นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (16 พ.ค.) ที่ระดับ 36.29 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมากจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.55 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.35 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 36.26-36.59 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนเมษายนชะลอลงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อีกทั้งยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนเมษายนออกมาทรงตัว แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้ว่าจะขยายตัวกว่า +0.4%m/m ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดมากขึ้น และปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำกว่า +30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจทำให้เงินบาทเริ่มแกว่งตัว sideways แถวโซน 36.20-36.30 บาทต่อดอลลาร์ได้ (การแข็งค่าของเงินบาทเป็นไปตามที่เราประเมินไว้ หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน) นอกจากนี้ เรามองว่า บรรดาผู้นำเข้าอาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์เพิ่มเติม หลังเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นพอสมควรในช่วงนี้ อีกทั้งโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนต่างชาติยังมีอยู่บ้าง ซึ่งอาจพอช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ หากเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องอาจยังติดโซนแนวรับหลักถัดไปแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่หากเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง เราคาดว่าบรรดาผู้ส่งออกอาจกลับมาทยอยขายเงินดอลลาร์เพิ่มเติม หรือผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) อาจต้องมีการปรับสถานะกันบ้าง ทำให้เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่กลายมาเป็นโซนแนวต้านสำคัญในช่วงนี้ไปได้ (แนวต้านแรกระยะสั้นจะอยู่แถว 36.35 บาทต่อดอลลาร์)
สำหรับวันนี้ แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังตลาดได้รับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีกล่าสุดไปแล้ว ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะมีการปรับเปลี่ยนโทนการสื่อสารให้มีความ Hawkish น้อยลงมาหรือไม่ หรือยังคงย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ยตามเดิม