีโอกาสแกว่งตัวตามสถานการณ์และข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โดยอาจมีการปรับฐานเป็นบางช่วง ทำให้คาดว่าเงินบาทจะปิดปี 2567 ที่ประมาณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ จากคาดการณ์เดิมที่มองไว้ที่ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ภายใต้สมมติฐานเดิมที่มองว่าเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยช้า
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1% อาจมีผลกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 0.5% ของ Nominal GDP ทั้งนี้ แม้สภาวะเงินบาทที่ผันผวนจะไม่กระทบกลไกการตั้งราคาสินค้าส่งออกที่มักจะอยู่ในรูปของเงินดอลลาร์มากนัก แต่คงต้องยอมรับว่าการแข็งค่าของเงินบาทอาจมีผลกระทบต่อเนื่องมายังผู้ประกอบการโดยเฉพาะฝั่งผู้ส่งออกที่มีรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ เพราะจะทำให้รายได้เมื่อแปลงกลับมาเป็นรายได้สกุลเงินบาทลดลง ซึ่งผลกระทบจะยิ่งชัดเจนขึ้นในกรณีที่ผู้ส่งออกดังกล่าวพึ่งพิงวัตถุดิบจากในประเทศเป็นหลัก เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถใช้กลไก Natural Hedge เพื่อบรรเทาผลกระทบได้ ตัวอย่างธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่ ยางและพลาสติก รถยนต์ และการผลิตอาหาร
อีกประเด็นน่าห่วง คือ ความผันผวนที่สูงขึ้นของสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งมีผลกระทบทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า โดยความผันผวนของค่าเงินดังกล่าว ปรากฏขึ้นทั้งกรณีเงินบาท เทียบกับสกุลเงินหลักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ เยน ยูโร และหยวน โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ เงินเยน และเงินหยวนมีระดับความผันผวนของค่าเงินนับจากต้นปี 2567 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีก่อนโควิด (ปี 2558-2562) ซึ่งหากพิจารณาคู่กับสัดส่วนการชำระเงินสกุลต่างๆ เทียบกับมูลค่าส่งออกและนำเข้ารวมนั้น จะเห็นว่าการส่งออก-นำเข้าด้วยสกุลเงินหยวน มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการที่ค้าขายในสกุลเงินหยวนจำเป็นต้องตื่นตัวต่อความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน แม้เงินดอลลาร์จะลดบทบาทลงในการชำระเงินด้านการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังมีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 75.3% กรณีชำระเงินค่าสินค้าออก และ 80.4% กรณีชำระเงินค่าสินค้าเข้า ณ ไตรมาส 2/2567 ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ทำธุรกรรมสกุลเงินดอลลาร์ยังจำเป็นต้องใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน
สุดท้าย เนื่องจากความผันผวนของค่าเงินที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตามความซับซ้อนของปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ส่งออก-ผู้นำเข้าที่มีรายรับ-รายจ่ายในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ จึงต้องให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เช่น Forward, Options, Futures นอกจากนี้ ควรกระจายตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าเพื่อลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาโดยตั้งเป้าหมายเพิ่มคุณภาพสินค้าและบริการให้เหนือคู่แข่ง เลือกใช้เงินสกุลท้องถิ่น ตลอดจนบริหารจัดการรายได้และต้นทุน และลดความเสี่ยงจาก FX ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น Natural Hedge หรือ Foreign Currency Deposits (FCD) เป็นต้น