กลุ่มเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนลฯ เผยไตรมาสที่ 2 ปี 2567 (ม.ค.-มี.ค.2567) ทำกำไรสุทธิ 295.2 ล้านบาท โดยสายธุรกิจที่มีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งสายธุรกิจเยื่อกระดาษจากชานอ้อย และสายธุรกิจเอทานอล รุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและหลอดจากเยื่อชานอ้อย 100% เต็มสูบ หลังลงนามความร่วมมือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจกับกลุ่ม Matrix Pack ผู้นำระดับโลกในด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และหลอดที่ผลิตจากเยื่อธรรมชาติ
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานในรอบไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 (มกราคม-มีนาคม 2567) โดยมีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 5,206.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 295.2 ล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษจากชานอ้อยเพิ่มขึ้น 41.2% เนื่องจากปริมาณการขายเยื่อกระดาษจากชานอ้อยในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น และรายได้จากธุรกิจเอทานอลเพิ่มขึ้น 7.1% จากทั้งปริมาณการขายเอทานอล และราคาขายเฉลี่ยต่อลิตรเพิ่มขึ้น
นายประพันธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเสริมรายได้และกำไรให้บริษัทในช่วงที่เหลือของปีอย่างชัดเจนคือ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขึ้นรูปจากเยื่อชานอ้อย ภายใต้บริษัทในกลุ่ม KTIS คือ บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ แพคเกจจิ้ง จำกัด (EPAC) ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในกรอบความร่วมมือ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจแก่ทั้งสองฝ่าย ระหว่าง EPAC กับ Matrix Pack Group ผู้นำระดับโลกในด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และหลอดชานอ้อยสำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่ทำมาจากเยื่อธรรมชาติ
ทั้งนี้ ความร่วมมือหลักๆ ในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทางกลุ่ม Matrix Pack จะสนับสนุนด้านการตลาด ซึ่งมีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้วในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น อีกทั้งจะสร้างโอกาสทางการตลาดเพิ่มเติมในเอเชีย และเอเชียแปซิฟิก
“การที่ Matrix Pack Group ซึ่งเป็นผู้ค้ารายใหญ่ระดับโลกในธุรกิจบรรจุภัณฑ์และหลอดกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้มาร่วมธุรกิจกับกลุ่ม KTIS ในครั้งนี้ จะช่วยให้เรารุกตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยได้อย่างเต็มที่ ด้วยกำลังการผลิตของโรงงาน EPAC ที่สูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นจาน ชาม กล่อง หรือถาดหลุม ซึ่งผลิตจากเยื่อชานอ้อย 100% ปลอดภัยกับผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ภายใน 30-45 วัน” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวด้วยว่า มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนี้จะได้รับการตอบรับจากตลาดโลกเป็นอย่างดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก โดยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกสีเยื่อกระดาษ ทำให้ได้เยื่อกระดาษชานอ้อยบริสุทธิ์ ปลอดภัยในการใช้บรรจุอาหารไม่ว่าจะร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็สามารถใช้ได้ อีกทั้งก่อนที่จะส่งถึงมือผู้บริโภค ยังได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV อีกด้วย
นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยของกลุ่ม KTIS นั้น ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น สามารถใส่น้ำโดยไม่รั่วซึม สามารถนำเข้าเตาอบและเตาไมโครเวฟได้ ไม่มีสารปนเปื้อนก่อมะเร็ง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 45 วัน โดยได้รับใบรับรองมาตรฐานระดับโลกด้านการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์ (Products made of compostable materials for industrial composting Clamshell and Plate) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยบริษัทผู้ตรวจสอบชั้นนำของประเทศไทย ในการรับรองระบบมาตรฐานโรงงานด้านความปลอดภัยของอาหาร ด้านการผลิต Food Packaging เช่น FSSC 22000, ISO 22000, GHPs/HACCP เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น